พระภูริทัต สมัยพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่เมืองพาราณสีพระองค์มีพระโอรสพระองค์หนึ่งและทรงตั้งไว้ในตำเเหน่งอุปราช ภายหลังกลัวว่าอุปราชจะแย่งสมบัติ จึงระบุสั่งให้ออกท่องเที่ยวตามที่ต่าง ๆ พร้อมกับสั่งว่า ถ้าพ่อสิ้นเมื่อไหร่ เจ้าจงกลับมาครองราชสมบัติ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ส่งไปเป็นทูต เพื่อความเหมาะสม หรือมิฉะนั้นก็ให้เดินทางไปเรื่อยเปื่อยใปในที่ต่างประเทศเพื่อผูกสัมพันธไมตรีจนกว่าจะมีตำแหน่งให้ใหม่ พระราชโอรสก็ค่อนข้างมักน้อยอยู่ จึงได้ออกท่องเที่ยวไปตามป่าเขาตามใจปรารถนา ตราบจนกระทั่งพบบรรณศาลาแห่งหนึ่ง อยู่ระหว่างภูเขาและติดกับริมฝั่งแม่น้ำยมนา จึงคิดจะพักผ่อนสงบสติอารมณ์อยู่ที่นั้น และเห็นว่าเป็นสภาพที่ดี มีความวิเวกปราศจากคนผ่านไปมา จึงตกลงใจพักอยู่ ณ บรรณซาลานั้น นางนาคตนหนึ่งปราศจากสามี เห็นคนอื่นเขามีคู่เคล้าเคลียทนอยู่ไม่ได้ ขืนอยู่เมืองบาดาลได้ตายกันไปบ้าง ไม่อยากเห็นเขารักกัน พราะเราไม่มีคนรักจึงหนีขึ้นมาท่องเที่ยงเสียในเมืองมนุษย์ เมื่อนางนาคจำเลงกายเป็นมนุษย์มาเที่ยวเดินตามริมฝั่งน้ำก็มาพบเข้ากับพระราชกุมาร ทั้งสองพอใจซึ่งกันและกันก็ได้เสียกัน และถามทราบความเป็นไปของกันและกันแล้วก็ได้อยู่ร่วมกันมา จนกระทั่งนางตั้งครรภ์ได้คลอดโอรสหนึ่งให้ชื่อว่า เจ้าสาครพรหมทัต และต่อมาภายหลังก็ได้คลอดพระธิดาอีกองค์ชื่อสมุทรชา เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสด็จสวรรคต พวกขุนนางข้าราชการปรึกษากันเรื่องจะเสี่ยงราชรถ เพราะเหตุที่ไม่ทราบว่าพระราชโอรสของพระเจ้าพรหมทัตอยู่ที่ไหน แต่มีพรานไพรคนหนึ่งเคยเดินทางท่องเที่ยวไปพบพระราชโอรสกับมเหสีนางนาค และได้พักอยู่หลายวัน ได้บอกกับอำมาตย์ราชบริพารเหล่านั้นให้ทราบว่า พระราชโอรสของพระเจ้าพรหมทัตยังมีพระชนม์อยู่ ตนรู้จักสถานที่นั้นด้วย และอาสาพาอำมาตย์ราชบริพารเหล่านั้นไปยังอาศรมของพระราชกุมารกับนางนาค เมื่อพระราชกุมารได้ทราบว่าพระราชบิดาสวรรคตแล้วและรับเชิญให้ขึ้นครองราชสมบัติ จึงตรัสชวนพระมเหสีให้เข้าไปอยู่ในเมืองด้วยกันแต่นางนาคกล่าวว่า หม่อมฉันเป็นนาคอยากที่จะอยู่กับคนได้ เพระโกรธขึงขึ้นมาก็จะพ่นพิษทำลายคนเหล่านั้นเสีย ขอพระองค์จงเสด็จไปเถิด พร้อมกับพาพระราชโอรสธิดาของหม่อมฉันไปด้วย พระกุมารจะกล่าวชวนด้วยประการใดนางก็ไม่ยินยอมจึงเสด็จกลับพร้อมกับโอรสธิดา ซึ่งต้องขุดไม้เป็นรูปเรือใส่น้ำให้เต็ม ให้ทั้งสองเล่นมาตลอดทาง จนกระทั่งถึงเมืองพาราณสีแล้ว ให้ขุดสระให้โอรสธิดาเล่นมิฉะนั้นโอรสธิดาจะต้องตาย เพราะวิสัยนาคจะขาดน้ำเสียมิได้ เรื่องมันก็น่าจะหมดลงเพียงเท่านี้ ถ้าไม่มีเต่าเจ้าเล่ห์แสนกลเข้ามาด้วย