ดาวน์โหลดโปรแกรม ดูละครย้อนหลัง อ่านเรื่องราวของความรู้รอบตัว วิทยาศาสตร์ ท่องเที่ยว สุขภาพ อาหาร รถยนต์ต่างๆ ไม่ทิ้งเรื่องราวความบันเทิงและเรื่องส่วนตัวอีกด้วย
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2555
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
16 สิงหาคม 2555
 
All Blogs
 
ตายแล้วฟื้น...เรื่องจริงหรือหลอกลวง

เกริ่นนำ
----------------------------------------------------------------------------
Group Blog นี้จัดทำขึ้นมาด้วยความสนใจเฉพาะตัวของเจ้าของBlog
ท่านไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่จำเป็นต้องชี้แนะอะไร เพราะผมจะ
ไม่ตอบอะไรทั้งนั้น เน้นความแปลก น่าสนใจ ดูแล้วมันตื่นเต้นก็พอ
ไม่ได้สนใจว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก หลอกลวง ทำขึ้น เพื่อจุด
ประสงค์อื่นใดก็ตาม ขอทำความเข้าใจไว้ก่อนนะครับ
----------------------------------------------------------------------------

การตาย โดยเฉพาะปรากฏการณ์และความรู้สึกเมื่อใกล้จะตาย หรือก่อนที่ความตายจะมาเยือนจริงๆ ในด้านของจิตวิทยาที่มีการรวบรวม จากคนจำนวนหนึ่งที่หมดสติตอนใกล้ตายแล้ว กลับฟื้นคืนสติขึ้นมาชั่วคราวก่อนจะตายไปจริง หรือบางทีก็อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก ที่เล่าให้แพทย์หรือผู้ใกล้ชิดฟัง

พันเอกเสนาะได้เล่าว่าเขาได้รับการวินิจฉัยว่าได้ "ตายไปแล้ว" โดยแพทย์ถึงสองครั้ง โดยครั้งแรกแพทย์ประจำโรงพยาบาล ตอนที่ยังรับราชการอยู่ที่ต่างจังหวัดทางภาคเหนือ เมื่อพ.ศ.2503 ในครั้งนั้นเขาได้ตายไป 12 ชั่วโมง พันเอกเสนาะเล่าว่าเขารู้สึกตัวว่า ได้ออกจากร่างในสภาพของร่างที่มองดูโปร่งแสง แต่ต่อมาก็รู้ว่าแต่งกายเครื่องแบบทหาร กำลังเดินตามทางที่เต็มไปด้วยหมอก ทั้งสองข้างมีหญ้าสีเขียว เขาเดินไปตามเสียงซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเสียงใคร แต่รู้สึกมีอำนาจมาก สักครู่เขาก็รู้สึกกระหายน้ำ และมีผู้คนเอาผลไม้ และน้ำมาให้ดื่ม ซึ่งทันทีที่เขาดื่มก็มารู้สึกตัวกลับมาอยู่ในร่างเดิม

การตายครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อ 8 มีนาคม 2527 ขณะที่แพทย์พระมงกุฎกำลังทำการล้างไต ที่เขาจะต้องมาทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เขาสิ้นสติไป คณะแพทย์ที่ให้การรักษาบันทึกว่าตาย ในเวลา 8.30 น. พันเอกเสนาะเล่าว่า เขาออกจากร่าง เข้าไปนอนในโลง หรือแผ่นแก้วที่ใสสะอาด และล่องลอยไปตามทางที่มีหมอกปกคลุม และผ่านไปในระดับของมิติที่เขาคิดว่าเป็นนรก และสวรรค์ชั้นต่างๆ เขาได้เห็นผู้คนที่เขารู้จักดีที่ได้ตายไปแล้ว อยู่ตามสถานที่นั้น แต่ที่แปลกก็คือเขาได้พบเพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน ถึงสิบคนที่ เขารู้ดีว่า ยังคงมีชีวิตอยู่ ทั้งหมดนอนบนเตียงไม้ เพื่อนๆพอเห็นเขา ต่างก็ร้องขออาหาร บอกว่าไม่พอจะกิน เพื่อนคนหนึ่งมีร่างที่ชุ่มไปด้วยเลือด เขาเล่าว่าเขาล่องลอยไปเรื่อยๆ จนพบแสงสว่างที่จ้ามากๆ และมีเสียงพูดว่าเขายังไม่ถึงเวลาตาย เวลาที่เขาจะต้องตายอย่างแน่นอนคือ 16 มิถุนายน 2530 และขอให้เขากลับไปยังโลก และบอกให้เขาปฏิบัติตนอยู่ในศีล ในธรรม และขอไม่ให้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง เขาได้สติกลับมาอีกครั้ง ในเวลา 19.05 ของค่ำวันเดียวกัน

