ดาวน์โหลดโปรแกรม ดูละครย้อนหลัง อ่านเรื่องราวของความรู้รอบตัว วิทยาศาสตร์ ท่องเที่ยว สุขภาพ อาหาร รถยนต์ต่างๆ ไม่ทิ้งเรื่องราวความบันเทิงและเรื่องส่วนตัวอีกด้วย
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2555
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
16 สิงหาคม 2555
 
All Blogs
 
การกลับชาติมาเกิดมีจริง???

เกริ่นนำ
----------------------------------------------------------------------------
Group Blog นี้จัดทำขึ้นมาด้วยความสนใจเฉพาะตัวของเจ้าของBlog
ท่านไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่จำเป็นต้องชี้แนะอะไร เพราะผมจะ
ไม่ตอบอะไรทั้งนั้น เน้นความแปลก น่าสนใจ ดูแล้วมันตื่นเต้นก็พอ
ไม่ได้สนใจว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก หลอกลวง ทำขึ้น เพื่อจุด
ประสงค์อื่นใดก็ตาม ขอทำความเข้าใจไว้ก่อนนะครับ
----------------------------------------------------------------------------

ความเชื่อเรื่องกลับชาติมาเกิด

ความเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิด ถ้าเกิดพูดในแง่ของพระพุทธศาสนา ต้องบอกว่าเราจะไม่ใช่ความเชื่อแล้ว จะกลายเป็นความจริงของการกลับชาติมาเกิด คือความสงสัยเรื่องนี้มันมีมานาน ในครั้งพุทธกาลก็เคยเกิดขึ้น จะเห็นได้จากการทดลองในสมัยพุทธกาล ความว่า

มีพระราชาองค์หนึ่งชื่อพระเจ้าปายาสิ เป็นพระราชาของเมืองเสตัพยนคร ท่านสงสัยมากว่าคนเราตายแล้วมันสูญหรือเปล่า แล้วก็ทดลอง แต่ทดลองในวิธีของท่าน สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า ตายแล้วสูญไม่มีการเกิดใหม่ ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว แล้วก็เชื่อถืออย่างนั้น จนกระทั่งมาเจอพระอรหันต์รูปหนึ่ง คือพระกุมารกัสสปะ ท่านก็เลยเข้าไปสอบถามด้วย คิดว่าพระอรหันต์นี้สอนผิด ท่านเองเข้าใจถูกต้อง ก็จะไปคุยกับพระอรหันต์ดูเป็นยังไง แล้วก็บอกว่าไม่เชื่อว่ามีการเวียนว่ายตายเกิด ไม่เชื่อว่ามีการเกิดใหม่

พระกุมารกัสสปะ : ทำไมถึงเชื่ออย่างนั้น

พระเจ้าปายาสิ : ข้าพเจ้าเคยทดลองแล้ว พอมีคนร้าย เช่น คนไปปล้นทรัพย์ ฆ่าเจ้าทรัพย์อย่างนี้เป็นต้น เป็นนักโทษประหาร ก่อนจะประหารก็บอก ว่า ถ้าเกิดตายแล้ว มีการเกิดใหม่จริง โลกชีวิตหลังความตายมีอยู่จริง ช่วยมาบอกด้วย หรือบางครั้งคนที่ตายไม่ได้โดนประหารหรอก แต่เป็นคนไม่ดี พอป่วยจะตายก็ไปบอกว่า ตายเมื่อไหร่ ถ้าเกิดว่าชีวิตหลังความตายมีช่วยมาบอกด้วยนะ คนเหล่านี้โดนประหารบ้าง ป่วยตายบ้าง ตายแล้วหายเงียบทุกคนไม่เห็นมีใครมาบอกเลย แสดงว่าชีวิตหลังความตายไม่มี

พระกุมารกัสสปะ : ถ้าหากว่ามีโจร คนหนึ่งที่ทำอะไรผิด ๆ ไว้เยอะแยะมากมาย กระทำความผิดไว้เยอะ ถ้ามีญาติไปบอกเขาว่า เออเข้าเมืองไปแล้ว ถ้ายังไงแล้วก็ส่งข่าวด้วยนะ พอเขาเข้าเมืองไปแล้วถูกทหารจับไปขังคุก เขาจะมาส่งข่าวได้ไหม

พระเจ้าปายาสิ : ไม่ได้

พระกุมารกัสสปะ : เหมือนกันคนไม่ดี ถึงคราวตายแล้วก็ไปตกนรกลงอบาย จะไปลายมบาลมาบอกข่าว มันก็มาไม่ได้ เพราะวิบากกรรมที่เป็นอกุศลมันดึงไปสู่อบายเสียแล้ว

พระเจ้าปายาสิ : แต่ก็มีคนที่เป็นคนดีท่านก็บอกอย่างนี้เหมือนกันว่า ถ้าชีวิตหลังความตายมีละก็ ตายแล้วไปสวรรค์จริงช่วยมาบอกด้วย ถึงเวลาเห็นหายเงียบทุกคนไม่เห็นมีใครมาบอกเลย

พระกุมารกัสสปะ : เทวดาเวลาเข้าใกล้มนุษย์ที่ไม่มีศีล มีความรู้สึกเหมือนกับว่าเหม็นเหมือนกลิ่นมูถ กลิ่นคูธ เหมือนอุจจาระปัสสาวะ เหม็นตลบเลย เหมือนคนเราเข้าใกล้ศพ รู้สึกเหม็นยังไง เทวดาเข้าใกล้มนุษย์รู้สึกเหม็นอย่างนั้นเหมือนกัน เขาเลยไม่อยากมา

พระเจ้าปายาสิ : แต่ว่าหลาย ๆ คน ก็เป็นคนที่ข้าพเจ้าคุ้นเคยและรักใคร่มาก จะเหม็นยังไงเขาน่าจะกลั้นใจ แล้วมาบอกข้าพเจ้าบ้างสักนิดหนึ่งก็ยังดี