เรื่องมันมีอยู่ว่า ในสระที่สำหรับเล่นน้ำของราชโอรสธิดานั้น วันหนึ่งมีเต่าตัวหนึ่งมาจากไหนและทิศทางใดไม่มีผู้ใดเห็น ลงไปสู่ในสระน้ำ พอพระราชโอรสธิดาลงเล่นก็โผล่หัวขึ้นมามองดู เด็กทั้งสองเห็นเข้าก็ไม่ทราบว่าอะไร ก็ร้องขึ้นด้วยความตกใจ พวกพี่เลี้ยงก็เข้าไปถาม ได้ความว่ามีสัตว์ร้ายชนิดหนึ่งโผล่ขึ้นมามองดูก็เลยตกใจร้องขึ้น พี่เลี้ยงจึงให้เอาแหและอวนมาลากก็ติดเจ้าเต่าเจ้าเล่ห์ตัวนั้นขึ้นมา ต่างก็ร้องบอกกัน " อ้ายนี่เองที่ทำให้พระราชโอรสธิดาตกพระทัย ต้องใส่ครกโขลกให้ละเอียดอย่างแป้งจึงจะสะใจมัน บางคนก็ว่า ไม่ดีหรอก สู้อย่างของฉันไม่ได้ เอาไม้เล็ก ๆ พาดบนกะทะที่ตั้งไฟจนน้ำเดือด ให้เจ้าเต่าไต่ข้ามกะทะไป ถ้ารอดไปได้ก็ยกชีวิตให้มัน ถ้ามันตกน้ำร้อน...หวานล่ะ ยำเต่า แต่มีอีกคนหนึ่งค้านขึ้นว่า ไม่ได้ เจ้าเต่านี่ต้องทำให้เจ็บ เอามันไปทิ้งน้ำวนที่ทำลายเรือแพนาวามากต่อมาก ให้กระดองมันพังไปหมดทั้งร่างเลย เจ้าเต่าเห็นทางรอดเลยทำเป็นกลัว พูดออกไปว่า ท่านขอรับ จะทำยังไงก็ทำเข้าเถอะครับ ใส่ครกโขรกทีเดียวก็ตาย เอาไฟสุมกระดองถึงตายช้าหน่อยก็ต้องตาย เพราะกระดองไหม้ ไต่ข้ามกะทะน้ำร้อนตกปุ๋มเดียวตาย แต่อย่าเอาผมไปถ่วงน้ำเลยครับ มันเวียนหัว จะตายก็ขอให้ตายสบายสักหน่อยเหอะ ไม่ได้ ๆ เอ็งต้องถูกถ่วงน้ำวน ไอ้นี่ต้องเอาให้เข็ด แล้วเจ้าเต่าก็ถูกถ่วงลงน้ำวน ฮ่ะ ๆ เจ้าเต่าเก่งไหมล่ะ ? เมื่อถูกถ่วงน้ำ แพแตกถึงโคลนเจ้าเต่าก็เดินดุ่มไปใด้น้ำอย่างสบายใจ นึกว่าคงได้กลับที่อยู่ของตนเอง แต่ที่ไหนได้ล่ะนาคเล็ก ๆ หลายตัว ซึ่งกำลังซนอยู่ทั้งนั้นได้มาเที่ยว พอเห็นเต่าเดินงุ่มง่ามอยู่ก็จับโยนเล่น โยนกันไปโยนกันมา เจ้าเต่าถึงกับนึกทอดอาลัย นึกว่าจะพ้นภัย กลับมาเจอพวกนาคแสนซนเข้าอีก ทำไงดีล่ะ ดีไม่ดีตายง่ายเสียด้วยสิ ปัญญามีอยู่กับตัวกลัวอะไรน่ะ แล้วมันก็เอ่ยถามขึ้นว่า ท่านผู้เจริญ พวกท่านรู้จักสำนักของจอมบาดาลบ้างไหม? แล้วจะถามไปทำไม ? เพราะมีเรื่องจะกราบทูลให้ทรงทราบ บอกให้พวกเรารู้บ้างไม่ได้หรือ? จะพูดเฉพาะพระองค์เท่านั้น แล้วเจ้าเต่าก็ได้ถูกพาเข้าเฝ้าจอมนาค คือ ท้าวทศรถ จอมนาคได้เห็นเจ้าเต่าจึงสอบถามได้ความว่า ตัวมันชื่อเจตจูล เป็นฑูตของพระเจ้าพรหมมทัต ซึ่งจะถวายธิดาผู่ทรงโฉมจของตนแก่จอมบาดาล ท้าวทศรถหัวเราะอย่างขบขัน ฮ่ะ ฮ่ะ นี่น่ะหรือราชฑูต ใครเขาจะใช้เต่าเป็นราชฑูต ขอเดชะ มิได้มีแต่ข้าพองค์เท่านั้น ราชฑูตมีมากมายแต่เพราะสำนักของพระองค์อยู่ในน้ำ จึงต้องใช้ข้าพระองค์ซึ่งชำนิชำนาญทางน้ำ เอ้า ว่าไป พระราชาของท่านสั่งมาว่าอย่างไร ? เหตุเพราะว่าเจ้าของกระหม่อมฉัน ใครจะผูกพันธมิตรกับพระองค์ เพราะในชมภูทวีปทั้งสิ้นเจ้าของกระหม่อมฉันก็ได้ผูกเป็นมิตรสหายกันหมดแล้ว