|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | |
|
|
|
|
|
|
|
เรื่องเข้าใจผิด....เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มักถูกมองว่าหลอกลวงแอบอ้างเกินจริงไม่สมราคา เนื่องจากผู้ประกอบการมากราย มีพฤติกรรมหลอกผู้บริโภค จึงสมควรตระเตรียมคำตอบ & ข้อมูลไว้ให้พร้อม เช่น
ไม่จำเป็น เพราะได้จากสารอาหาร 5 หมู่ ครบ ถ้วนแล้ว ! แล้วแต่รูปแบบการดำเนินชีวิตของสังคม เจ้าตัวควรรู้ว่าตนเองอยู่ในสภาวะใดได้สารอาหารครบถ้วนจากชีวิตประจำวันหรือยัง ที่สำคัญ คือ อาหาร พืช ผัก ผลไม้ โปรตีนที่ผลิตก็มีสารพิษตกค้าง สารถนอมอาหาร สารเพิ่มรส สี ฯลฯ ผสมมาก ส่วนพืชปลอดสารพิษก็ราคาแพง
คุณประโยชน์ไม่แน่นอน แล้วแต่ผลิตภัณฑ์, แล้วแต่แหล่งผลิต ผลงานวิจัยเชื่อได้แค่ไหน แปลผลอย่างไร ใช้ผลิตภัณฑ์ตรงกับปัญหาหรือโรคจริงหรือไม่
มีอันตรายที่คาดไม่ถึง เช่น เบตาคาโรทีนเข้มข้นก่อมะเร็ง, สะสมสารเคมีมากเกินไป, ปนเปื้อนโลหะหนัก ไม่ขายเบตาแคโรทีนสกัด บางอย่างไม่ควรทานมากไปทั้งสารธรรมชาติ & สกัด ก็อาจมีปนเปื้อนโลหะหนัก, สารตกค้าง ฯลฯ ได้ จึงอยู่ที่กรรมวิธี & แหล่งผลิตที่เชื่อถือได้มาตรฐานการควบคุมคุณภาพ ปัจจุบันพบว่าเบตาแคโรทีนเป็นเพียง marker บ่งบอกว่ามีสารพืชหลากหลายเท่านั้น
โฆษณาเกินจริง มุ่งแต่แสวงกำไร เป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นโฆษณาของเราจึงห้ามแอบอ้างเกินจริง
อาจกลายเป็นหนูทดลอง ควรศึกษาข้อมูลเฉพาะราย ผลิตภัณฑ์เฉพาะรายบุคคล
ทำให้มีความเชื่อผิดๆ เรื่องสุขภาพ ใช้วิชาการ วิจารณญาณ เลือกสิ่งดีๆ มาใช้ อย่าเชื่อที่นักวิชาการบอกมากนัก
เสียโอกาสที่จะได้รับการรักษาโรคอย่างเหมาะสม อย่าเสียโอกาสในการเสริมสุขภาพ & ป้องกัน การบำรุง & ออกกำลังกายให้สุขภาพแข็งแรง เมื่อเจ็บป่วยก็ต้องรักษาให้ถูกต้อง
ทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น บรรจุภัณฑ์ คิดมากไปแล้ว ทุกบริโภคล้วนกระทบสิ่งแวดล้อม ทุกสินค้าย่อมมีบรรจุภัณฑ์ มาคำนึงถึงวิธีรีไซเคิลหรือ รียูส ดีกว่า
ทำลายวัฒนธรรมการกินอาหารอย่างไทย มองว่าเป็นพัฒนาการดีกว่า ของดีๆ ก็คงไว้ เพิ่มเติมสิ่งที่ดียิ่งขึ้น ไม่ได้ห้ามกินอาหารธรรมชาติ แต่ความสะดวกไม่ควรขัดขวาง เพราะในทางสภาวะการได้มาซึ่งอาหารครบ 5 หมู่ ก็กระทำได้ในบางคน ปัญหาของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คือ ราคาที่มักสูงเกินค่าของสารอาหาร ดังนั้น หากจะเลือกราคาที่สมค่า ขอให้คิดถึงตรา หมอมวลชน อย่างไรก็ตามต้องมีราคาพอสมควรเพราะมีค่าการตลาดหลายองค์ประกอบ เช่น ค่าสถานที่ ค่าวัตถุดิบ ค่า packaging ฯลฯ
การกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทำให้เกิดอาการแพ้ได้หรือไม่ ? ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็คือสารอาหารอย่างหนึ่งที่สกัดจากวัตถุดิบธรรมชาติ แล้วมาทำเป็นเม็ดหรือแคปซูลเพื่อให้สะดวกในการรับประทานเสริมหรือชดเชยสารอาหารบางอย่างที่ร่างกายขาดไปหรือสังเคราะห์เองไม่ได้ ดังนั้นหากใครแพ้อาหารบางชนิด ก็อาจทำให้เกิดอาการแพ้สารอาหารนั้นที่อยู่ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นถ้าแพ้อาหารทะเลก็อาจแพ้ผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากสัตว์ทะเลได้ เช่น ไคโตซาน ที่สกัดจากเปลือกสัตว์ทะเล, น้ำมันปลา เป็นต้น ถือเป็นเรื่องปกติของการแพ้อาหาร ไม่ใช่แพ้ยา บางครั้งการรับประทานผลิตภัณฑ์บางชนิดในระยะแรกๆ อาจเกิดอาการข้างเคียงเล็กน้อย (ไม่ใช่อาการแพ้) เมื่อร่างกายปรับตัวได้ก็จะกลับสู่ภาวะปกติ เช่น สารสกัดจากใบแปะก๊วย อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียน ปวดศีรษะหรือร้อนวูบวาบ เนื่องจากมันปรับระบบการไหลเวียนเลือดให้สะดวกขึ้น จึงทำให้เกิดอาการได้บ้างในช่วงแรก
เมื่อเป็นโรคแล้ว การกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะช่วยรักษาโรคให้หายได้หรือไม่ ? อาหารเสริมไม่ใช่สารสังเคราะห์ทางเคมีเช่น ยารักษาโรค ดังนั้นคงไม่สามารถหวังผลในการรักษาแบบออกฤทธิ์รวดเร็วทันใจเหมือนยาได้ แต่เป็นการหวังผลในระยะยาวโดยทำให้อาการของโรคหรือสุขภาพดีขึ้น หากเป็นโรคที่จำเป็นต้องใช้ยารักษาเพื่อให้หายโดยเร็วหรือให้เกิดความปลอดภัยก็ควรต้องใช้ยา ไม่ใช่เลิกกินยาแล้วมากินอาหารเสริมแทน อย่างไรก็ตามมีข้อมูลที่บอกว่าการกินอาหารเสริมร่วมกับยา จะช่วยบรรเทาอาการของโรคบางอย่างได้เร็วขึ้น เช่น การกินกระเทียมและวิตามินซีขนาดสูงจะช่วยให้อาการหายหวัดเร็วขึ้น หรือการกินกระเทียมและเลซิทินจะช่วยลดไขมันในเลือดได้
เมื่อต้องกินยา จะต้องหยุดกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารด้วยหรือไม่ ไม่จำเป็นเพราะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นสารอาหารที่สกัดจากธรรมชาติ โดยทั่วไปจึงไม่มีปฏิกิริยาต้านยารักษาโรค ในทางตรงข้าม อาจช่วยเสริมประสิทธิภาพในการรักษาโรคนั้นให้ดีขึ้น หรือช่วยเสริมอาหารบางอย่างที่ร่างกายขาดหายไปในช่วงที่เจ็บป่วยและทานอาหารได้น้อย อย่างไรก็ตาม หากไม่แน่ใจก็ควรปรึกษาแพทย์ที่สั่งจ่ายยาให้
เด็กอายุ 9-10 ปี ทานน้ำมันปลาได้หรือไม่ สามารถทานได้
มีลูกค้าที่ทานน้ำมันปลาเป็นประจำ แล้วบังเอิญต้องเข้ารับการผ่าตัด หลังผ่าตัดแพทย์พบว่ามีปัญหาเรื่องเลือดไหลหยุดยาก และสรุปว่าเกิดจากน้ำมันปลา จึงมีผู้สงสัยว่าเป็นเช่นนี้ได้หรือ ? หากไปดูข้อมูลเรื่องน้ำมันปลา จะพบว่ามันมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือด เพื่อป้องกันการอุดตันของเส้นเลือดในส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น สมอง หัวใจ ในขณะเดียวกัน จึงมีผลทำให้เลือดไหลหยุดช้า ดังนั้นจึงมีข้อแนะนำสำหรับผู้ที่ทานเป็นประจำว่า เมื่อมีกำหนดการผ่าตัด ควรจะหยุดทานล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือนและควรแจ้งข้อมูลให้แพทย์ทราบด้วย