แล้วเขาก็ไปหาเพื่อนทั้งสิบคน มีเพียงคนหนึ่งที่เชื่อและ หันกลับมาเข้าวัด ทำบุญเป็นประจำ ส่วนอีก 9 คน ต่างไม่เชื่อ ทุกคนทั้งเก้าต่างทยอยกันเสียชีวิต ภายในระยะเวลาไม่นานนัก คนหนึ่งประสบอุบัติเหตุอย่างรุนแรง ตายไปโดยร่างเต็มไปด้วยเลือด ส่วนเพื่อนที่เชื่อเขา นอกจากจะไม่ตาย แล้วยังเจริญขึ้นเรื่อยๆ พันเอกเสนาะถึงแก่กรรม เมื่อ 13 มิถุนายน 2530 ตรงกับวันวิสาขบูชา เพียงสามวันก่อนตาย ที่เขารู้และบอกเอาไว้ล่วงหน้า


ในปี ค.ศ.1940 คาร์ล จุง มีอายุได้ 70 ปี เขาเกิดหมดสติลงกะทันหัน ด้วยโรคหัวใจล้มเหลวฉับพลันที่โรงพยาบาล ในอัฟริกาใต้ และแพทย์ลงความเห็นว่า เขาได้ตายไปแล้ว จุงบอกว่าเขาได้เห็นร่างของตนเองโปร่งแสง ล่องลอยผ่านทางเดินหรืออุโมงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ และเขาได้พบแพทย์ที่รักษาเขาอยู่ในร่างที่โปร่งแสงเหมือนกัน ต่อมาเขาได้ยินเสียงบอกกับเขาว่า เขายังไม่ถึงเวลาตาย ให้กลับไปได้แล้ว เมื่อเขาฟื้นสติขึ้นมา มีแพทย์ที่รักษาเขากับพยาบาลยืนห้อมล้อมรอบเตียงเขา เขาเล่าให้ทุกคนฟังแต่ ไม่มีใครเชื่อเขา เพียงไม่กี่สัปดาห์ แพทย์ที่รักษาเขานั้น เสียชีวิตด้วยโรคโลหิตเป็นพิษติดเชื้อ ส่วนจุงเขามาเสียชีวิตเอาจริงๆ เมื่อ 16 ปีต่อมา

เรื่องพวกนี้ หากรวมกับเรื่องปรากฏการณ์ทางจิต เช่น การมองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า เรื่องผี อำนาจจิต ล้วนไม่ใช่สิ่งแปลกตาแปลกใจ คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับสิ่งที่อธิบายไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เกิดกับตนเอง เมื่อ ค.ศ.1974 จากการสำรวจ แกลลัพ โพลล์ ที่สหรัฐอเมริกา พบว่า 67 เปอร์เซ็นต์ของผู้สำรวจ เชื่ออย่างจริงจังว่าเป็นเรื่องจริง คนที่เชื่อนั้นเป็นคนสำคัญ หรือนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ เช่น อับราฮัม ลิงคอล์น , วินสตัน เชอร์ชิลล์ , แกลดสโตน , จีเซฟ เจอริบาลดี , อัพตัน ชินแคลร์ , ลีโอ ตอลสตอยด์ , เป็นจามิน แฟรงกลิน , จิมมี่ คาร์เตอร์ และแซ็งซองค์