จึงได้ตรัสบังคับให้ข้าพระองค์มาติดต่อกับพระองค์ แล้วจะทำอย่างไรล่ะ ? พระองค์ส่งฑูตไปพร้อมกับข้าพระองค์ เพื่อนัดวันและจะได้ตระเตรียมสิ่งของ ท้าวทศรถก็เชื่อ จึงส่งเสนานาค ๔ นาย ไปพร้อมกับขุนเจตจูลนั้น พอเดินทางไปใกล้จะถึงเมือง เจ้าเต่าก็หาโอกาสจะหนีจึงบอกเสนานาคทั้ง ๔ ว่า เราจะต้องเข้าไปในวัง พระราชกุมารีต่างจะขอรากวัวกับเรา เพราะฉะนั้นเราจะต้องหาให้เธอ แล้งก็ลงไปในสระแอบซ่อนตัวเสีย พวกนาคเหล่านั้นคอยอยู่เป็นนานไม่เห็นมีมา ก็คิดว่าเต่าคงไปสู่สำนักของพระเจ้าพรหมทัต เมื่อไปถึงทูลถวายพร และว่าเป็นฑูตของเท้าทศรถจอมบาดาล มาเพื่อจะตกลงขอพระธิดาของพระเจ้าพรหมทัตไปเป็นเอกอัครมเหสี พระเจ้าพรหมทัตเอะใจ มันอะไรกันแน่ จอมนาคราชมาขอลูกสาว บ๊ะ ? มันเป็นไปได้อย่างไร จึงรับสั่งว่า ท่านราชฑูต เจ้านายของท่านเป็นนาคไม่ใช่มนุษย์และลูกฉันเป็นมนุษย์ จะสมสู่กันยังไงได้ ดูไม่เหมาะสมกันเลยนะ นาคไม่มีเกียรติหรืออย่างไร? ไม่ใช่ แต่ว่าเป็นนาคเป็นประเภทสัตว์เดรัจฉาน ไม่ใช่มนุษย์และลูกเราเป็นมนุษย์จะอยู่กันได้อย่างไร? พระองค์ทราบหรือไม่ว่า ที่พวกข้าพระองค์มานี้เพราะขุนเจตจูลของพระองค์ไปทูลเจ้านายของข้าพระองค์ ว่าพระองค์จะถวายพระราชธิดาสมุทรชา เจ้านายของข้าพระองค์จึงได้ส่งพวกข้าพระองค์มาเพื่อที่จะจัดการต่าง ๆ เราไม่ได้ส่งใครไป ธิดาของเราเป็นมนุษย์ ไม่สมควรจะสมสู่กับสัตว์เดรัจฉาน ไปบอกเจ้านายของพวกท่านให้ทราบด้วย พวกเราเป็นกษัตริย์ ก็หมายความว่าพระองค์หลอกลวง ไม่ให้พระธิดาใช่ไหม ? ไม่น่าจะเข้าใจผิด " ถ้าไม่เกรงใจว่าท้าวทศรถสั่งมาให้เจรจาแต่โดยดี มิฉนั้นคงจะน่ะดู" แล้วฑูตทั้ง ๔ ก็กลับมากลาบทูลกับพระเจ้าจอมบาดาล ซึ่งแม้จะโกรธก็ยังระงับไว้ เพียงสั่งว่า นาคทั้งแผ่นดินมีฤทธานุภาพ จงไปเมืองพาราณสีในราตรีนี้ แต่อย่าให้ใครตาย เพียงเท่านั้นรุ่งขึ้นเข้าเสียงอึกทึกครึกโครมก็ได้เกิดขึ้นทุกแห่งหน เพราะเหตุว่าประชาชนพลเมืองทั้งหลายได้พบงูเล็กบ้างงูใหญ่บ้างตามเรือนในบ้าน เกือบจะพูดได้ว่าเมื่อแลไปทางไหน ก็เจอแต่งูทั้งนั้น บางคนทำท่าขยับจะฆ่าฟัน แต่งูเล็กงูใหญ่เหล่านั้นกลับขู่คำรามฟ่อ ๆ เป็นการป้องกันตัว ขืนตีจะถูกงูกัด ก็เลยทอดอาลัยและงูเหล่านั้นก็ไม่ทำอะไรใครเสียด้วย ในพระราชวังของพระเจ้าพรหมมทัตเองเล่าเกิดอะไรขึ้นตื่นเช้าเสียงสนมกำนันร้องกันวี๊ดว้าย เพราะมองไปทางไหนมีแต่งูทั้งนั้น บนหัวนอน บนหน้าต่าง บนประตู ตลอดจนบนโต๊ะเครื่องแป้งก็ยังอุตสาห์มีงูไปนอนอยู่ แม้พระเจ้าพรหมทัตเอง นับแต่ลืมตาขึ้นมาก็พบกับราชทูตทั้ง ๔ นาย อันมีสภาพเป็นพญานาคขดไว้รวบปราสาท แผ่พังพานอยู่แทบจะเหนือศรีษะ ถึงกับตะลึง ตายจริงนี่มันอะไรกัน เสียงประชาชนแตกตื่นกันมาหน้าพระลาน เสียงร้องทูลขรมถมเถไปหมด จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร มองไปทั่วพระนครมีแต่งูทั้งนั้น พอท้าวพรหมทัตเสด็จออก ประชาชนก็ทูลขอให้ถวายราชธิดาแก่ท้าวทศรถเสีย มิฉนั้นประชาชนพลเมืองจะพากันเดือดร้อนถึงชีพ เพราะศักดานุภาพของจอมบาดาล เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นเช่นนี้ ท้าวพรหมทัตก็จำยอมต้องออกพระโอษฐ์ ยอมถวายพระนางสมุทรชาแก่ท้าวทศรถ พวกนาคทั้งหมดก็อันตรธานหายไปจากที่นั้น ไปปรากฎตั้งเป็นกองคอยอยู่ ณ ที่ไม่ไกลเมืองนัก พอท้าว พราหมทัตส่งพระราชธิดาไปถวายเจ้านายแล้วก็พากันกลับไปยังบาดาล อภิเษกพระนางสมุทรชาไว้ในตำแหน่งอัครใเหสี ท้าวทศรถกลัวพระนางสมุทรชาจะตกใจกลัว จึงบังคับสั่งบรรดานาคทั้งหมดว่า ใครแสดงรูปนาคให้ปรากฎแก่พระนาง ผู้นั้นจะต้องตาย นับแต่นั้นพระนางก็ร่วมสโมสรอยู่กับท้าวทศรถจนมีโอรสถึง ๔ พระองค์ องค์ที่ ๑ ชื่อสุทัศนะ องค์ที่ ๒ ชื่อทัต องค์ที่ ๓ ชื่อสุโภคะ องค์ที่ ๔ ชื่ออริฎฐะ ก็ยังไม่เคยรู้เลยว่าที่นี่เป็นเมืองบาดาล เพราะบรรดานาคทั้งหลายต่างแปลงกายเป็นคนเมื่ออยู่ในสายพระเนตรของพระนาง ในเรื่องนี้เจ้าทัตซึ่งเป็นองค์ที่ ๒ เป็นตัวเอกของเรื่องนี้เพราะมีปัญญามาก จึงได้นามภายหลังว่า ภูริทัต เพราะพระนางสมุทรชาไม่เคยรู้ว่าเมืองนี้เป็นเมืองนาคนั้นเอง จึงมีพี่เลี้ยงของเจ้าอริฎฐะ ซึ่งเป็นโอรสองค์สุดท้ายของท้าวทศรถเสี้ยมสอนเจ้าอริฎฐะ ว่ามารดาเป็นมนุษย์ ไม่ใช่นาค อริฎฐะอยากทราบความจริง เวลากินนมเลยแสดงอาการข้างล่างเป็นนาค พระนางตกพระทัยผลักเจ้าอริฎฐะตกลงไป เล็บพระนางเผอิญทิ่มตาของเจ้าอริฎฐะถึงกับแตกไปข้างหนึ่ง ท้าวทศรถทราบเรื่องจะประหารเจ้าอริฎฐะเสีย แต่พระนางทูลขอไว้ และนับแต่นั้นพระนางก็ทราบว่าเมืองนั้นเป็นเมืองนาค ท้าวทศรถต้องไปเฝ้าท้าววิรูปักข์ ซึ่งเป็นมหาราชกำหนด ๑๕ วันครั้งหนึ่ง เจ้าทัตก็ไปพร้อมกับบิดาด้วย และได้แก้ปัญหาในที่ประชุม ได้รับสรรเสริญว่าเป็นคนมีปัญญา นับแต่นั้นมาจึงได้นามว่าภูริทัต ภูริทัตได้เห็นสมบัติของท้าวมหาราช และสมบัติพระอินทร์ และสมบัติของบิดาตนแล้ว เห็นว่าสู้ของพระอินทร์ไม่ได้ อยากจะได้ แต่ตนเป็นสัตว์เดรัจฉานทำอย่างไรก็คงไม่ได้จึงคิดรักษาอุโบสถศีลเพี่อเสวงเลิศในภายหน้า เมื่อลงมาจากเฝ้าเท้ามหาราชแล้ว ก็ดำริจำรักษาอุโบสถในแดนมนุษย์ แต่ถูกพระมารดาาห้ามปรามก็เลยไปรักษาอุโบสถอยู่ในพระราชฐาน แต่อยู่ไป ๆ ก็คิดเห็นว่าไม่เป็นปกติได้ เพราะสนมกำนันในยังเฝ้าแหนอยู่มิได้ขาด เลยไม่บอกให้ใคร ๆ รุ่งขึ้นไปรักษาอุโบสถอยู่ที่จอมปลวกริมฝั่งน้ำยมนา ตั้งความปรารถนาสละชีวิตร่างกายของตนให้แก่ผู้ต้องการ ยังมีพรานป่า ๒ คนพ่อลูก พ่อชื่อเนสาท ลูกชื่อโสมทัตทั้งสองคนเข้าป่าล่าเนื้อไปขายเป็นประจำ วันหนึ่งเข้าป่าไปแต่หาเนื้อวันยังค่ำก็ไม่พบเนื้อเลย จนกระทั้งเย็นมาถึงใกล้ฝั่งแม่น้ำยมนา ก็พอดีพบเนื้อตัวหนึ่งมากินน้ำ จึงยิงธนูไปถูกเนื้อ แต่เผอิญเนื้อไม่ตายหนีไปได้ จึงติดตามรอยเลือดไปก็พอดีพลบค่ำ จึงจำเป็นเข้าไปอาศัยซุ้มไม้แห่งหนึ่งใกล้กับเจ้าภูริทัตจำศีลเป็นที่พักผ่อนหลับนอน และในคืนนั้นเองพราน ๒ พ่อลูก ก็ได้ยินเสียงดนตรีขับกล่อม จึงย่องไปมองดูก็พบเจ้าภูริทัตซึ่งมีนางนาคสาว ๆ ขับกล่อมบรรเลงอยู่ จึงเข้าไปใกล้ พวกนาคเหล่านั้นก็เลยหนีไปหมดเหลือแต่ภูริทัตผู้เดียว พรานทั้งสองจึงเข้าไปสอบถามว่าเป็นอะไร มาทำอะไรอยู่ที่นี่ ภูริทัตจึงบอกความจริงว่าเป็นพญานาคมารักษาศีลอยู่ที่นี่ แล้วกลัวว่าพราะเป็นหมองูมาทำอันตราย จึงเชิญไปเสวยสุชอยู่ในนาคพิภพด้วย แต่เพราะคนทั้งสองมีวาสนาน้อย ไม่อาจจะเสวยสุขอยู่ในบาดาลได้ จึงขอกลับขึ้นไปบนโลกมนุษย์อีก เจ้าภูริทัตก็อำนวยตามทุกประการ และได้มอบสมบัติให้เป็นอันมากอีกด้วย เมื่อคนทั้งสองขึ้นไปแล้ว สมบัติที่ให้มาก็อันตธานหายไปสิ้น ทั้งสองคนก็คงตกเป็นพรานพร้อมด้วยเครื่องแต่งกายอย่างเดิมอีก และนับแต่นั้นก็เข้าป่าล่าเนื้อขายเช่นเดิม คราวครั้งนั้นมีครุฑตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ในวิมานฉิมพลีแถบใกล้มหาสมุทร บินลงมาจับนาคได้ตัวหนึ่งแล้วพาบินไปนาคนั้นกลัวตายก็เอาหางตวัดต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่งอันเป็นที่จงกลมของฤาษีตนหนึ่งหนึ่งติดไปด้วย ครุฑพาไปจนถึงที่เคยกินก็กินนาคเสีย ต้นไทรก็เลยตกลงไปยังพื้นข้างล่างดังสนั่น ครุฑจึงคิดว่าเราจะบาปหรือไม่ จึงแปลงกายเป็นหนุ่มน้อยเข้าไปหาฤาษี ถามว่าจะเป็นบาปหรือไม่ พระฤาษีว่าไม่บาป เพราะไม่มีเจตนา ก็ดีใจแล้วถวายแก้วให้ฤาษีไว้ดวงหนึ่ง พร้อมกับมนต์ชื่ออาลัมพายและยาทิพย์ซึ่งงูจะต้องกลัว และอยู่ในอำนาจ พระฤาษีแม้จะไม่อยากได้ก็ต้องรับไว้ เพราะครุฑยัดเยียดให้รับ สมัยนั้นมีพราหมณ์ผู้หนึ่งตกยากเป็นหนี้สินมากจนไม่มีจะใช้เขา จึงคิดจะซุกซ่อนตัวตายเสียในป่า จึงเดินทางเข้าไปป่าจนกระทั่งถึงอาศรมของฤาษีนั้น เห็นว่าไกลจากบ้านเมืองผู้คน จึงแวะเข้าไปอาศัยอยู่ และกระทำปฎิบัติฤาษีนั้นตามสมควร ฤาษีจึงได้บอกมนต์และยาทิพย์ให้แก่เขา แม้เขาจะไม่อยากได้ก็ต้องรับเพราะเกรงใจฤาษี เมื่อเรียนมนต์อาลัมพายได้แล้วจึงลาฤาษีออกเดินทาง และเผอิญผ่านริมน้ำยมนาซึ่งภูริทัตจำศีลอยู่ คืนวันนั้นนางนาคพากันมาขับกล่อมให้ภูริทัตเพลิดเพลิน เมื่อสว่างแล้วจึงพากันไปเล่นอยู่ที่หาดทราย เอาแก้ววิเศษวางไว้ระหว่างทาง ขณะกำลังเล่นอยู่นั้นพราหมณ์ก็เดินท่องมนต์ผ่านมานางนาคเหล่านั้น ก็ตกใจคิดว่าพญาครุฑมา จึงพากันทิ้งแก้วเสียแล้วหลบหนีไปยังบาดาล พราหมณ์เห็นแก้วมณีวางอยู่ จึงหยิบมาถือแล้วเดินเรื่อยไปจนกระทั่งมาพบพรานพ่อลูกซึ่งเคยไปอยู่เมืองบาดาลมาแล้ว พอลูกพรานเห็นแก้วก็จำได้ว่าเป็นของที่ภูริทัตให้มาแต่ตนทำตกถึงพื้น แก้วดวงนี้เลยอันตรธานหายไป จึงบอกบิดาทราบ และพากันเข้าไปขอแก้ว พราหมณ์ไม่ให้ และได้สอบถามเรื่องแก้วได้ความดังเรื่องข้างต้น เพื่อจะได้ทดลองมนต์ พรานก็พาไปจนถึงที่ภูริทัตจำศีลอยู่ที่จอมปลวก แล้งชี้บอกและขอรับแก้ว พราหมณ์จึงยื่นให้กับพราน แต่เขารับไว้ไม่แน่นแก้วตกลงถึงพื้นเลยหายลงไปเสีย เขาก็เลยอดทั้งแก้ว และได้เนรคุณต่อผู้มีพระคุณของตนอีกด้วย พอพรานพาพราหมณ์เข้าไปถึง ภูริทัตเห็นแล้วก็จำได้ว่าเคยนำไปไว้เมืองบาดาล และขอกลับมาอยู่มนุษย์โลกจะบรรพชาอุปสมบท แต่ก็หาทำไม่ กลับพาหมองูมาทำทำอันตรายแก่ตน และตนจะทำอันตรายหมองูตนก็จะขาดศีล จึงคิดตกลงยอมสละชีวิตตามแต่เขาจะทำ พราหมณ์กินยางู แล้วร่ายมนต์เข้าไปจับภูริทัตดึงลงจากจอมปลวก แล้วจับลากกรอกยาทำให้หมดกำลังไป และทารุณอีกต่าง ๆ จนมีเลือดไหลออกทั้งปากและจมูก แล้วเขาก็ตัดเถาวัลย์มาสานกระโปรงใส่ภูริทัต เพื่อจะไปแสวงหาเงินตามที่ต่าง ๆ มาสถานที่ชุมชนคน ก็จัดแจงป่าวประกาศให้ผู้คนมาดู แล้วบังคับภูริทัตให้แผ่พังพาน ๓ ชั้น ๗ ชั้น ทำให้ใหญ่ให้เล็กตามความประสงค์เก็บเงินจากผู้ดู สภาพอย่างนี้ทำให้นึกไปถึง แขกเล่นงู เขาใช้ให้งูแผ่แม่เบี้ยฉกจวักด้วยเสียงดนตรีเท่านั้นแต่พราหมณ์เก่งกว่า ไม่ต้องใช้ดนตรี ใช้แต่คำสั่งเท่านั้น พญานาคที่มีฤทธ์เช่นภูริทัตยังต้องอยู่ในอำนาจ เล่นแล้วเอาเขียดใส่เพื่อจะให้กิน ภูริทัตก็ไม่กิน หากินโดยวิธีนี้จนร่ำรวยมีเงินมีทองมาก ทางเมืองนาคเมื่อพวกนางนาคขึ้นมาไม่พบพระภูริทัตก็นำความไปบอก และนางสมุทรชาก็บังเกิดสุบินว่ามีคนมาตัดแขนเบื้องขวาของพระนางหนีออกไป กับประกอบได้ข่าวว่าเจ้าภูริทัตหายไป เจ้าสุทัศน์ผู้พี่ภูริทัต ก็รับอาสาออกติดตามพร้อม ๆ กับน้อง ๆ คือเจ้าสุโภคะและเจ้าอริฎฐะ และเห็นว่าน้อง ๆ เป็นคนโทโสร้าย หากว่าจะไปพบภูริทัตบนเมืองมนุษย์จะเกิดเดือดร้อนภายหลัง เมื่อไม่พอใจขึ้นมาก็จะพ่นพิษเผาผลาญตามนิคมชนบทพินาศหมด จึงส่งเจ้าสุโภคะไปยังป่าหิมพานต์ ให้เจ้าสุทัศน์อริฎฐะไปยังเทวโลก ช่วยกันค้นคว้าหาเจ้าภูริทัต ส่วนเจ้าสุทัศน์เองไปสู่เมืองมนุษย์พร้อมกับนาคผู้น้องอีกตนหนึ่งชื่อว่าอัจจะมุขี การเล่นงูของพราหมณ์ได้แพร่สะพัดไปจนทราบถึงพระเจ้าสาครพรหมทัต ซึ่งเป็นพระเจ้าลุงของเจ้าภูริทัต ผู้ครองราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสีทรงพระประสงค์จะใคร่ทอดพระเนตร จึงรับสั่งให้พาเข้าไปแสดงให้ดู แต่พราหมณ์ก็ขอให้เป็นวันพรุ่งนี้ เมื่อถึงเวลาพราหมณ์ก็ให้คนหากระโปรงแก้วซึ่งใส่เจ้าภูริทัตเข้าไปในวังตรงไปยังหน้าพระลาน