ลูกค้าอายุ 50 ปี ทานคอลลาเจน 2 ปี แล้ว จะมีผลข้างเคียงอย่างไรบ้าง ผลข้างเคียงคงไม่มีแต่เนื่องจากมีอายุมากแล้ว อาจไม่ได้ผลเต็มที่นัก เพียงแต่ช่วยชะลอไม่ให้เป็นมากขึ้นเท่านั้น สารที่สร้างเสริมคอลลาเจนแท้จริง คือ วิตามินซีและหลินจือต่างหากแต่ก็ต้องมีองค์ประกอบครบในการสร้างคอลลาเจน
เมล็ดทานตะวันระบุข้างซองว่าเด็กไทยอายุ 6 ปีขึ้นไป ลูกค้าเข้าใจว่าเด็กทานไม่ได้ ส่วนยี่ห้ออื่นไม่ระบุ ทานได้ ข้อมูลที่ระบุในตารางดังกล่าวเพียงแต่เป็นข้อกำหนดของ อย.ใช้เป็นมาตรฐานเปรียบเทียบในการคำนวณคุณค่าทางอาหารเท่านั้น
ถ้าหยุดทาน OPC แล้วจะเกิดฝ้าใหม่หรือไม่ เมื่อฝ้าจางหรือหายแล้วสามารถหยุดได้ไม่จำเป็นต้องรับประทานต่อเนื่องตลอดไป การที่ฝ้าจะกลับเป็นใหม่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น การถูกรังสี UV เป็นประจำ, ฮอร์โมนในร่างกาย, ยาคุมกำเนิดเป็นต้น คำตอบคือ เกิดได้ถ้าไม่ป้องกันต้นเหตุ
OPC รับประทานคู่กับยาคุมได้หรือไม่ รับประทานได้ตามปกติ
เพอเฟกแคปซูล มีข้อบ่งใช้ต่างจากเพอเฟกไวท์ อย่างไร ? เพอเฟกแคปซูล เน้นปริมาณของคอลลาเจนจากปลาทะเลลึก เป็นสารหลัก หวังผลต่อการบำรุงผิวเป็นองค์ประกอบในการสร้างคอลลาเจนเพื่อความเต่งตึง หน้าใสของผิว ส่วนเพอเฟกไวท์ เน้นปริมาณของกลูตาไธโอน จึงคาดหวังในบทบาท Whitening จากฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของกลูตาไธโอน ต้านกระบวนการสร้างเม็ดสี (หรือ ลดการสร้างสี) ส่งผลให้ผิวขาวขึ้น โดยเฉพาะคนที่มีผิวดำ ส่วนประกอบอื่นๆ ที่มีร่วมในผลิตภัณฑ์ทั้งสอง ก็เป็นตัวเสริมฤทธิ์ หรือประกอบให้สารหลักดูดซึม หรือออกฤทธิ์ได้เต็มที่นั่นเอง
ตัวไหนดีกว่ากัน ? (PC + PW) คงฟันธงแบบนั้นไม่ได้ ถ้าอยากลดริ้วรอยและฟื้นฟูสภาพผิวก็แนะนำ PC แต่ถ้าอยากเน้นเรื่องความขาวก็แนะนำ PW
รับประทานทั้ง 2 ตัวคู่กันได้ไหม ? ได้ ไม่มีข้อห้าม ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย(แต่อาจเป็นภัยต่อกระเป๋า)
ถ้ารับประทานทั้ง 2 ตัว จะมีปัญหาเรื่องได้รับสารอาหารเกินหรือไม่ ? ไม่เกิน ถึงแม้จะมีสารบางตัวที่ซ้ำกัน และรับประทานคู่กัน ก็ยังมีปริมาณไม่เกินที่ควรได้รับต่อวัน เช่น กลูตาไธโอน PW มี 100, PC มี 40 รวมเป็น 140 มก.(ปกติ 500 1000 มก.) วิตามินซี PW มี 31.29, PC มี 40 รวมเป็น 71.29 มก.(ปกติกินได้เป็นกรัม) ซีลีเนียม PW มี 70, PC มี 20 รวมเป็น 90 มคก.(ปกติ 50 200 มคก.)