ปรากฏการณ์ใกล้ตาย ที่มีผู้คนเล่าเอาไว้ในคัมภีร์ และบันทึกทั้งหลาย สามารถเกิดกับผู้คนทุกชาติทุกภาษาทุกวัย หรือกับใครก็ได้ โดยไม่มีใครสังหรณ์ล่วงหน้า ทั้งกับคนที่เชื่อ หรือไม่เชื่อ ทั้งหมดเป็นประสบการณ์รวมๆ ที่ผู้ที่ใกล้ตายนำมาบอกเล่าหลังจากได้ฟื้นสติขึ้นมา มิได้หมายความว่า ทุกคนจะเห็นเหมือนกันหมด บางคนอาจประสบบางเหตุการณ์ หรือไม่พบบางเหตุการณ์ ที่น่าสนใจ คือ เรื่องการชำระบาปบุญคุณโทษ เรื่องการประกอบกรรมดีกรรมชั่ว แทบทุกคนทุกศาสนา จะเห็นแสงสว่างจ้าสีขาว หรือสีทอง ดูจะเป็นสัญลักษณ์แห่งความจริง หรือเป็นองค์พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่

เค็นเน็ต ริงก์ นักจิตวิทยา ที่มีชื่อเสียงแห่งมหาวิทยาลัยคอนเน็คติกัต ประธานสมาคมการศึกษาปรากฏการณ์ใกล้ตายนานาชาติ ได้สรุปในหนังสือชื่อ ชีวิตตอนตาย ว่า การตายเป็นเพียงปรากฏการณ์ของการย้ายจิตวิญญาณ การรับรู้จากโลกแห่งวัตถุ หรือโลกแห่งกายสภาพที่เป็นสิ่งแปรชั้นจากจิตของมนุษย์ ไปสู่โลกแห่งคลื่นความถี่ และพลังงาน ที่เป็นโลกแห่งความจริง ในช่วงสองทศวรรษมานี้ ทั่วโลกตื่นตัวในด้านการศึกษาค้นคว้า และวิจัยพลังงานทางจิตอย่างเป็นระบบกันมาก ต่อมา เรมอนด์ มูดดี้ จิตแพทย์และนักปรัชญา ได้รายงานการวิจัยอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ และรวบรวมปรากฏการณ์รายงานจากผู้ที่ใกล้ตาย จนกลายเป็นหนังสือขายดี ในชื่อเรื่องว่า ชีวิตเบื้องหลังชีวิต มูดดี้เชื่อว่า ปรากฏการณ์ที่ผู้ใกล้ตายประสบมาเป็นเรื่องจริง

สตรีรายหนึ่ง หัวใจได้เกิดหยุดเต้นไปชั่วขณะหนึ่ง ในระหว่างการผ่าตัดหัวใจในโรงพยาบาล ชั่วขณะนั้น คลื่นหัวใจ หรืออีเคจี หายไปหมด กลายเป็นเส้นราบ แพทย์ได้พยายามให้ความช่วยเหลือ จนสุดความสามารถ และประสบความสำเร็จในไม่กี่นาทีต่อมา และการผ่าตัดก็ดำเนินไปจนเรียบร้อยทุกประการ เธอเล่าให้มูดดี้ฟังว่า ในระหว่างการผ่าตัด มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เธอรู้สึกตัวว่าได้ออกจากร่าง และมองเห็นแพทย์และพยาบาล ในห้องผ่าตัด กำลังทำการรักษาเธอด้วยเครื่องไฟฟ้า และครู่หนึ่งเธอก็ได้ลอยผ่านผนังห้องออกไปข้างนอก ไปสู่ห้องหนึ่งที่จัดเป็นห้องรับแขก หรือสำหรับญาติผู้ป่วยนั่งคอย เธอมองเห็นลูกสาวของเธอนั่งอยู่กับคนเลี้ยง โดยแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าและกระโปรงไม่เข้าชุดกัน หลังจากที่เธอฟื้นขึ้นมา เธอได้ต่อว่าคนเลี้ยงเด็กที่ไม่เอาใจใส่ปล่อยให้เด็กแต่งตัวอย่างไม่ถูกต้องในที่สาธารณะเช่นนั้น ซึ่งทำให้คนเลี้ยงเด็กตกใจมาก เพราะสตรีผู้นั้นสามารถให้รายละเอียดการแต่งตัวเสื้อผ้าได้อย่างถูกต้องทั้งหมด ทั้งๆ ที่เธอไม่มีทางรู้ได้เลย