แต่พระเจ้าสาครพรหมทัตยังมิได้เสด็จออก มีประชาชนพลเมืองพร้อมอำมาตย์ราชบริพารมากันเป็นอันมาก มีพระดำรัสออกมาให้หมออาลัมเล่นไปก่อนเถิด สักครู่จึงเสด็จออกมา อาลัมพายจึงยกเอากระโปรงแก้วมาเปิดออก แล้วเรียกเจ้าภูริทัตออกมา เจ้าภูริทัตออกมาพอพ้นกระโปรงก็ชะเง้อดูรอบ ๆ การดูรอบ ๆ ของนาคนั้นด้วยสองประการคือเพื่อดูพญาครุฑ ถ้าเห็นก็จะได้หนีทันไม่เป็นอันตราย ๑ และถ้าเห็นญาติของตนเกิดละอายไม่อาจจะแสดงได้ ๑ เมื่อเจ้าภูริทัตชะเง้อมองรอบ ๆ ก็พบเจ้าสุทัศน์ซึ่งแปรงเพศเป็นฤาษีติดตามมา โดยสอบถามประชาชนพลเมืองเรื่อยมา จนทราบความว่ามีหมองูจะนำเอางูใหญ่มาเล่นให้ดู จึงมายืนดูด้วย เจ้าภูริทัตก็เลื้อยช้า ๆ ตรงเข้าไป ประชาชนพลเมืองเห็นงูใหญ่เลื้อยตรงเข้ามาก็ตกใจพากันแตกหนีเป็นช่องไป เจ้าภูริทัตเลื้อยมาตรงหน้าเจ้าสุทัศน์ก็ซบศรีษะลงไปบนเท้าของฤาษี ร้องไห้สักครู่แล้วเลื้อยกลับเข้ากระโปรงไม่ยอมแสดง อาลัมพายเห็นงูของตนเลื้อยไปซบศรีษะบนเท้าฤาษีก็คิดว่าจะกัดเข้าแล้ว จึงตรงไปเพื่อจะปลอบฤาษีโดยบอกว่า ท่านผู้เจริญ งูพิษร้ายของข้าพเจ้าตัวนี้คงไปกัดท่านเข้าแล้ว ไม่เป็นไร ข้าพเจ้าจะรักษาให้เพราะข้าพเจ้าเป็นหมองู ฮ่ะ? ฮ่ะ? พระดาบสหัวเราะ ท่านว่ายังไงนะ งูตัวนั้นน่ะรึมีพิษ มีจริงนะท่าน เพียงแต่ท่านถูกพิษเพียงเล็กน้อยท่านก็จะถึงแก่ความตายทันที ท่านโกหกหลอกลวงประชาชน อาตมาดูแล้วว่างูตัวนี้ไม่มีพิษเลย ยังบอกว่ามีพิษ เรานี่แหละหมองูผู้วิเศษล่ะ พระดาบส ท่านอย่าอวดดีไป งูของเรามีพิษร้ายมากถ้าไม่เชื่อพนันกันสัก ๕.๐๐๐ ไหมล่ะ พระฤาษีก็รับคำท้าและบอกว่า เดี๋ยวก่อน เราจะเข้าไปหาเงินมาวางก่อน แล้วเจ้าสุทัศน์ก้เข้าไปในพระราชวัง ขอเฝ้าพระพระเจ้าสาครพรหมทัต เมื่อเข้าเฝ้าแล้วก็กลาบทูลขอเงิน ๕.๐๐๐ ซึ่งก็ทำให้พระพระเจ้าสาครพรหมทัตสงสัย ก็สอบถามจนได้ความว่าจะเอาไปพนันกับหมองู พระองค์ก็ยินยอมให้ และเสด็จออกมาพร้อมกับเจ้าสุทัศน์ด้วย อาลัมพายพอเห็นก็ตกใจว่าพระฤาษีเป็นคนของพระเจ้าแผ่นดิน เกรงจะมีภัยจึงพูดกับดาบสว่า ท่านผู้เจริญ เรื่องพนันอย่าถือเป็นเรื่องจริงเรื่องจังเลย เมื่อกี้ข้าพเจ้าโกรธที่ท่านดูถูกข้าพเจ้าหาว่าหลอกลวง เอางูไม่มีพิษมาเล่น "จริงอย่างนั้นท่านหมองู งูตัวนั้นไม่มีพิษ แม้แต่งูเหลือมงูเขียวก็ดูมีจะมีพิษมากกว่า เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงว่าท่านหลอกลวงประขาชนหากินไปวันหนึ่ง ๆ พิโธ่? พระดาบส ข้าพเจ้าพูดจริง ๆ ว่างูตัวนี้มีพิษร้าย ข้าพเจ้าจะสู้กับท่านด้วยเขียดน้อยเท่านั้น ท่านผู่เจริญ ท่านออกจะดูหมิ่นข้าพเจ้ามาก ท่านควรจะรู้ข้าพเจ้าเป็นหมองู ซึ่งในแผ่นดินไม่มีใครเทียมเลย โกหก ท่านลองดูเขียดของข้าพเจ้าก่อนเถิด แล้วเจ้าสุทัศย์ก็เรียกนางอัจจะมุขี