เป็นสินค้าของไทยหรือของนอก ? วัตถุดิบจากต่างประเทศ แล้วผลิตในเมืองไทยโดยโรงงานที่ได้มาตรฐาน
เป็นเอสแอลอี (หรือโรคพุ่มพวง) อยู่ ทานอาหารเสริมหลินจือ โคคิวเทน และสารสกัดจากเมล็ดองุ่น (OPC) อาการโดยทั่วไปดี ได้รับยาคลอโรฟิน เมโทเทรกเสท และเพิ่มกลุ่มซัลฟา หลังจากผลเลือดไม่ OK ขอคำแนะนำว่า ควรหยุดอาหารเสริมไหม ? อันที่จริง หากผลลัพธ์ (อาการทั่วไป) ดีและผลแลปส์ (เช่น ผลเลือด, ปัสสาวะ) ไม่ OK ควรใช้ผลลัพธ์มากกว่า สำหรับโรคนี้ เชื่อว่าแพทย์คงสั่งใช้โคคิวเทนเพิ่ม รวมถึงวิตามินบี เพราะคลอโรฟิน ก่อให้ร่างกายสูญเสีย โฟลิค เมโทเทรกเสทก็กดการสร้างโคคิวเทน โดยขนาดที่ควรใช้ คือ โคคิวเทนขนาดวันละ 100 มก. และ OPC 300 มก.โดยแบ่งเป็น 3 เวลา และควรเพิ่มโอเมก้า 3 น้ำมันปลา ให้ลดการจับกลุ่มของเม็ดเลือด ช่วยการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นด้วย
ปัญหา คือ อาหารเสริมที่ใช้มีสิ่งแปลกปลอมหรือสารอื่นที่ไม่พึงประสงค์ปนอยู่หรือไม่ นอกเหนือจากว่า แพงเกินจำเป็นรึเปล่า ! (แบบว่าตั้งราคาสูงๆ ให้ดูดีเข้าไว้...แต่ถูกไปก็ระวังของไร้คุณภาพ) ในความเห็นส่วนตัว หากอาการทั่วไป ดีขึ้นก็ไม่ควรเลิกสารอาหาร แต่ควรลดยาแผนปัจจุบันโดยเฉพาะสารสเตอรอยด์ คลอโรฟิน และเมโทเทรกเสท แม้กระทั่งกลุ่มซัลฟา ซึ่งหากลดแล้วอาการเลวลง (ไม่ใช่ผลเลือด) จึงควรกลับไปใช้ใหม่ หรือเพิ่มขนาดใหม่ โดยคงขนาดสารอาหารให้เพียงพอจากผักผลไม้ (ที่ปลอดสารพิษ) เพิ่มเติมกากใย พร้อมดื่มน้ำมากๆ
ในทางตรงข้ามหากทดลองงดสารอาหารแล้ว ผลแลปส์ดี แต่อาการทั่วไปของร่ายกายเลวลง คิดว่า เพิ่มสารอาหารปลอดภัยกว่ากันเยอะครับ ขอสรุปว่า รักษาแบบเอาผลโรค ดีกว่าผลเลือด ครับ...ลดยาดีกว่าลดสารอาหาร...เพิ่มสารอาหาร ดีกว่าเพิ่มยา...เว้นแต่ว่าไตชำรุดก็คงต้องหยุดเกือบทุกอย่าง ยกเว้น หลินจือสกัด
จะลดความอ้วนโดยไม่ใช้ยา ไม่อยากเข้าคอร์สแพงๆ มีหนทางไหม ? เรื่องนี้อยู่ที่ใจอันมุ่งมั่น สาระหลัก คือ "งดแป้ง น้ำตาล" แต่ข้อเท็จจริง มักงดไม่ได้ เพราะแป้ง น้ำตาลแทรกซึมอยู่ในอาหารทั้งหลาย เคล็ดลับ คือ ลดปริมาณอาหารลงสัปดาห์ละ 10% เพื่อมิให้ร่างกายตอบโต้เป็นโยโย่เอฟเฟก (เสมือนลูกดิ่งขว้างออกมาแล้ว เด้งกลับเข้าไปคงเดิม หรือเข้าๆ ออกๆ...บวมๆ ยุบๆ)