ในรายงานของมูดดี้มีผู้ที่ใกล้ตายบางราย ที่แม้จะต้องจากโลกไปจริงๆ แต่กลับได้รับอนุญาตให้กลับมาได้อีกดังเช่น ชายคนหนึ่งที่ได้เดินทางไปสู่แสงที่สว่างจ้าแต่อบอุ่น เขาได้ประสบกับผู้ที่ทรงความรักและเมตตาอย่างยิ่ง เขาได้รับคำชี้แจงว่าถึงเวลาที่เขาจะต้องจากโลกนี้ไปอย่างแท้จริงแล้ว ซึ่งทำให้เขาเสียใจมากจนต้องร้องไห้ออกมา เขาบอกว่า เขาไม่ได้กลัวที่จะต้องจากโลก แต่เขาเป็นห่วงหลานชายคนเดียวที่กำพร้าทั้งพ่อและแม่ ซึ่งเขามีภาระที่ต้องเลี้ยงดู หากว่าเขาไม่กลับไป ภรรยาของเขาที่พิการคงไม่สามารถดูแลเด็กได้อย่างแน่นอน เนื่องจากเหตุผลของชายผู้นั้นไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของตน เขาจึงได้รับอนุญาตให้กลับมายังโลกได้อีก

มีรายงานที่น่าสนใจ รวบรวมไว้โดยโอซิสและเฮอร์ราลส์สัน อยู่หลายราย ซึ่งรายหนึ่ง ได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง คือ รายสตรีที่หัวใจวายกะทันหันระหว่างการผ่าตัด และเช่นเคยแพทย์พยายามช่วยชีวิตด้วยเครื่องอุปกรณ์ต่างๆ เช่นเครื่องกระตุ้นปอดหัวใจ ที่มีอีเล็คโตรด ในระหว่างเวลาหลายนาทีที่หัวใจของผู้ป่วยหยุด และการทำงานของคลื่นหัวใจ และคลื่นสมองเป็นเส้นตรง ซึ่งทางการแพทย์ถือว่าผู้ป่วยได้เสียชีวิตอย่างสมบูรณ์ในช่วงเวลานั้น ผู้ป่วยได้เล่าในตอนหลังเมื่อฟื้นขึ้นมาว่า เธอรู้สึกว่าได้ออกจากร่าง และไปกึ่งยืนกึ่งลอยตัว อยู่หน้าเตียงผ่าตัด และได้เห็นอย่างชัดเจนว่า แพทย์พยายามช่วยชีวิตเธออย่างไร ที่น่าแปลก คือ สตรีผู้นี้เป็นแม่บ้านที่ไม่ได้รับการศึกษาสูงเท่าไรนัก แต่เธอมีความจำเป็นเลิศ ในระหว่างการทำงานของแพทย์ได้มีการออกคำสั่งและการพูด ซึ่งส่วนมากเป็นภาษาเทคนิคทางการแพทย์ เธอยืนดูอยู่ จนกระทั่งได้ยินเสียงเป็นคำสั่งที่เธอขัดไม่ได้ ให้เธอกลับเข้าสู่ร่าง เธอเล่าให้แพทย์และพยาบาลฟัง ทุกคนประหลาดใจมาก เพราะเธอสามารถอธิบาย และพูดภาษาทางเทคนิค ได้อย่างถูกต้อง และยิ่งกว่านั้นแม้คำพูดที่แพทย์และพยาบาลโต้ตอบกัน เธอก็สามารถจำได้อย่างแม่นยำ ที่สำคัญระหว่างนั้น คลื่นหัวใจของเธอยังเป็นเส้นราบอยู่ตลอดเวลา