พระกุมารกัสสปะ : เวลาบนสวรรค์กับบนโลกนี้มันก็ไม่เท่ากัน สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา วันหนึ่งคืนหนึ่งบนนั้น เทียบเวลาบนโลกมันก็ 50 ปีไปแล้ว บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ วันหนึ่งคืนหนึ่งบนนั้น บนโลกเราก็เท่ากับ 100 ปี เทพบุตร นางฟ้า เหล่านี้ขึ้นสวรรค์แค่ว่าเออ ขอเพลิดเพลินในทิพยวิมาน ทิพยสมบัติ ซักวันสองวันแล้วค่อยมาบอกข่าว แค่วันสองวันผ่านไป ลงมาพระองค์ก็ละจากโลกนี้ไปเสียแล้ว เวลามันต่างกัน

พระเจ้าปายาสิ ฟังแล้วยังไม่ยอมอีก

พระเจ้าปายาสิ : ข้าพเจ้ายังได้ทดลองต่อไปอีก โดยเอานักโทษประหารเสร็จแล้วเอามาต้มให้ตาย ใส่ลงไปในหม้อปิดฝา ผนึกแน่นหมดเลย ไม่ให้มีช่องว่างเลย แล้วก็ต้ม จนมั่นใจว่านักโทษตายเรียบร้อยแล้ว ต้มจนน้ำเดือดแล้วก็เปิดรูเล็กๆ คอยสังเกตจะมีชีวะ ถ้าเกิดมีวิญาณจริง มีชีวะจริง มันต้องเห็นออกมาสักทีหนึ่ง ค่อย ๆ เปิดช่องเล็กๆแล้วก็ดู ไม่เห็นมีอะไรออกมาเลย จนเปิดฝาก็เห็นว่า นักโทษนั้นก็ตายไปแล้วจริง ๆ แต่ว่าก็ไม่เห็นมีชีวะอะไร ก็แสดงว่าชีวะหรือวิญญาณคงไม่มี มีแต่ตัวแล้ว ตายแล้วก็หมดเลย

พระกุมารกัสสปะ : พระองค์หลับแล้วฝันไปไหม ฝันว่าไปเที่ยวในอุทยานของพระองค์เอง แล้วเจอนางสนมกำนัลเยอะแยะเลย

พระเจ้าปายาสิ : เคย

พระกุมารกัสสปะ : แล้วนางสนมกำนัลเคยเห็นพระองค์ไหม ตอนที่พระองค์ฝันไปในอุทยานเขาเห็นพระองค์ไหม

พระเจ้าปายาสิ : ไม่เห็น

พระกุมารกัสสปะ : ก็ขนาดชีวะพระองค์ตอนเป็น ๆ ออกไปเที่ยวอุทยาน นางกำนัลยังไม่เห็นเลย แล้วชีวะของโจรที่ตายแล้วพระองค์จะไปเห็นได้ยังไงล่ะ

พระกุมารกัสสปะ พูดอย่างนี้ พระเจ้าปายาสิก็ตอบไม่ได้อีกแต่ยังไม่ยอมแพ้

พระเจ้าปายาสิ : ข้าพระองค์ยังทดลองต่อ คือเอาคนมา แล้วมาชั่งกิโลว่ามันหนักเท่าไหร่ กิโลละเอียดมากเลย เครื่องชั่งละเอียดมาก เสร็จแล้วพอเขาตายก็มาชั่งต่อเท่าไหร่ ถอดเสื้อผ้าออกหมดเลย เหลือแต่ตัวเปล่า ๆ ไม่ให้กินน้ำอะไรก่อนใกล้ ๆ จะตายชั่ง แล้วดูสิว่าพอหลังจากตาย ถัดไปอีกแค่ไม่กี่นาที น้ำหนักจะเปลี่ยนยังไง ถ้าชีวะมีจริง ออกไปจากตัวน้ำหนักคงจะต้องลดบ้างล่ะ ไม่เห็นลดเลย แถมคนตายยก ๆ จะรู้สึกว่ามันหนัก ๆ ด้วยซ้ำไปมันแข็งทื่อ น้ำหนักไม่เห็นลดลงแสดงว่าชีวะคงไม่มี

พระกุมารกัสสปะ : เหล็กเอาไปเผาไฟ มันก็ร้อน พอมันเย็นตัวลง มันก็ยังรู้สึกว่ามันยังหนัก ๆ แต่ตอนที่มีเตโชธาตุมีธาตุไฟร้อน ๆ อยู่ น้ำหนักมันจะดูเบา ๆ ลงมานิดหนึ่ง มีความอุ่นเกิดขึ้น คนเราก็เหมือนกัน ชีวะมันเป็นของละเอียดมันไม่ได้ส่งผลว่าน้ำหนักจะขึ้นจะลงเท่าไหร่หรอก

พระเจ้าปายาสิค่อย ๆ ไล่ถามอีกเยอะเลย พระกุมารกัสสปะ กัสสปะก็ตอบทีละข้อ ๆ จนกระทั่งพระองค์หูตาสว่างเริ่มยอมรับ แต่บอกว่าจะให้เปลี่ยนความเชื่อคงไม่ได้หรอก อายชาวบ้านเขา อายพระราชาเมืองอื่น เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าข้าพเจ้าเป็นคนไม่เชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย ขืนมาเปลี่ยนตอนนี้ เสียหน้าแย่เลย เปลี่ยนไม่ได้ ติดทิฏฐิมานะในตัวเอง

พระกุมารกัสสปะ : ถ้าพระองค์เห็นคนคนหนึ่ง แบกกระสอบหญ้าไป เดินๆ ไปแล้ว ถึงเวลาไปเจอกระสอบป่าน ที่ไม่มีเจ้าของเขาควรจะทิ้งกระสอบหญ้าแล้วแบกกระสอบป่านที่มีค่ามากกว่าไหม

พระเจ้าปายาสิ : ควรสิ

พระกุมารกัสสปะ : แล้วถ้าเกิดเขาไม่ยอมทิ้งบอกว่า อุตส่าห์แบกมาตั้งนานแล้ว จะทิ้งก็เสียดาย งั้นแบกกระสอบหญ้าต่อไปเถอะกระสอบป่านไม่เอาแล้ว อีกหน่อยแบกกระสอบป่านไปเจอกระสอบผ้าไหม เจอกระสอบเพชรชนิลจินดาก็ไม่ยอมทิ้งกระสอบหญ้ากระสอบป่าน เขาบอกว่าเสียดาย อุตส่าห์แบกมาตั้งนานแล้วขอแบกต่อ ของดี ๆ ที่เจอใหม่ ๆ ก็ไม่เอา คนนั้นโง่หรือฉลาด