จากสาระหลักเรื่องลดแป้ง น้ำตาล ก็มีเคล็ดหรือตัวช่วยที่สำคัญ เช่น การแปรงฟันหลังอาหารทุกมื้อ หลีกเลี่ยงการทานเป็นหมู่คณะ อย่าอดมื้อเช้า ตรงข้ามต้องให้หนักมื้อเช้า กลางวันเบาลง มื้อเย็นน้อยสุดเหลือเพียงผักผลไม้กากใย อย่าอดนอนโดยเข้านอนก่อน 4 ทุ่ม ตลอดจนหลีกไกลไขมันทรานส์ สารพิษในอาหาร ซึ่งหากเลี่ยงไม่ได้สารอาหารกลุ่มรวมทีมสารต้านอนุมูลอิสระ (Beauty with Toxin scavenger) แร่ธาตุ สังกะสี น้ำมันปลา ตลอดจนกลุ่ม Block and Burn calories ก็ช่วยเสริมเติมพลังในการลดแคลอรี่เพิ่มอัตราเผาผลาญได้ อ้วนนั้นลดได้แน่ แต่หากขาดปณิธานที่มุ่งมั่นให้ความสำคัญ ก็มักกลับไปอ้วนกว่าเก่า !
ทำไมผู้บริโภคน้ำมันปลาเป็นประจำ จึงควรเลือกระดับมาตรฐาน คุณภาพยา ? เมื่อจำเป็นต้องทานน้ำมันปลาเป็นการประจำก็คงได้น้ำมันปลาปริมาณมาก แต่ในน้ำมันปลาใช่ว่าบริสุทธิ์ผุดผ่อง ยังมีสารสิ่งเจือปน (Impurity) ที่ถูกสกัดออกมาด้วย แล้วแต่ธรรมชาติแหล่งปลา เช่น ดีดีที ยาฆ่าหญ้า สารปรอท ตะกั่ว แคดเมียม สารหนู ฯลฯ เขาจึงเคลมว่า ใช้ปลาจากทะเลลึกดีกว่าไง เพราะน่าจะปลอดสารสิ่งมลพิษได้ แต่ข้อเท็จจริง คือ มลพิษได้กระจายไปทั่วท้องทะเลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้แต่ที่ขั้วโลกเหนือ (ปรากฎการณ์สึนามิอาจช่วยอธิบายการเคลื่อนย้ายของมวลสารทั้งหลายในผืนโลก) ทางแพทย์จึงตั้งเกณฑ์น้ำมันปลาที่เป็นมาตรฐานยา (เพื่อให้ใช้ปริมาณมากๆ หรือประจำโดยไม่ต้องรับเอาสารพิษ สิ่งที่ไม่ต้องการแถมเข้าไปด้วย) ก็ด้วยการสกัดน้ำมันปลาที่ได้อีกขั้นหนึ่ง จนจำกัดจำนวนสารพิษปนเปื้อนแต่ละชนิดได้ในเกณฑ์ที่ OK ผลพลอยได้ คือ กรดไขมันโอเมก้า 3 ทั้ง EPA และ DHA ก็เข้มข้นขึ้นประมาณเท่าตัว น้ำมันปลาระดับมาตรฐานยาจึงก้าวข้ามคำถามว่า "น้ำมันปลาของคุณสกัดจากปลาทะเลแหล่งไหน ? " โดยปริยาย แล้วจะสังเกตอย่างไร ว่าเป็นมาตรฐานยา...ก็ต้องดูจากความเข้มข้นของ EPA และ DHA ในแคปซูล ปกติเกรดอาหารขนาดแคปซูล 1000 มก.จะมี EPA และ DHA ประมาณ 300 มก. หรือ 30% ถ้าเป็นเกรดยา ขนาดแคปซูลเพียง 500 มก. จะมี EPA และ DHA ประมาณ 300 มก. หรือใกล้เคียง กล่าวคือ เข้มข้น 60% อย่างอื่นคงดูยาก เพราะถ้ามีวัตถุประสงค์ให้จัดในประเภทอาหาร (ชั้นเลิศ) อีกทั้งเม็ดเล็ก กลืนง่าย จึงไม่สามารถแบ่งสรรพคุณเพิ่มเติมได้ ซ้ำร้ายต้องมีคำเตือนครอบจักรวาล ติดไว้อีกต่างหาก แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่า "ของดีราคาถูก"...อันนี้คงต้องติดตามผล เพราะภาพพจน์เกิดจากพฤติกรรมที่ต่อเนื่องยาวนาน มิใช่คำโฆษณาอวดอ้างประเดี๋ยวประด๋าว จะว่า "ราคาถูก" ก็ไม่เชิง เอาเป็นว่าไม่แพงหรือถูกกว่ากันหลายช่วงตัวทั้งที่มาตรฐานสูงกว่า...คือ อะไร...เป็น เช่นไร...คงต้องใช้วิจารณญาณที่ดีเป็นคำตอบ
ทำไมควรใช้ CoQ10 ในผู้ป่วยพาร์กินสัน ? พาร์กินสัน เป็นโรคที่เกิดมีความเสื่อมของเซลล์สมอง สาเหตุจากเซลล์ประสาทถูกทำร้าย โดยเฉพาะอนุมูลอิสระจากโลหะหนัก การได้รับสารพิษโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม อลูมิเนียม ทำให้สะสมหรือไปจับเซลล์ประสาทสมอง จนเซลล์ประสาททำงานไม่ต่อเนื่อง การที่จะลดพิษ ก็คือเลี่ยงการรับสารพิษหนึ่ง อีกทางหนึ่ง คือ ปกป้องการจับตัวของสารพิษอนุมูลอิสระที่มากับโลหะหนัก วิธีการคือ สารต้านอนุมูลอิสระ ยิ่งมีมากก็ยิ่งต้านได้ดี
CoQ10 จึงเป็นตัวเลือกจากสมาคมแพทย์ประสาทสหรัฐ ในปี 2002 ให้ใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน หากเสริมด้วย OPC และน้ำมันปลา ก็ยิ่งได้บำรุงและป้องกันอาการพิษอีกทางหนึ่ง
ยังมีอีกทางหนึ่งในการกำจัดสารพิษโลหะหนักที่จับตัวอยู่กับเซลล์ประสาท คือ การไล่พิษ ที่เรียกคีเลชั่น โดยพบว่าเมื่อไล่ออกได้เซลล์ประสาทก็งอกมาเชื่อมต่อกันได้ อาการโรคก็ย่อมหายสบายขึ้น
โคคิวเทน ช่วยลดความดันได้อย่างไร ? ความดันเลือดที่สูง มีผลให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ
ผล คือ มีการใช้โคคิวเทนมากกว่าปกติส่งผลให้เกิดภาวะขาดโคคิวเทนหรือผู้ป่วยความดันสูงอีกประเภทหนึ่งเป็นเนื่องจากขาดโคคิวเทนขึ้นก่อน
เมื่อขาดโคคิวเทน การสร้างอเซทีล โคลีน (Ac Ch) จะลดลง เนื่องจาก โคคิวเทนเป็นสารตั้งต้นของอเซทีล โคลีน
อเซทีล โคลีน คืออะไร...เรารู้จัก ฮอร์โมนที่ชื่อ อดรีนาลีน (Adrenaline) ว่า ทำให้ความดันขึ้นสูง เป็นฮอร์โมนแห่งการสู้รบหรือหนีให้พ้นภัย เช่น ยามเกิดไฟไหม้ อาจมีแรงยกตุ่มน้ำได้ทั้งใบ ในยามปกติร่างกายจะมีฮอร์โมนคู่ที่ผลิตออกมาต้านฤทธิ์ของอดรีนาลีน ทำนองมีลบก็มีบวกคอยคัดคานกัน หรือ หยินคู่กับหยาง แต่ก่อนเรียก Nor Adrenaline ปัจจุบันเรียก อเซทีลโคลีน นั่นเอง จัดเป็นฮอร์โมนฝ่ายดี มีแล้วสร้างสรรค์ จิตใจสงบ อารมณ์ดี
เมื่อขาดโคคิวเทน ก็ขาดอเซทีล โคลีนก็ขาดตัวควบคุมความดันต่อต้านอดรีนาลีน ความดันจึงขึ้นครั้นพอได้รับโคคิวเทน ก็มีการสร้างอเซทีล โคลีน ออกมา ต้านàความดันลดลง ในอีกด้านหนึ่ง โคคิวเทนช่วยให้หัวใจทุกห้องบีบตัวดีขึ้น รวมถึงห้องบน ส่งผลให้เลือดดำไหลเข้าหัวใจได้เต็มที่ การซึมผ่านของเลือดจากเนื้อเยื่อเข้าสู่หลอดเลือดดำฝอยได้ดี หลอดเลือดแดงฝอยก็ไหลสะดวก ความดันทั้งระบบจึงคลายตัวลง
และเป็นการลดลงในขณะหัวใจคลายตัว จากผลงานทดลองในผู้ป่วยที่ได้ผลว่า ความดันตัวล่าง(Distolic BP)ลดลง
อันเป็นนัยสำคัญของการลดลงของความดันเลือดในอีกด้าน CoQ10 เป็นสารต้านอนุมูลอิสระต่อสารพิษที่จะมาทำร้ายไขมันเลว (LDL) จนเกิด LDL พิษ ส่งผลต่อหลอดเลือดแข็ง ตีบตัน หรือแตก อุดตัน
ทำไมต้องใช้ CoQ10 ในผู้ที่กินยาลดไขมัน (stain) ? เพราะ Stain หรือกลุ่มยาลดคอเลสเตอรอล (Cholesterol) จะไปกดการสร้างโคคิวเทนด้วย เราทราบว่าCoQ10 เป็นสารผู้ร่วมก่อสร้างอเซทีล โคลีน (Ac Ch) จากสารตั้งต้น คือ โคลีน + บี 6 นอกจาก Ac Ch เป็นตัวควบคุมความดัน ต้านฤทธิ์กับ Adrenaline คือ ระหว่างภาวะสงบกับภาวะการรบแล้ว การขาดอเซลีท โคลีน ยังก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้า อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หายใจติดขัด ลำบาก เหน็บชา ความจำเสื่อม ผู้ที่ทานยาสแตตินจึงขาดโคคิวเทนมิได้
ทำไมเหงือกอักเสบจึงเกี่ยวกับ CoQ10 ? เพราะระบบหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจมีการต่อตรงกับเหงือก อาการอักเสบติดเชื้อที่หลอดเลือดหัวใจจะแสดงที่เหงือก หรือ à หากเหงือกอักเสบ ปล่อยทิ้งไป จะติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจได้ CoQ10 ไปช่วยให้หัวใจทำงานดีขึ้น โดยช่วยลด Oxidative stress งานต้านอนุมูลอิสระดีขึ้นมาก ขณะที่ภาวะหัวใจดีขึ้น ภาวะอักเสบที่เหงือกก็พลอยดีไปด้วย
โคคิวเทนที่ดีผลิตจากอะไร ? เราคงกลัวสารปนเปื้อน เช่น โลหะหนักที่ปนเปื้อนมาผักที่นำมาผลิต CoQ10 หรือเกรงว่าหากผลิตจากสัตว์ แล้วจะไม่เจ หรือกรณีโคคิวเทนสังเคราะห์ มักได้เป็น Trans form ผิดธรรมชาติ ใช้แทนกันไม่ได้ปัจจุบันมีการพัฒนาการสกัดโคคิวเทนโดยสกัดจากยีสต์ ยีสต์ นั้นเพาะเลี้ยงได้ในโรงเลี้ยงระบบปิดพ้นจากมลพิษทั้งหลาย ทำให้วัตถุดิบบริสุทธิ์ไม่ต้องฆ่าสัตว์และต้นทุนต่ำ จนราคาลดลงได้มากๆ
สารอาหารอื่นที่ช่วยลดความดันมีอะไรบ้าง ?
ก็ท้าวความถึงที่มาสาเหตุแห่งความดันสูง พอสูงแล้ว หัวใจทำงานหนัก à ขาด CoQ10
สูงจากได้รับเกลือ โซเดียมมากขับไม่ออกก็ต้องการสารอาหารที่ช่วยขับโซเดียม คือ โปแตสเซียม
สูงจากผนังหลอดเลือดแข็ง กระด้าง ไม่ยืดหยุ่น ก็อาศัยตัวช่วยเสริมสร้างผนังเซลล์ที่ดี คือ โอเมก้า 3 น้ำมันปลา
สูงจากความเครียด การหด (เกร็งของหลอดเลือดก็
- อาศัยสารช่วยคลายตัวของกล้ามเนื้อ ได้แก่ แมกนีเซียม Mg ยังช่วยสร้างภาวะด่าง ทำให้ลื่น ไม่ข้นหนืด ทำให้ใช้แรงบีบส่งเลือดน้อยลง
สูงจากผนังหลอดเลือดเสียหายเกิดพลัก จากพิษของโฮโมซีสเทอีน (Homocystein) ก็ต้องอาศัยกระบวนการเม-ทิลเลชั่น (Methylation) ซึ่งต้องใช้ Choline กับ B6 + B12
สูงจากผลของไขมันเลว LDL พิษ ทำให้ผนังหลอดเลือดเสียหายก็ต้องใช้สารต้านอนุมูลอิสระ (antox) ต่อต้านสารพิษ ซึ่งสุดยอดสารต้านอนุมูลอิสระ ก็คือ OPC นอกจากอาหารแล้วก็ยังมีเรื่องของการออกกำลังกายที่พอเหมาะ และการฝึกจิต สมาธิให้สงบ ลด เลี่ยง บุหรี่ แอลกอฮอล์
ที่มา //www.mmc.co.th
Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2553 |
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2553 17:28:47 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1488 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 108 คน [?]
|
แหล่งรวบรวมความรู้ โปรแกรม เพลง หนัง เกมส์ วิทยาศาสตร์ ดูละคร เรื่องย่อ ภาพยนตร์ การเงิน และอื่นๆ อีกมากมาย สุดท้ายขอกำลังใจให้มีแรงอัพเดทตลอดๆ ครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยียนกันครับ
|
|
|
|
|
|
|
|