คิมเบอร์ลี่ คล้าร์ค นักสังคมสัมพันธ์แห่งโรงพยาบาลซีแอตเติ้ล เล่าว่าเธอได้คุยกับสตรีผู้หนึ่งที่รอดตายจากเส้นเลือดไปเลี้ยงหัวใจตีบ ด้วยการช่วยเหลือของแพทย์ สตรีผู้นั้นชื่อมาเรีย เธอได้เล่าว่า หลังที่หัวใจได้หยุดลง เธอรู้สึกว่าตัวเองลอยอยู่บนเพดานห้อง และมองลงมาเห็นหมอและนางพยาบาลกำลังช่วยเธอ ในขณะที่บางสิ่งเกิดขึ้นที่ระเบียงทางเดินห้องฉุกเฉินที่ทำให้เธอต้องละความสนใจ และทันทีที่เธออยากรู้อะไรที่ทางเดินสู่ชั้นสามตัวของเธอก็ได้ปรากฏที่นั่นทันที เธอได้เห็นรองเท้าเทนนิสข้างหนึ่งวางอยู่บนหิ้งระเบียงแคบนอกห้องพักผู้ป่วย รองเท้าเก่าข้างนั้นมีรอยขาดตรงตำแหน่งนิ้วก้อย และเชือกผูกรองเท้าข้างหนึ่งไปพันติดแน่นอยู่ที่ส้นรองเท้า เมื่อเล่าถึงตอนนี้เธอให้คล้าร์คไปดู ว่าที่เธอเห็นเป็นจริงหรือไม่ คล้าร์คไม่อยากขัดใจ จึงวิ่งไปดูให้ ปรากฏว่าเป็นจริงตามที่มาเรียพูดทุกประการ คล้าร์คบอกว่ามาเรียจะไม่มีทางเห็นได้ชัดเจนเช่นนั้น นอกจากเธอจะลอยตัว ได้และออกไปที่ระเบียงแคบนอกห้องพักนั้นได้จริงๆ


ลักษณะเฉพาะของภาวะใกล้ตาย

จากการศึกษาพบว่าแต่ละคนมีปรากฏการณ์เกี่ยวกับภาวะใกล้ตาย (a near-death experience or NDE) แตกต่างกัน แม้กระนั้นก็ยังมีความคล้ายคลึงกันที่น่าพิศวงหลายอย่างในคนเหล่านี้ ลักษณะบางอย่างมักเกิดแล้วเกิดอีกโดยไม่คำนึงถึงเพศ อายุ เชื้อชาติ วัฒนธรรม และศาสนา Bruce Greyson7,8 ผู้เป็นจิตแพทย์ชาวอเมริกันและนักวิจัยเกี่ยวกับภาวะใกล้ตายได้ศึกษาลักษณะเฉพาะของภาวะดังกล่าวอย่างน่าสนใจ เหตุการณ์เหล่านี้มักเกิดขึ้นในคนที่กำลังเผชิญกับภาวะใกล้ตาย แต่น้อยคนจะมีเหตุการณ์ทุกอย่างครบหมด

ความรู้สึกสงบ (feeling of peace) คนส่วนมากมีความรู้สึกเป็นสุขสงบ ศานติ และดื่มด่ำอย่างล้นพ้น ซึ่งเป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่เกิดขึ้นและจำได้ดีที่สุด ความรู้สึกเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานที่มีอยู่เดิมมักหายไป

ประสบการณ์นอกกายเนื้อ (out of the body experience) มักเกิดความรู้สึกว่ามีร่างอีกร่างหนึ่งออกไปจากร่างเดิม ร่างนี้บางคนเรียกว่า กายละเอียด (astral body) ซึ่งหลุดลอยออกไปจากกายเนื้อ (physical body) โดยมีสายโยงใยสีเงิน (silver cord) เชื่อมต่อระหว่างกายทั้งสองนี้9,10 กายนี้มีลักษณะโปร่งใสไร้น้ำหนัก มักล่องลอยอยู่บริเวณเบื้องบนใกล้เพดานและมองเห็นกายเดิมนอนสงบอยู่เบื้องล่าง เคลื่อนที่ไปตามที่ต่าง ๆ โดยไร้จุดหมาย

การเข้าไปสู่อุโมงค์ (into the tunnel) กายละเอียดอาจเคลื่อนเข้าสู่ความมืด ซึ่งมักเป็นอุโมงค์ที่มืดทึบ มีความรู้สึกเหมือนว่าสามารถผ่านเข้าไปได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใด ๆ เมื่อถึงปลายอุโมงค์จะมองเห็นแสงสว่างเป็นจุดเล็กและเมื่อเคลื่อนเข้าไปใกล้ ๆ แสงสว่างนี้จะใหญ่ขึ้น ๆ สำหรับบางคนภายในอุโมงค์เต็มไปด้วยแสงสว่าง ไม่ใช่ความมืด

การเข้าหาแสงสว่าง (approaching the light) แสงสว่างเป็นประสบการณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งสำหรับคนเหล่านี้เป็นจำนวนมาก มีลักษณะเป็นแสงที่สวยจ้าสุกใส มีสีขาวหรือสีทอง แต่ไม่ทำให้ตาพร่าหรือระคายตา บ่อย ๆ แสงนี้มีลักษณะคล้ายแม่เหล็ก พยายามดึงดูดกายละเอียดเอาไว้

ผู้ที่อยู่ในแสง (the being of light) ในช่วงนี้กายละเอียดอาจพบกับผู้ที่อยู่ในแสงสว่าง ถ้าเป็นผู้ที่มีศรัทธาในศาสนาอาจมองเห็น พระพุทธเจ้า อัครสาวก พระเยซูคริสต์ พระนาบีมะหะหมัด ศาสดาในศาสนาต่าง ๆ นักบุญ เทพเจ้า เทพบุตร เทพธิดา และบุคคลอื่น ๆ ผู้มีความสำคัญในศาสนาที่ตนนับถือ การเห็นบุคคลเหล่านี้เป็นประสบการณ์ทางอารมณ์อย่างรุนแรง จนไม่สามารถจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ เป็นประสบการณ์ที่น่ายินดี ปลื้มปีติ ซาบซึ้ง และมีความรู้สึกว่าได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและละมุนละไมจากบุคคลเหล่านี้

สิ่งกีดขวาง (the Barrier) ในขณะที่กายละเอียดล่องลอยไปตามที่ต่าง ๆ อยู่นั้น บางครั้งจะรู้สึกว่ามีสิ่งกีดขวางระหว่างตัวเขากับแสงสว่าง สิ่งกีดขวางเป็นเสมือนสิ่งหนึ่งที่เตือนว่าได้มาถึงจุดที่จะกลับมาไม่ได้อีกแล้ว (a point of no return) หลายคนอาจเห็นสิ่งกีดขวางนี้เป็นคน สิ่งที่มีชีวิต ประตู หรือรั้วที่คอยห้ามไว้ บางครั้งอาจเกิดความรู้สึกขึ้นมาเองว่าได้มาถึงจุดที่ไม่สามารถผ่านต่อไปอีกได้แล้ว

สถานที่อีกแห่งหนึ่ง (another country) เกิดความรู้สึกว่าตนหรือกายละเอียดได้ท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่าง ๆ เห็นทิวทัศน์, ท้องทุ่ง, ไร่นา, ขุนเขาที่มีทุ่งหญ้าเขียวขจี เต็มไปด้วยแสงสีสว่างน่าตื่นตา บางครั้งอาจเห็นสถานที่เหล่านั้นอยู่นอกสิ่งกีดขวางออกไป

การพบญาติพี่น้อง (meeting relatives) บางคราวได้มีโอกาสพบกับคนอื่น โดยเฉพาะญาติพี่น้องที่ตายไปแล้ว รวมทั้งเพื่อนฝูงหรือคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันและยังมีชีวิตอยู่ บางครั้งบุคคลเหล่านี้ก็พยักหน้า โบกมือให้หรือทำท่าคล้ายจะเป็นสัญญาณบอกให้กลับไป บางคนได้มีโอกาสพูดคุยกับคนที่เสียชีวิตแล้ว2

การเห็นภพภูมิต่าง ๆ (different realms) กายละเอียดอาจประสบภพภูมิต่าง ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน สามารถท่องเที่ยวไปตามที่ต่าง ๆ ได้คล่องแคล่ว และรวดเร็วตามใจปรารถนา บางครั้งอาจไปปรากฏในแดนที่สวยสดงดงาม เป็นสถานที่อันกอรปด้วยแสง สี และดนตรีอันไพเราะคล้ายสวรรค์หรือแดนสุขาวดี

ภาพนรก (hellish visions) บางโอกาสกายละเอียดกลับท่องเที่ยวไปในสถานที่ที่น่ากลัว วังเวงและหดหู่ มีบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความร้อนหรือความเย็นจนทนแทบไม่ได้ บางทีได้ยินเสียงหรือเห็นสัตว์นรกกำลังถูกทรมานอย่างแสนสาหัส11

การทบทวนวิถีชีวิต (the life review) แต่ละคนมักเห็นเหตุการณ์ในชีวิตปรากฏต่อหน้าอย่างชัดเจน มองเห็นกุศลกรรม หรืออกุศลกรรมที่เคยกระทำไว้ เป็นการทบทวนบุญและบาป ความดีและความชั่วของตนอีกครั้งหนึ่ง บางคนมีประสบการณ์ราวกับว่าได้มาถึงวันพิพากษาครั้งสุดท้าย (day of judgment) บางครั้งมีการระลึกถึงธุรกิจที่ยังไม่เสร็จสิ้น (unfinished business) ซึ่งทำให้เขาต้องกลับไปจัดการให้เสร็จเสียก่อน

จุดแห่งการตัดสินใจ (the point of decision) คนส่วนมากต้องการที่จะอยู่ในภาวะเช่นนี้ต่อไปนาน ๆ แต่ก็เข้าใจว่าเป็นไปไม่ได้ มีความรู้สึกว่าครอบครัวยังต้องการเขาอยู่ บางคนก็ถูกส่งกลับไปสู่ที่เดิมโดยผู้ที่อยู่ในแสงสว่าง เพื่อน หรือญาติพี่น้องที่ได้พบ ไม่มีใครยอมให้ผ่านสิ่งกีดขวางไปได้

การกลับ (the return) การกลับคืนของกายละเอียดสู่กายเนื้อมักเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก เกิดความรู้สึกคล้ายกับว่ามีพลัง ผลักให้กลับเข้าสู่อุโมงค์ด้วยความเร็วที่สูงสุดจนเข้าไปอยู่ในกายเนื้อตามเดิม

ภายหลังกลับมาแล้ว (the aftermath) สำหรับคนเป็นจำนวนมาก ภาวะใกล้ตายเป็นประสบการณ์ที่ชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่งในช่วงชีวิตของเขา มักจะจดจำอย่างติดตาติดใจเป็นเวลาหลายปีหรือจนชั่วชีวิต สิ่งที่ทุกคนรายงานเหมือนกันคือว่า เขาไม่มีความกลัวตายแม้ว่าไม่มีใครที่ต้องการจะตาย เจตคติของคนเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คือมีศรัทธาและปสาทะในศาสนาที่ตนนับถืออยู่มากขึ้น มีความเชื่อในเรื่องของผลบุญและบาป และกฎแห่งกรรมมากกว่าแต่ก่อน บางคนคิดว่ามีอำนาจจิตมากขึ้น สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า หรือสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บบางอย่างได้
















ที่มาข้อมูล
//board.palungjit.com
ที่มาคลิป
https://www.youtube.com


Create Date : 16 สิงหาคม 2555
Last Update : 16 สิงหาคม 2555 15:11:39 น. 0 comments
Counter : 954 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

scimovie
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 108 คน [?]




แหล่งรวบรวมความรู้ โปรแกรม เพลง หนัง เกมส์ วิทยาศาสตร์ ดูละคร เรื่องย่อ ภาพยนตร์ การเงิน และอื่นๆ อีกมากมาย สุดท้ายขอกำลังใจให้มีแรงอัพเดทตลอดๆ ครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยียนกันครับ
Friends' blogs
[Add scimovie's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.