พระเจ้าปายาสิ : บอก โอโง่ โง่มากเลย

พระกุมารกัสสปะ : แล้วพระองค์ควรจะเป็นคนโง่หรือฉลาดล่ะ ควรจะยึดถือทิฏฐิที่ถือมาผิด ๆ แต่ไม่ยอมทิ้งเพราะเสียดาย อุตส่าห์ถือมาตั้งนานแล้ว นี่จะถือต่อไปหรือควรจะถือในทิฏฐิที่ถูกต้อง หรือความเห็นที่ถูกต้องมากกว่า

พระเจ้าปายาสิเลยหูตาสว่าง ยอมปรับความเห็นผิด แล้วมานับถือพระพุทธศาสนา ประพฤติปฏิบัติธรรมจนกระทั่งรู้ว่าความจริงของชีวิตคืออย่างไร


การปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิจนสามารถการระลึกชาติ(ปุพเพนิวาสนุสติญาณ)


สิ่งที่วิทยาศาสตร์เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้คือ พยายามจะแสวงหาความจริงของโลก ของชีวิต แต่วิธีการแสวงหาก็คือศึกษาว่า กลไกของชีวิต กลไกของโลกทำยังไง แล้วก็ค่อย ๆ เข้าใจกฎเกณฑ์ทางด้านชีววิทยา กฎเกณฑ์ทางด้านฟิสิกส์และเคมีมากขึ้น ก็เอาสิ่งเหล่านี้มาใช้พัฒนาความเป็นอยู่ของคนเรานี่ให้สะดวกสบายขึ้น เข้าใจกฎเกณฑ์ทางชีววิทยาก็มาใช้เรื่องการแพทย์ การผลิตยา การรักษาโรค เป็นต้น

การเข้าใจกฎเกณฑ์ทางด้านฟิสิกส์และชีวะก็มาใช้ในการสร้างเครื่องจักร สร้างโรงงานสร้างบ้านเรือน ตึกรามบ้านช่อง สร้างโทรศัพท์มือถือ วิทยุ ทีวีต่างๆ เยอะแยะ รถยนต์สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลาย แต่สิ่งที่วิทยาศาสตร์ทำความเข้าใจ ส่วนใหญ่จะอยู่ใน 3 เรื่องนี้ คือชีวะ ฟิสิกส์ และเคมี เป็นหลัก

แต่มีอีกอันหนึ่ง คือเรื่องของใจ วิทยาศาสตร์ทางใจ นักวิทยาศาสตร์ยังเข้าใจน้อยมากเลย จะเป็นนักจิตวิทยา นักจิตเวช ก็ยังเข้าใจเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น แม้นักวิทยาศาสตร์เคมี ชีวะ ความรู้ที่มีอยู่ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับชั้นประถม แต่ความรู้ทางด้านจิต นักวิทยาศาสตร์ทางใจต้องบอกว่า อยู่ในชั้นอนุบาลหรือเตรียมอนุบาลด้วยซ้ำไป อนุบาลยังไม่ได้เข้าเลย แค่เตรียมอนุบาล มันยังผิวเผินมาก ๆ เลย อย่างศึกษาเรื่องชีวิตหลังความตายว่า เกิดใหม่มีไหม เขาไม่รู้จะศึกษายังไง ก็เอาแต่เพียงว่าไปหาใครที่มีประสบการณ์แปลก ๆ คือระลึกชาติได้ ก็พยายามจะรวมข้อมูล พูดง่าย ๆ ยังไม่รู้กลไกของมัน แต่ว่าเอาแค่ศึกษาจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมาจริง ว่าเออ คนที่ระลึกชาติได้มันมีจริง ๆ แสดงว่าชาติก่อนคงจะมีจริง แต่กลไกการเวียนว่ายตายเกิดเป็นยังไง ไม่รู้ นี่เป็นแค่ขั้นต้น แต่ก็ส่งผลสั่นสะเทือนพอสมควร จนกระทั่งว่า คนตะวันตก คนที่มีความรู้เริ่มเชื่อเรื่องการเกิดใหม่ เรื่องชีวิตหลังความตายมากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ แม้ยังไม่เข้าใจกลไกดีแต่ก็เห็นปรากฏการณ์ มันมีจริงๆ แล้วจะตอบได้ยังไง ไม่ใช่คนเดียว มีเป็นสิบ เป็นร้อย เป็นพันคน ที่รวมข้อมูลมาว่าเขาสามารถระลึกไปได้ อย่างที่ว่ามันเกินกว่าจะบังเอิญ

ทำไมจึงมีบางคนระลึกชาติได้ แต่คนส่วนใหญ่ระลึกชาติไม่ได้ เพราะโดยปกติพอมาเกิดในครรภ์มารดาแล้วมันลืม แต่คนที่ระลึกชาติได้เพราะว่าบังเอิญเป็นกรณีพิเศษ คนเหล่านี้เผอิญอยู่ในจังหวะที่ลงตัวแล้วก็เลยระลึกชาติตัวเองได้ พอเกิดมาก็เลยจำได้ว่า ภพในอดีตเขาเป็นยังไงบ้าง คนเหล่านี้อาจจะมีอยู่เพียงแค่หนึ่งในหมื่น หนึ่งในแสน หนึ่งในล้าน นี้เป็นต้น

แต่ว่าถ้าเกิดว่าเข้าใจวิทยาศาสตร์ทางใจให้ได้จริง ๆ จะต้องศึกษาตามหลักพระพุทธศาสนา คือการปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ ไปเห็นดวงใจจริง ๆ ว่าเป็นยังไง นักจิตเวช จิตวิทยา ปัจจุบันยังไม่รู้เลยว่าใจเป็นยังไง ยังไม่เคยเห็นใจตัวเองใจคนอื่น แต่นั่งสมาธิเมื่อไหร่จะเห็นว่า ใจเรานี่เป็นอย่างนี้ ประกอบขึ้นจากอะไร วิเคราะห์แยกธาตุแยกส่วนได้หมด ต้องมีเห็นจำคิดรู้ ดวงเห็น ดวงจำ ดวงคิด ดวงรู้ สี่อย่างรวมหยุดเป็นจุดเดียวกัน กลายเป็นใจ มันเป็นยังไง ในดวงเห็นเป็นยังไง ดวงจำเป็นยังไง ดวงคิดเป็นยังไง ดวงรู้เป็นยังไง ที่ประกอบด้วยธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นยังไงบ้าง ระลึกชาติได้เป็นยังไง ไม่ใช่ชาติเดียวได้เป็นร้อย ๆ ชาติก็ทำได้ ถ้าใจนิ่ง ๆ สมาธิดี ๆ เป็นอสงไขยชาติยังได้เลย ไล่เป็นกัปล์กัลป์ ๆ หลายๆกัปล์กัลป์ อสงไขยกัปล์กัลป์ เราได้รู้หลักคำสอนที่ถูกต้องของพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าปฏิบัติธรรมจนไปเข้าถึงความจริงของโลกและชีวิตนี้ ดังนั้น ตั้งใจศึกษาให้ดี เราจะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาไปแวะข้างทาง แล้วเมื่อคนเราเข้าใจ และมีความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย ผลที่ตามมาคือ มาตรฐานทางศีลธรรมในใจของคน คนนั้นจะสูงขึ้น

คนที่คิดว่าเกิดแล้ว ชาติเดียวก็ตายแล้วก็หมดไม่มีเหลือเลย คนคนนั้นมีโอกาสที่จะทำบาปสูง เพราะรู้สึกว่าตายแล้วก็หมดกัน ถ้าทำบาปไม่มีใครเห็นก็ไม่มีปัญหาอะไร ตายแล้วก็จบแต่คนไหนเชื่อว่าตายแล้วไปเกิดใหม่ แล้วตัวเองต้องรับผลของตัวเองที่กระทำไว้ไม่ว่าจะมีใครเห็นหรือไม่ก็ตาม ผลยังเกิดไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ เกิดไปภาคหน้าด้วย ความยับยั้งช่างใจจะไม่ทำบาป มันจะมีมากกว่า พลังใจแรงบันดาลใจในการทำความดีจะมีสูงกว่า จะไม่โอดครวญแค่สิ่งที่เจอเฉพาะหน้า ทำดีแล้วทำไมไม่ได้ผลดีทันที ทำบาปแล้วคนทำไม่ดีทำไม่ได้รับผลตอบแทนทันที พอมองเห็นถึงความเป็นจริงว่า ชีวิตไม่ได้จบแค่ชาตินี้ แล้วก็ชีวิตไม่ได้เริ่มต้นแค่ชาตินี้ แต่มันเริ่มมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน สิ่งที่เราเจอตอนนี้ไม่ใช่เกิดจากผลการกระทำชาตินี้อย่างเดียว มันมีผลการกระทำในชาติอื่นมาผสมผสานด้วย ผลแห่งกรรม มันซับซ้อน แต่ว่าจะตั้งใจทำความดี แล้วก็ยับยั้งช่างใจไม่ทำบาป ตรงนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกของสังคมมนุษย์ด้วย


การกลับชาติมาเกิด ในมุมมองวิทยาศาสตร์

เรื่องนี้เก็บความมาจาก บทความเรื่อง Past Life Regression Therapy Research - PureInsight Net ซึ่งกล่าวว่า ความเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดนี้ เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง มาแต่โบราณกาล โดยเฉพาะในซีกโลกตะวันออก ต่อมาในทศวรรษหลังๆ ความเชื่อนี้ค่อยๆลดน้อยลง เนื่องมาจากความศรัทธาต่อศาสนาที่เสื่อมถอยอย่างรวดเร็ว และถูกแทนที่ด้วย แนวคิดทางวิทยาศาสตร์วัตถุนิยม คู่แฝดมากับลัทธิบริโภคนิยม ที่ขยายตัวอย่างสูงสุดในปัจจุบัน คนจำนวนมากมองศาสนาเป็นเพียงวัฒนธรรมรูปแบบ ที่มีพิธีกรรมต่างๆ อันยุ่งยาก พ้นสมัย ในโลกตะวันตกถึงกับปฏิเสธ เรื่องการกลับชาติมาเกิดโดยสิ้นเชิง มานานแล้ว และได้ลามปามมาถึงฝั่งตะวันออก จนกลายเป็นแนวคิดหลักไปแล้วในขณะนี้ คนเฒ่าคนแก่ที่เคยเชื่อเรื่องดังกล่าว ก็ชักไม่แน่ใจในความเชื่อนี้เช่นกัน

แต่แล้ว จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ก็ปรากฏขึ้น ในโลกวิทยาศาสตร์เอง เมื่อปรากฏว่า หลายปีมานี้มหาวิทยาลัยหลายแห่งในอเมริกา และยุโรป กำลังทำการค้นคว้าวิจัยทางการแพทย์ อย่างขมักเขม่น เกี่ยวกับเรื่องการกลับชาติมาเกิด เช่น ม.พริ๊นซตั้น และ ม.เวอร์จิเนีย ของอเมริกา ,ม.เอดินเบริก ในสหราชอาณาจักร, ม.แอมสเตอร์ดัม ของเนเธอร์แลนด์, ม.ฟรายเบอร์กใน เยอรมันนี เป็นต้น มีนักศึกษาจำนวนไม่น้อย ที่ได้ปริญญาเอก จากงานวิจัยในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และ งานวิจัยเชิงวิชาการด้านจิตเวชศาสตร์ ได้เปลี่ยนโฉมหน้าไปแล้วโดยสิ้นเชิง งานวิจัยเหล่านี้ได้พิสูจน์อย่างเด่นชัด ว่า การกลับชาติมาเกิด ไม่ใช่นิยายลึกลับ หากแต่เป็นสถานภาพที่แท้จริง แห่งการดำรงอยู่ของชีวิตมนุษย์

ตัวอย่างหนึ่งของนักวิจัยเรื่องนี้ได้แก่ ดร.เอียน สตีเวนสัน แห่งแผนก การศึกษาด้านบุคลิกภาพ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ ม.เวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา โดยท่านได้เดินทางไปในที่ต่างๆทั่วโลก เป็นเวลาถึง 37 ปีเพื่อไปทำการสังเกตุ บันทึก รวบรวม ทดสอบ และ แยกแยะ ผู้คนต่างๆที่ได้พบ ซึ่งส่วนมากเป็นเด็ก ที่ระลึกชีวิตในอดีตได้ และมีรอยตำหนิแต่แรกเกิด ( birth marks ) หรือ ความผิดปกติแต่แรกเกิด ( birth defects ) ซึ่งสอดคล้องกับ รอยแผลที่ทำให้ถึงแก่ชีวิต ของผู้ที่เด็กจำได้ จากการระลึกชาติของตน ปัจจุบัน ดร.เอียน สตีเวนสัน อายุ 80 กว่าแล้ว ข้อมูลที่ท่านได้เก็บบันทึกไว้มีนับพันๆ ราย ที่เป็นของเด็กอายุระหว่าง 2 ถึง 7 ปี ที่อาศัยอยู่ใน ตะวันออกกลาง ,ยุโรป ,เอเชีย และอเมริกา ซึ่งน่าแปลกที่ว่า ความสามารถระลึกชาติได้ของเด็กเหล่านี้ จะค่อยๆลดน้อยลงเมื่ออายุประมาณ 7 ปีขึ้นไป. เด็กเหล่านี้จะพูดขึ้นมาเองถึงชีวิตในชาติก่อนของตน และต้องการจะกลับบ้านเดิมของตน คิดถึงแม่ หรือสามี ในชาติก่อน และมักจะแสดงออกซึ่งความหวาดกลัวอย่างรุนแรง( phobia ) ที่ผิดปกติในสภาพแวดล้อมของครอบครัว ปัจจุบัน หรือไม่อาจอธิบายได้จากเหตุการณ์ในปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านี้พวกเขายังรู้จักสิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยได้เรียนรู้หรือได้ฟังมาก่อน ในชีวิตนี้ ที่น่าแปลกอีกก็คือ คำบอกเล่าของเด็กเหล่านี้สามารถแสดงถึงความเกี่ยวข้อง กับ ชีวิตจริงหรือ เหตุการณ์ความตาย ได้ในหลายกรณี ดร.สตีเวนสัน เขียนไว้ว่า “ บ่อยครั้ง เด็กเหล่านี้ได้พูดถึง คน และเหตุการณ์ต่างๆ ในชาติก่อน ซึ่งไม่ใช่ชีวิตที่ไม่เป็นที่รู้จักในศตวรรษก่อนๆ แต่เป็นชีวิตที่เจาะจง เป็นตัวตนที่สามารถชี้ชัดออกมาได้ ทว่าเป็นผู้ซึ่งไม่เคยเป็นที่รู้จักของคนในครอบครัวเด็กเองโดยสิ้นเชิง และเป็นผู้คนที่อยู่ต่างถิ่น ต่างแดน หรือในประเทศอื่นๆ และที่แปลกมากๆคือ เด็กๆเหล่านี้สามารถพูดภาษาอื่นที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนได้ “ แต่ละเหตุการณ์ได้ถูกบันทึกไว้อย่างระมัดระวัง ถูกตรวจสอบและค้นคว้า อย่างรอบคอบเป็นพิเศษ โดยคณะกรรมการของดร.สตีเวนสัน ท่านเองได้ตีพิมพ์หนังสือออกมาจำนวนหนึ่ง ที่เขียนถึงบันทึกการค้นพบที่น่าแปลกใจ เหล่านี้ เช่นหนังสือชื่อ “ เด็กๆผู้สามารถจดจำชีวิตแต่ปางก่อน – คำถามเกี่ยวกับการระลึกชาติ” , หนังสือ “ การระลึกชาติและชีววิทยา” เป็นต้นในหนังสือเรื่อง “ รอยตำหนิแรกเกิด “ ท่านมีรายงานถึง 200 กว่าราย ซึ่งเด็กเหล่านี้ได้อธิบายในรายละเอียดเกี่ยวกับการตายในชาติก่อน เช่นว่า ถูกยิง หรือถูกแทง ด้วยของมีคม ซึ่งตำแหน่งที่ถูกยิงหรือแทงนี้ ตรงกับรอยตำหนิแรกเกิดของพวกเขา และดร.สตีเวนสัน ก็สามารถพบรายงานทางการแพทย์หลังคลอด ที่เกี่ยวข้อง กันนี้ ของเด็กๆ ที่สามารถยืนยัน คำพูดของพวกเขาได้อย่างแม่นยำ

ยังมีงานวิจัยอีกแบบหนึ่ง เกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิด โดยวิธีการสะกดจิตโดยนักจิตวิทยา เพื่อให้ผู้ถูกสะกด ฟื้นคืนความทรงจำในชาติก่อน อันที่จริง การสะกดจิตโดยตัวมันเอง ไม่ได้อธิบายกระบวนการ ฟื้นความจำในชาติก่อน หากแต่เป็นเพราะ เทคนิกที่เรียกว่า Past Life Regression Therapy { PRL }หมายถึงการรักษาโดยการฟื้นความทรงจำย้อนกลับไปยัง อดีตชาติ ผู้ที่อยู่ภายใต้การรักษาแบบนี้ไม่ได้หลับไป และคลื่นสมองก็มีลักษณะแตกต่างจากสภาวะหลับ นอกจากนี้โดยอาศัยการพิจารณาลักษณะคลื่นสมอง นักจิตวิทยาบางคนจะสามารถชักนำให้ผู้ถูกสะกดเข้าสู่ภาวะการรู้สึกตัวในระดับต่างๆกันได้ดีกว่าการสะกดจิตแบบเดิมๆ ซึ่งในสภาวะเช่นนี้ จะเหมือนกับสภาวะของการทำสมาธิของผู้ปฏิบัติธรรมแบบพุทธ หรือ เต๋า เราทราบกันดีว่า ภายใต้สภาวะการรวบรวมสมาธิ ผู้ถูกสะกดจะสามารถสัมผัสได้ถึงสมาธิระดับลึก ทำให้เขาสามารถรับรู้ประสบการณ์ในอดีตได้ ในขณะที่ยังมีสติระลึกรู้อยู่กับปัจจุบัน พวกเขายังสามารถจำอดีตชาติในหลายศตวรรษก่อน อย่างไรก็ดีเราอยากจะตั้งข้อสังเกตว่า PRL เป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันมากในหมู่นักวิชาการมีทั้งยอมรับ และคัดค้าน David Quigley กล่าวว่า สำหรับเรื่องนี้เขาพบข้อมูลจำนวนมหาศาล ในแวดวงของเขาและในงานทดลองวิจัยเรื่องนี้ ซึ่งสามารถพิสูจน์ว่า ในเขตแดนความทรงจำของอดีตชาติ นี้มีพื้นฐานอยู่บนประวัติบุคคลและเหตุการณ์ ที่มีอยุ่จริงในประวัติศาสตร์

เขายังได้อ้างถึง งานสัมมนาวิจัยระหว่าง Helen Wambach , Marge Rieden และ Ian Stevenson( การศึกษา กรณีการระลึกชาติ 30 ราย ) เขากล่าวต่อไปว่า ผู้ซึ่งยังคงปฏิเสธเรื่อง นี้อาจคิดว่าตนเองคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์กว่า แต่จริงๆแล้ว พวกเขากำลังติดกับดัก ของหลักการที่ไร้เหตุผล ซึ่งเทียบได้กับความเชื่อของเหล่านักปราชญ์ใน ศตวรรษที่ 16 ซึ่งยึดถืออย่างเหนียวแน่นในความเชื่อที่ว่า โลกเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะจักรวาล

Dr.Brian Weiss สำเร็จการศึกษาด้านจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัย โคลัมเบีย และมหาวิทยาลัยเยล เป็นประธานของภาควิชาจิตเวชศาสตร์ ที่ศูนย์การแพทย์ Mount Sinai ในไมอามี่ ท่านเป็นนักวิจัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในด้านการใช้เทคนิก PRL หลังจากที่ท่านจบการศึกษาที่เยล ก็ไปเป็นผู้บรรยายที่ มหาวิทยาลัย พิทสเบริก และมหาวิทยาลัยไมอามี่ เมี่อท่านอายุได้ 80 ปี ท่านได้ตีพิมพ์หนังสือวิชาการกว่า 40 เล่ม เดิมทีในฐานะที่เป็นนักวิชาการจากระบบการศึกษาแบบเก่า ท่านไม่ได้สนใจเกี่ยวกับ Parapsychology ( จิตวิทยาเปรียบเทียบ ) ท่านไม่มีความรู้และความสนใจแม้แต่น้อย ในเรื่องการกลับชาติมาเกิด แต่หนังสือเล่มหนึ่งของท่าน ชื่อ Many Lives , Many Masters สามารถขายได้ 2 ล้านเล่ม และได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆกว่า 20 ภาษา บทคัดย่อของหนังสือเล่มมีความว่า “ จิตเวชศาสตร์และอภิปรัชญา กลืนกลายเข้าด้วยกันใน.........ผู้ที่ครั้งหนึ่ง เคยยึดมั่นอย่างเหนียวแน่นใน วิธีการทางคลินิกด้านจิตเวชศาสตร์ จะพบว่าตนเองลังเลที่จะยอมรับการรักษาแบบย้อนอดีตชาติ พลันเมื่อผู้ที่ถูกเขาสะกดจิต ได้เปิดเผยเรื่องราวในอดีตชาติของเขาออกมา

Dr.Weiss บรรยายในหนังสือ Many Lives, Many Masters เกี่ยวกับประวัติของคนไข้คนหนึ่งของเขา คือ แคทเธอลีน อายุราว 30 ปีในขณะนั้น เธอเข้ามาพบเขาที่คลินิกด้วยอาการเฉียบพลัน จากการถูกความกลัวและความวิตกกังวล อย่างรุนแรง จู่โจม เขาได้ให้การรักษาทางจิตเวชแบบเดิมแก่เธอ นาน 1 ปี แต่ก็ไร้ผล เธอเป็นคนใจแคบและปฏิเสธการใช้ยาใดๆ แต่สุดท้ายก็ยอมรับการรักษาด้วยการสะกดจิต โดยไม่แน่ใจนัก ดร.ไวส์รู้สึกว่า สภาพจิตของแคทเธอลีนอาจจะเกี่ยวข้องกับ ความทรงจำที่เก็บกดไว้ตั้งแต่ช่วงวัยเด็กของเธอ เขาเชื่อว่าหากเธอสามารถฟื้นความจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตได้ ภายใต้การสะกดจิต ปัญหาก็จะแก้ตกไปได้ แล้วเธอก็จะเป็นอิสระจากความทรงจำเหล่านั้น เธอจะต้องหายจากความเจ็บป่วยได้หมดแน่ แต่แม้เธอจะสามารถฟื้นความทรงจำที่ไม่ดีในวัยเด็กได้ เธอก็คงยังไม่หายป่วยอยู่ดี ดังนั้นดร.ไวส์จึงตัดสินใจให้เธอ ระลึกย้อนความทรงจำกลับไปอีก ในช่วงก่อนวัยเด็กของเธอ ในระหว่างช่วงของการรักษาครั้งหนึ่ง เมื่อแคทเธอลีนอยู่ในภาวะถูกสะกดจิต ดร.ไวส์พูดกับเธอว่า “ กลับไป ณ เวลาที่อาการของคุณเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก “ ดร.ไวส์มิได้คาดหวังว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แคทเธอลีนพูดว่า “ ฉันมองเห็นขั้นบันไดสีขาว ทอดยาวขึ้นไปสู่อาคารที่มีเสามากมาย ด้านหน้าของมันกว้างขวางมาก แต่ไม่มีระเบียง ฉันใส่กระโปรงยาว และเสื้อคลุมยาว ที่ทำจากผ้าเนื้อหยาบ ผมสีบลอนด์ของฉันถักเป็นเปีย “ ดร.ไวส์ไม่อาจเข้าใจความหมายที่เกี่ยวข้องกัน ของเรื่องที่ได้ยินนี้ เขาจึงถามเธอว่า ตอนนั้นเป็นปีอะไร และเธอมีชื่อเรียกว่าอะไร เธอตอบว่า “ อารันด้า อายุ 18 ปี , ตอนนั้นเป็นปี 1863 ก่อนคริสตกาล พื้นดินกันดาร , ร้อน และทุกแห่งเต็มไปด้วยทราย มีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่ง แต่ไม่มีแม่น้ำ น้ำไหลมาจากภูเขาลงมาสู่หุบเขา แคทเธอลีนได้ย้อนความทรงจำไปสู่ยุค 4000 ปีก่อนในตะวันออกกลาง ชื่อของเธอไม่ใช่แคทเธอลีน และรูปลักษณ์ของเธอก็แตกต่างไปจากปัจจุบัน รูปหน้า ร่างกาย ทรงผม และเสื้อผ้าก็ไม่เหมือนปัจจุบัน เธอสามารถจำภูมิประเทศที่เกี่ยวข้อง เสื้อผ้าและการแต่งตัว ตลอดจนรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน จนกระทั่งถึงช่วงที่พบกับความตาย จากการจมน้ำ ซึ่งลูกของเธอถูกดึงออกไปจากอ้อมกอดเธอ เธอจำได้กระทั่งว่าหลังจากตายแล้ว จิตของเธอก็ลอยออกมาอยู่เหนือร่างกายนั้น ในระหว่างการรักษาครั้งนี้เธอยังสามารถระลึกชาติอื่นได้อีก 2 ชาติ หนึ่งในสองชาตินั้นเธอเป็นโสเภณีในประเทศสเปน ยุคศตวรรษที่ 18 ส่วนอีกชาติหนึ่งเป็นหญิงชาวกรีกในช่วงก่อนคริสตกาล คำพูดเหล่านี้ทำให้ดร.ไวส์รู้สึกอึ้งไป เขารู้ดีว่าเธอไม่ได้มีอาการเหมือนพวกบุคลิกแปรปรวน หรือ แปลกแยก และเธอก็ไม่ได้รับยาอะไร เขาพบว่าในระหว่างถูกสะกดจิตเธอ คล้ายกับฝันไป แต่สิ่งที่มีนัยสำคัญที่สุดคือ สุขภาพของเธอดีขึ้น ซึ่งเขารู้ดีว่ามันไม่ใช่เป็นผล จากการเกิดภาพหลอน หรือ ความฝันอย่างแน่นอน

ในระหว่างช่วงของการติดตามผลการรักษา แคทเธอลีนยังสามารถระลึกชาติได้อีก 10 ชาติ เธอได้ประสบกับเหตุการณ์ที่มีทั้งความกลัว และความสุข ที่มีผลควบคุมพฤติกรรมของเธอในปัจจุบันชาติ ทำให้เธอเริ่มยอมรับ ,เข้าใจ และสุดท้ายก็สามารถเอาชนะ สิ่งต่างๆเหล่านั้นที่คอยผลักดัน พฤติกรรมที่ไม่ดีของเธอ แล้วเธอก็สามารถเอาชนะความกลัว และได้พบกับความสงบภายใน ในระหว่างการถูกสะกดจิตเธอยังพบว่า ผู้คนที่เคยเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเธอเมื่ออดีตชาติ ยังเคยเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเธอในอีกหลายๆชาติ รวมทั้งในชาตินี้ด้วย ตัวอย่างเช่น ดร.ไวส์ เคยเป็นครูของเธอ , เป็นสามีของเธอ และเคยเป็นผู้ที่สังหารเธอในสงครามระหว่างชนเผ่า เมื่อครั้งที่เธอกลับชาติมาเกิดเป็นเด็กชายของชนเผ่าหนึ่ง สัมพันธภาพในช่วงชีวิตนี้ก็ไม่ใช่สัมพันธภาพที่ดีอีกเช่นกัน ตรงกับสิ่งที่อาจารย์หลี่ หง จื้อ กล่าวไว้ว่า

”ผู้คนกลับชาติมาเกิด เป็นกลุ่มก้อน เพื่อชดใช้หนี้กรรม หรือร่วมทุกข์สุขกัน ทว่าแตกกันไปในบทบาทและช่วงวัย และก็ต่างกันกับในชาติก่อนๆด้วย “

สิ่งที่ดร.ไวส์ได้ยินได้ฟังจากแคทเธอลีน ในระหว่างการรักษาแบบ PRL นั้นยังมีเรื่องความลี้ลับของชีวิตมนุษย์ด้วย เช่น แคทเธอลีนจำได้ว่า ในขณะเมื่อพบกับความตาย จิตของเธอจะลอยออกมาอยู่เหนือร่างกายเธอเสมอ แล้วก็ถูกเรียกกลับไปสู่โลกของจิตวิญญาณ โดย “ แสงแห่งความเมตตา “ และในช่วงนี้เธอยังได้สัมผัสกับ “ ผู้ดูแล “ จิตวิญญาณหลายๆท่าน ซึ่งท่านเหล่านี้สามารถสื่อสารและส่งข่าวสารด้านจิตวิญญาณมายังดร.ไวส์ โดยผ่านแคทเธอลีน และในระหว่างที่อยู่ภายใต้การสะกดจิตนี้ แคทเธอลีน ได้เรียนรู้เข้าใจสี่งต่างๆมากยิ่งกว่าในช่วงชีวิตตามปกติของเธอเสียอีก ดร.ไวส์ เองก็ค่อยๆคลายความลังเลสงสัย ในความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตในชาติก่อนตามไปด้วย

ครั้งหนึ่งในช่วงPRL แคทเธอลีน จำได้ถึงความตายในชาติหนึ่งของเธอ เมื่อหลายศตวรรษก่อน ในขณะที่จิตของเธอถูกนำไปสู่แสงสว่างแห่งความเมตตา ที่เธอคุ้นเคย นั้น เธอก็ได้รับข่าวสารหนึ่งเพื่อส่งต่อมายัง ดร.ไวส์ ดังมีความว่า “ บิดาของคุณกำลังอยู่ที่นี่ เช่นเดียวกับลูกชายของคุณ เขายังเด็กมาก บิดาคุณบอกว่าคุณน่าจะรู้จักเขา เพราะเขาชื่อ Avrom และลูกสาวคุณก็มีชื่อตามเขา ลูกชายคุณเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ หัวใจเขามีความสำคัญมากทีเดียว เพราะมันพลิกกลับเหมือนหัวใจไก่ เขาได้เสียสละแทนคุณอย่างมาก เพราะเขารักคุณ จิตของเขามาจากระดับชั้นสูงมาก ความตายของเขาเป็นการชดใช้หนี้แทนบิดาของเขา เขายังอยากให้คุณรู้ว่า ยารักษาโรคทั้งหลาย มีผลรักษาโรคได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น ซึ่งก็จำกัดมาก “ ข้อความเหล่านี้ทำให้ดร.ไวส์ ตกตะลึงมาก เนื่องจากแคทเธอลีนเองไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวเขามาก่อนเลย รวมทั้งไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับครอบครัวของเขา เรื่องเศร้าที่สุดในชีวิตของเขาคือ ความตายเมื่อแรกเกิดของลูกชายคนแรกของเขา สภาพหัวใจของเขาอยู่ในภาวะอันตราย เพียงแค่ 10 วันแรกที่คลอดออกมา ซึ่งเป็นเรื่องที่พบได้เพียงหนึ่งใน 10 ล้านเท่านั้น เขาเสียชีวิตเมื่ออายุเพียง 23 วัน ส่วน บิดาของดร.ไวส์ เสียชีวิตด้วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน และท่านมีชื่อว่าAvrom ! หลังจากนั้นอีก 4 เดือนลูกสาวของดร.ไวส์ก็คลอดออกมา เธอมีชื่อว่า Amy ตามชื่อคุณปู่ที่ล่วงลับไป เนื่องจากแคทเธอลีน และดร.ไวส์ ไม่ใช่คนใกล้ชิดกันมาก่อน เธอจึงไม่มีทางรู้เรื่องราวเหล่านี้เลย ทว่าสิ่งที่เธอเล่าออกมานั้นทำให้ดร.ไวส์ถึงกับผงะ ดังนั้นเขาจึงถามเธอว่า “ ใครอยู่กับคุณที่นั่น ? ใครบอกเรื่องนี้กับคุณ ? “ เธอตอบเบาๆว่า “ ท่านผู้รู้แจ้งเหล่านั้น “ ท่านผู้รู้แจ้ง บอกให้ฉันฟัง พวกเขายังบอกว่าฉันเคยมาเกิดในโลกนี้ 86 ครั้งแล้ว

การรักษาให้แคทเธอลีน และผลที่ได้รับ สร้างความประทับใจอย่างลึกซึ้งให้กับดร.ไวส์ ทำให้เขากลายมาเป็นผู้ที่เชี่อถือการรักษาแบบ PRL ดร.ไวส์และจิตแพทย์อื่นอีกหลายคนที่ให้การรักษาคนไข้ด้วยวิธีนี้ บ่อยครั้งที่ความกลัวและความเจ็บป่วย มิได้มาจากเหตุการณ์ในชาติก่อน ในการเตรียมการ และการชักนำคนไข้เข้าสู่กระบวนการPRL เพื่อย้อนสู่อดีตชาตินั้น จะมีผลกระทบด้านบวกต่ออาการโศกเศร้าของคนไข้ ดังนั้นคนไข้จึงสามารถเข้าใจแรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังรูปแบบพฤติกรรมของตน และสามารถแก้ไขได้อย่างสอดคล้องกัน จิตแพทย์เหล่านี้ยังพบว่า โดยการย้อนสู่อดีตชาติ และการได้รับประสบการณ์ซ้ำ ต่อความเจ็บปวด ณ เวลานั้นอีก ทำให้คนไข้สามารถปล่อยวาง ความเศร้าโศกและความแค้นเคืองที่สุมอยู่นานนับศตวรรษ ภาระอันหนักอึ้งที่จิตนั้นแบกอยู่ ก็ถูกปลดออก และไม่อาจส่งผลต่อชีวิตในปัจจุบันได้อีกต่อไป

4 ปีหลังจากการรักษาให้แคทเธอลีน ดร.ไวส์ก็มีความกล้าพอที่จะเสี่ยงต่อ การสูญเสียสถานภาพทางวิชาการของเขา โดยเขียนหนังสือเล่มแรกขึ้นมา เกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิด นั้นบอกผู้คนให้รู้เรื่องความเป็นอมตะของจิตวิญญาณ ในช่วงหลายๆปีต่อมา ดร.ไวส์ได้ให้การรักษาคนไข้อีก หลายร้อยคนด้วยวิธีย้อนอดีต คนไข้หลายๆคนมาจากชนชั้นต่างๆกันในสังคม และมีภูมิหลังทางศาสนาที่ต่างกัน รวมทั้งพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้าด้วย ดร.ไวส์ตีพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งเขาได้บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับคนไข้เหล่านี้จำนวนหนึ่ง นั่นคือหนังสือชื่อ “ Through Time into Healing “ (หรือ การหายป่วยโดยผ่านกาลเวลา ) ผู้จัดพิมพ์กล่าวว่า “ ดร.ไวส์เขียนหนังสือเล่มนี้บนพื้นฐานของประสบการณ์ทางคลีนิกอันกว้างขวางของเขา เขาได้อาศัยเวลาในการทดลองสำหรับการรักษาทางจิตเวช ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การย้อนกาลเวลานั้น ได้ทำให้เกิดความก้าวหน้าที่สำคัญในการรักษา ใจ กาย และจิตวิญญาณ ในตอนท้ายของหนังสือนี้ ดร.ไวส์แสดงให้เห็นว่า ประสบการณ์ใกล้ตาย และการที่จิตออกจากร่าง ช่วยยืนยันการมีอยู่จริงของชีวิตในอดีตชาติ

















ที่มาข้อมูล
dou.us
falunthai.org/pureinsight/pis2003/pis20030219.htm

ที่มาคลิป
https://www.youtube.com


Create Date : 16 สิงหาคม 2555
Last Update : 16 สิงหาคม 2555 14:50:06 น. 0 comments
Counter : 3259 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

scimovie
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 108 คน [?]




แหล่งรวบรวมความรู้ โปรแกรม เพลง หนัง เกมส์ วิทยาศาสตร์ ดูละคร เรื่องย่อ ภาพยนตร์ การเงิน และอื่นๆ อีกมากมาย สุดท้ายขอกำลังใจให้มีแรงอัพเดทตลอดๆ ครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยียนกันครับ
Friends' blogs
[Add scimovie's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.