ซึ่งแปลงกายเป็นเขียดน้อยอาศัยอยู่บนชฎา โดยแบมือร้องเรียก นางอัจจะมุขีก็โดดลงบนฝ่ามือ แล้วคายพิษไว้บนมือเจ้าสุทัศน์หน่อยหนึ่ง แล้วโดดขึ้นไปอาศัยอยู่บนชฎาอีก พระฤาษีจำเป็นก็ประกาศด้วยเสียงอันดังว่า เมืองพาราณสีจะพินาศเสียแล้ว พระเจ้าสาครพรหมทัตตกพระทัยมาก จึงรับสั่งถามว่า "เพราะเหตุใดจึงได้ว่าเช่นนั้น เพราะว่าพิษที่ข้าพเจ้าถืออยู่นี้ร้ายแรงเหลือที่จะกล่าว อาลัมพายก็ได้แต่ยิ้ม ๆ พิษเขียด เออ? ช่างพูดออกมาได้ว่าร้ายแรง แต่ก็ฟังต่อไป พระคุณเจ้าก็ทิ้งลงในแผ่นดินสิ ขอเดชะ หากอาตมาภาพจะทิ้งพิษนี้บนแผ่นดินแล้วไซร้ ภายในเมืองนี้ข้าวกล้าก็จะวิบัติ รุขชาติทั้งหลายจะตายหมด ถ้าเช่นนั้นจงสาดขึ้นไปบนอากาศ ถึงเช่นนั้นจะทำให้ฝนแล้งไปถึง ๗ ปี อาลัมพายชยับปากจะต่อคำสักหน่อย แต่เพราะอยู่หน้าพระที่นั่ง จึงได้แต่นิ่งฟัง แล้วทำอย่างไรจึงจะไม่มีความวิบัติ พระองค์จงตรัสให้ขุดหลุมลึกสัก ๓ หลุม หลุมที่ ๑ ใส่ยาสมุนไพรทุกชนิดลงไปให้เต็ม หลุมที่ ๒ ใส่มูลโคลงไปให้เต็ม หลุมที่ ๓ ใส่ยาทิพย์ให้เต็ม" พระราชาตรัสสั่งให้ทำดังนั้น เจ้าสุทัศน์จึงเอาพิษนาคนั้นใส่ในหลุ่มที่ ๑ ก็เป็นไฟเผาไหม้ยาทั้งปวงนั้นจนกระทั่งหมดแล้วลามไปหลุมที่ ๒ ไหม้มูลโคหมด แล้วลามไปไหม้หลุมที่ ๓ ที่ใส่ยาทิพย์แล้วจึงดับ อาลัมพายซึ่งไม่ยอมเชื่อได้ยืนใกล้หลุมที่ ๓ จึงถูกไอไฟลน ร้อนถึงถลอกปอกเปิกกลายเป็นขี้เรื้อนด่างเป็นดวง ๆ โดดออกไปห่าง พลางร้องว่าเราปล่อยนาคล่ะ ภูริทัตพอได้ยินอาลัมพายบอกว่าปล่อย ก็ออกจากกระโปรง แล้วกายร่างเป็นมนุษย์เข้าไปเฝ้าพระเจ้าสาครพรหมทัตพร้อมกับเจ้าสุทัศน์และนางอัจจะมุคี ซึ่งก็กลายร่างเป็นคนเข้าไปเฝ้าด้วยกัน เมื่อเข้าไป เจ้าสุทัศน์จึงถามพระเจ้าสาครพราหมทัตว่าทราบหรือไม่ว่าพวกเราเป็นใคร ซึ่งพระเจ้าสาครพรหมทัตก็บอกว่าไม่รู้ จึงบอกว่าพวกตนเป็นหลาน อันเกิดจากท้าวทศรถกับพระนางสมุทรชา ซึ่งเป็นน้องสาวของพระเจ้าสาครพรหมทัตเอง พร้อมกับลากลับไป และว่าจะพาพระมารดามาเยี่ยมภายหลังแล้วก็แทรกแผ่นดินกลับบาดาลไป ทางบาดาลยินดีกันใหญ่ที่เห็นเจ้าภูริทัตกลับมา เมื่อพระนางสมุทรชาได้ทราบเรื่องจากเจ้าสุทัศน์ แล้วก็คิดจะไปเยี่ยมพี่ชาย เจ้าสุโภคะซึ่งติดตามไปทางหิมพานต์ไม่พบอะไร ก็มุ่งหน้ากลับมา เผอิญได้ยินพรานป่าผู้กำลังอาบน้ำล้างบาปที่ได้ประทุษร้ายเจ้าภูริทัต จึงเอาตัวมาให้ภูริทัตตัดสิน ซึ่งภูริทัตก็ปล่อยไป เมื่อพระนางสมุทรชาไปเยี่ยมพระเจ้าสาครพรหมทัตแล้วก็กลับมายังเมืองนาค นับแต่นั้นเจ้าภูริทัตก็อยู่สุขสบายตราบจนสิ้นอายุ |
ปราชญ์บ้านนอก
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?] Group Blog All Blog |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |