ดาวน์โหลดโปรแกรม ดูละครย้อนหลัง อ่านเรื่องราวของความรู้รอบตัว วิทยาศาสตร์ ท่องเที่ยว สุขภาพ อาหาร รถยนต์ต่างๆ ไม่ทิ้งเรื่องราวความบันเทิงและเรื่องส่วนตัวอีกด้วย
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28 
 
14 กุมภาพันธ์ 2553
 
All Blogs
 
เรื่องเข้าใจผิด....เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร



ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มักถูกมองว่าหลอกลวงแอบอ้างเกินจริงไม่สมราคา เนื่องจากผู้ประกอบการมากราย มีพฤติกรรมหลอกผู้บริโภค จึงสมควรตระเตรียมคำตอบ & ข้อมูลไว้ให้พร้อม เช่น

“ไม่จำเป็น” เพราะได้จากสารอาหาร 5 หมู่ ครบ ถ้วนแล้ว !
แล้วแต่รูปแบบการดำเนินชีวิตของสังคม เจ้าตัวควรรู้ว่าตนเองอยู่ในสภาวะใดได้สารอาหารครบถ้วนจากชีวิตประจำวันหรือยัง ที่สำคัญ คือ อาหาร พืช ผัก ผลไม้ โปรตีนที่ผลิตก็มีสารพิษตกค้าง สารถนอมอาหาร สารเพิ่มรส สี ฯลฯ ผสมมาก ส่วนพืชปลอดสารพิษก็ราคาแพง

คุณประโยชน์ไม่แน่นอน
แล้วแต่ผลิตภัณฑ์, แล้วแต่แหล่งผลิต ผลงานวิจัยเชื่อได้แค่ไหน แปลผลอย่างไร ใช้ผลิตภัณฑ์ตรงกับปัญหาหรือโรคจริงหรือไม่

มีอันตรายที่คาดไม่ถึง เช่น เบตาคาโรทีนเข้มข้นก่อมะเร็ง, สะสมสารเคมีมากเกินไป, ปนเปื้อนโลหะหนัก
ไม่ขายเบตาแคโรทีนสกัด บางอย่างไม่ควรทานมากไปทั้งสารธรรมชาติ & สกัด ก็อาจมีปนเปื้อนโลหะหนัก, สารตกค้าง ฯลฯ ได้ จึงอยู่ที่กรรมวิธี & แหล่งผลิตที่เชื่อถือได้มาตรฐานการควบคุมคุณภาพ
ปัจจุบันพบว่าเบตาแคโรทีนเป็นเพียง marker บ่งบอกว่ามีสารพืชหลากหลายเท่านั้น

โฆษณาเกินจริง มุ่งแต่แสวงกำไร
เป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นโฆษณาของเราจึงห้ามแอบอ้างเกินจริง

อาจกลายเป็นหนูทดลอง
ควรศึกษาข้อมูลเฉพาะราย ผลิตภัณฑ์เฉพาะรายบุคคล

ทำให้มีความเชื่อผิดๆ เรื่องสุขภาพ
ใช้วิชาการ วิจารณญาณ เลือกสิ่งดีๆ มาใช้ อย่าเชื่อที่นักวิชาการบอกมากนัก

เสียโอกาสที่จะได้รับการรักษาโรคอย่างเหมาะสม
อย่าเสียโอกาสในการเสริมสุขภาพ & ป้องกัน การบำรุง & ออกกำลังกายให้สุขภาพแข็งแรง เมื่อเจ็บป่วยก็ต้องรักษาให้ถูกต้อง

ทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น บรรจุภัณฑ์
คิดมากไปแล้ว ทุกบริโภคล้วนกระทบสิ่งแวดล้อม ทุกสินค้าย่อมมีบรรจุภัณฑ์ มาคำนึงถึงวิธีรีไซเคิลหรือ รียูส ดีกว่า

ทำลายวัฒนธรรมการกินอาหารอย่างไทย
มองว่าเป็นพัฒนาการดีกว่า ของดีๆ ก็คงไว้ เพิ่มเติมสิ่งที่ดียิ่งขึ้น ไม่ได้ห้ามกินอาหารธรรมชาติ แต่ความสะดวกไม่ควรขัดขวาง เพราะในทางสภาวะการได้มาซึ่งอาหารครบ 5 หมู่ ก็กระทำได้ในบางคน ปัญหาของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คือ ราคาที่มักสูงเกินค่าของสารอาหาร ดังนั้น หากจะเลือกราคาที่สมค่า ขอให้คิดถึงตรา “หมอมวลชน” อย่างไรก็ตามต้องมีราคาพอสมควรเพราะมีค่าการตลาดหลายองค์ประกอบ เช่น ค่าสถานที่ ค่าวัตถุดิบ ค่า packaging ฯลฯ

การกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทำให้เกิดอาการแพ้ได้หรือไม่ ?
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็คือสารอาหารอย่างหนึ่งที่สกัดจากวัตถุดิบธรรมชาติ แล้วมาทำเป็นเม็ดหรือแคปซูลเพื่อให้สะดวกในการรับประทานเสริมหรือชดเชยสารอาหารบางอย่างที่ร่างกายขาดไปหรือสังเคราะห์เองไม่ได้ ดังนั้นหากใครแพ้อาหารบางชนิด ก็อาจทำให้เกิดอาการแพ้สารอาหารนั้นที่อยู่ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นถ้าแพ้อาหารทะเลก็อาจแพ้ผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากสัตว์ทะเลได้ เช่น ไคโตซาน ที่สกัดจากเปลือกสัตว์ทะเล, น้ำมันปลา เป็นต้น ถือเป็นเรื่องปกติของการแพ้อาหาร ไม่ใช่แพ้ยา บางครั้งการรับประทานผลิตภัณฑ์บางชนิดในระยะแรกๆ อาจเกิดอาการข้างเคียงเล็กน้อย (ไม่ใช่อาการแพ้) เมื่อร่างกายปรับตัวได้ก็จะกลับสู่ภาวะปกติ เช่น สารสกัดจากใบแปะก๊วย อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียน ปวดศีรษะหรือร้อนวูบวาบ เนื่องจากมันปรับระบบการไหลเวียนเลือดให้สะดวกขึ้น จึงทำให้เกิดอาการได้บ้างในช่วงแรก

เมื่อเป็นโรคแล้ว การกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะช่วยรักษาโรคให้หายได้หรือไม่ ?
อาหารเสริมไม่ใช่สารสังเคราะห์ทางเคมีเช่น ยารักษาโรค ดังนั้นคงไม่สามารถหวังผลในการรักษาแบบออกฤทธิ์รวดเร็วทันใจเหมือนยาได้ แต่เป็นการหวังผลในระยะยาวโดยทำให้อาการของโรคหรือสุขภาพดีขึ้น หากเป็นโรคที่จำเป็นต้องใช้ยารักษาเพื่อให้หายโดยเร็วหรือให้เกิดความปลอดภัยก็ควรต้องใช้ยา ไม่ใช่เลิกกินยาแล้วมากินอาหารเสริมแทน อย่างไรก็ตามมีข้อมูลที่บอกว่าการกินอาหารเสริมร่วมกับยา จะช่วยบรรเทาอาการของโรคบางอย่างได้เร็วขึ้น เช่น การกินกระเทียมและวิตามินซีขนาดสูงจะช่วยให้อาการหายหวัดเร็วขึ้น หรือการกินกระเทียมและเลซิทินจะช่วยลดไขมันในเลือดได้

เมื่อต้องกินยา จะต้องหยุดกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารด้วยหรือไม่
ไม่จำเป็นเพราะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นสารอาหารที่สกัดจากธรรมชาติ โดยทั่วไปจึงไม่มีปฏิกิริยาต้านยารักษาโรค ในทางตรงข้าม อาจช่วยเสริมประสิทธิภาพในการรักษาโรคนั้นให้ดีขึ้น หรือช่วยเสริมอาหารบางอย่างที่ร่างกายขาดหายไปในช่วงที่เจ็บป่วยและทานอาหารได้น้อย อย่างไรก็ตาม หากไม่แน่ใจก็ควรปรึกษาแพทย์ที่สั่งจ่ายยาให้

เด็กอายุ 9-10 ปี ทานน้ำมันปลาได้หรือไม่
สามารถทานได้

มีลูกค้าที่ทานน้ำมันปลาเป็นประจำ แล้วบังเอิญต้องเข้ารับการผ่าตัด หลังผ่าตัดแพทย์พบว่ามีปัญหาเรื่องเลือดไหลหยุดยาก และสรุปว่าเกิดจากน้ำมันปลา จึงมีผู้สงสัยว่าเป็นเช่นนี้ได้หรือ ?
หากไปดูข้อมูลเรื่องน้ำมันปลา จะพบว่ามันมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือด เพื่อป้องกันการอุดตันของเส้นเลือดในส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น สมอง หัวใจ ในขณะเดียวกัน จึงมีผลทำให้เลือดไหลหยุดช้า ดังนั้นจึงมีข้อแนะนำสำหรับผู้ที่ทานเป็นประจำว่า เมื่อมีกำหนดการผ่าตัด ควรจะหยุดทานล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือนและควรแจ้งข้อมูลให้แพทย์ทราบด้วย

ลูกค้าอายุ 50 ปี ทานคอลลาเจน 2 ปี แล้ว จะมีผลข้างเคียงอย่างไรบ้าง
ผลข้างเคียงคงไม่มีแต่เนื่องจากมีอายุมากแล้ว อาจไม่ได้ผลเต็มที่นัก เพียงแต่ช่วยชะลอไม่ให้เป็นมากขึ้นเท่านั้น สารที่สร้างเสริมคอลลาเจนแท้จริง คือ วิตามินซีและหลินจือต่างหากแต่ก็ต้องมีองค์ประกอบครบในการสร้างคอลลาเจน

เมล็ดทานตะวันระบุข้างซองว่าเด็กไทยอายุ 6 ปีขึ้นไป ลูกค้าเข้าใจว่าเด็กทานไม่ได้ ส่วนยี่ห้ออื่นไม่ระบุ
ทานได้ ข้อมูลที่ระบุในตารางดังกล่าวเพียงแต่เป็นข้อกำหนดของ อย.ใช้เป็นมาตรฐานเปรียบเทียบในการคำนวณคุณค่าทางอาหารเท่านั้น

ถ้าหยุดทาน OPC แล้วจะเกิดฝ้าใหม่หรือไม่
เมื่อฝ้าจางหรือหายแล้วสามารถหยุดได้ไม่จำเป็นต้องรับประทานต่อเนื่องตลอดไป การที่ฝ้าจะกลับเป็นใหม่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น การถูกรังสี UV เป็นประจำ, ฮอร์โมนในร่างกาย, ยาคุมกำเนิดเป็นต้น คำตอบคือ เกิดได้ถ้าไม่ป้องกันต้นเหตุ

OPC รับประทานคู่กับยาคุมได้หรือไม่
รับประทานได้ตามปกติ

เพอเฟกแคปซูล มีข้อบ่งใช้ต่างจากเพอเฟกไวท์ อย่างไร ?
เพอเฟกแคปซูล เน้นปริมาณของคอลลาเจนจากปลาทะเลลึก เป็นสารหลัก หวังผลต่อการบำรุงผิวเป็นองค์ประกอบในการสร้างคอลลาเจนเพื่อความเต่งตึง หน้าใสของผิว
ส่วนเพอเฟกไวท์ เน้นปริมาณของกลูตาไธโอน จึงคาดหวังในบทบาท Whitening จากฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของกลูตาไธโอน ต้านกระบวนการสร้างเม็ดสี (หรือ ลดการสร้างสี) ส่งผลให้ผิวขาวขึ้น โดยเฉพาะคนที่มีผิวดำ
ส่วนประกอบอื่นๆ ที่มีร่วมในผลิตภัณฑ์ทั้งสอง ก็เป็นตัวเสริมฤทธิ์ หรือประกอบให้สารหลักดูดซึม หรือออกฤทธิ์ได้เต็มที่นั่นเอง

ตัวไหนดีกว่ากัน ? (PC + PW)
คงฟันธงแบบนั้นไม่ได้ ถ้าอยากลดริ้วรอยและฟื้นฟูสภาพผิวก็แนะนำ PC แต่ถ้าอยากเน้นเรื่องความขาวก็แนะนำ PW

รับประทานทั้ง 2 ตัวคู่กันได้ไหม ?
ได้ ไม่มีข้อห้าม ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย(แต่อาจเป็นภัยต่อกระเป๋า)

ถ้ารับประทานทั้ง 2 ตัว จะมีปัญหาเรื่องได้รับสารอาหารเกินหรือไม่ ?
ไม่เกิน ถึงแม้จะมีสารบางตัวที่ซ้ำกัน และรับประทานคู่กัน ก็ยังมีปริมาณไม่เกินที่ควรได้รับต่อวัน เช่น
กลูตาไธโอน – PW มี 100, PC มี 40 รวมเป็น 140 มก.(ปกติ 500 – 1000 มก.)
วิตามินซี – PW มี 31.29, PC มี 40 รวมเป็น 71.29 มก.(ปกติกินได้เป็นกรัม)
ซีลีเนียม – PW มี 70, PC มี 20 รวมเป็น 90 มคก.(ปกติ 50 – 200 มคก.)

เป็นสินค้าของไทยหรือของนอก ?
วัตถุดิบจากต่างประเทศ แล้วผลิตในเมืองไทยโดยโรงงานที่ได้มาตรฐาน

เป็นเอสแอลอี (หรือโรคพุ่มพวง) อยู่ ทานอาหารเสริมหลินจือ โคคิวเทน และสารสกัดจากเมล็ดองุ่น (OPC) อาการโดยทั่วไปดี ได้รับยาคลอโรฟิน เมโทเทรกเสท และเพิ่มกลุ่มซัลฟา หลังจากผลเลือดไม่ OK ขอคำแนะนำว่า ควรหยุดอาหารเสริมไหม ?
อันที่จริง หากผลลัพธ์ (อาการทั่วไป) ดีและผลแลปส์ (เช่น ผลเลือด, ปัสสาวะ) ไม่ OK ควรใช้ผลลัพธ์มากกว่า สำหรับโรคนี้ เชื่อว่าแพทย์คงสั่งใช้โคคิวเทนเพิ่ม รวมถึงวิตามินบี เพราะคลอโรฟิน ก่อให้ร่างกายสูญเสีย โฟลิค เมโทเทรกเสทก็กดการสร้างโคคิวเทน โดยขนาดที่ควรใช้ คือ โคคิวเทนขนาดวันละ 100 มก. และ OPC 300 มก.โดยแบ่งเป็น 3 เวลา และควรเพิ่มโอเมก้า 3 น้ำมันปลา ให้ลดการจับกลุ่มของเม็ดเลือด ช่วยการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นด้วย

ปัญหา คือ อาหารเสริมที่ใช้มีสิ่งแปลกปลอมหรือสารอื่นที่ไม่พึงประสงค์ปนอยู่หรือไม่ นอกเหนือจากว่า แพงเกินจำเป็นรึเปล่า ! (แบบว่าตั้งราคาสูงๆ ให้ดูดีเข้าไว้...แต่ถูกไปก็ระวังของไร้คุณภาพ)
ในความเห็นส่วนตัว หากอาการทั่วไป ดีขึ้นก็ไม่ควรเลิกสารอาหาร แต่ควรลดยาแผนปัจจุบันโดยเฉพาะสารสเตอรอยด์ คลอโรฟิน และเมโทเทรกเสท แม้กระทั่งกลุ่มซัลฟา ซึ่งหากลดแล้วอาการเลวลง (ไม่ใช่ผลเลือด) จึงควรกลับไปใช้ใหม่ หรือเพิ่มขนาดใหม่ โดยคงขนาดสารอาหารให้เพียงพอจากผักผลไม้ (ที่ปลอดสารพิษ) เพิ่มเติมกากใย พร้อมดื่มน้ำมากๆ

ในทางตรงข้ามหากทดลองงดสารอาหารแล้ว ผลแลปส์ดี แต่อาการทั่วไปของร่ายกายเลวลง คิดว่า เพิ่มสารอาหารปลอดภัยกว่ากันเยอะครับ
ขอสรุปว่า รักษาแบบเอาผลโรค ดีกว่าผลเลือด ครับ...ลดยาดีกว่าลดสารอาหาร...เพิ่มสารอาหาร ดีกว่าเพิ่มยา...เว้นแต่ว่าไตชำรุดก็คงต้องหยุดเกือบทุกอย่าง ยกเว้น หลินจือสกัด

จะลดความอ้วนโดยไม่ใช้ยา ไม่อยากเข้าคอร์สแพงๆ มีหนทางไหม ?
เรื่องนี้อยู่ที่ใจอันมุ่งมั่น สาระหลัก คือ "งดแป้ง น้ำตาล" แต่ข้อเท็จจริง มักงดไม่ได้ เพราะแป้ง น้ำตาลแทรกซึมอยู่ในอาหารทั้งหลาย เคล็ดลับ คือ ลดปริมาณอาหารลงสัปดาห์ละ 10% เพื่อมิให้ร่างกายตอบโต้เป็นโยโย่เอฟเฟก (เสมือนลูกดิ่งขว้างออกมาแล้ว เด้งกลับเข้าไปคงเดิม หรือเข้าๆ ออกๆ...บวมๆ ยุบๆ)

จากสาระหลักเรื่องลดแป้ง น้ำตาล ก็มีเคล็ดหรือตัวช่วยที่สำคัญ เช่น การแปรงฟันหลังอาหารทุกมื้อ หลีกเลี่ยงการทานเป็นหมู่คณะ อย่าอดมื้อเช้า ตรงข้ามต้องให้หนักมื้อเช้า กลางวันเบาลง มื้อเย็นน้อยสุดเหลือเพียงผักผลไม้กากใย อย่าอดนอนโดยเข้านอนก่อน 4 ทุ่ม ตลอดจนหลีกไกลไขมันทรานส์ สารพิษในอาหาร ซึ่งหากเลี่ยงไม่ได้สารอาหารกลุ่มรวมทีมสารต้านอนุมูลอิสระ (Beauty with Toxin scavenger) แร่ธาตุ สังกะสี น้ำมันปลา ตลอดจนกลุ่ม Block and Burn calories ก็ช่วยเสริมเติมพลังในการลดแคลอรี่เพิ่มอัตราเผาผลาญได้
อ้วนนั้นลดได้แน่ แต่หากขาดปณิธานที่มุ่งมั่นให้ความสำคัญ ก็มักกลับไปอ้วนกว่าเก่า !

ทำไมผู้บริโภคน้ำมันปลาเป็นประจำ จึงควรเลือกระดับมาตรฐาน คุณภาพยา ?
เมื่อจำเป็นต้องทานน้ำมันปลาเป็นการประจำก็คงได้น้ำมันปลาปริมาณมาก แต่ในน้ำมันปลาใช่ว่าบริสุทธิ์ผุดผ่อง ยังมีสารสิ่งเจือปน (Impurity) ที่ถูกสกัดออกมาด้วย แล้วแต่ธรรมชาติแหล่งปลา เช่น ดีดีที ยาฆ่าหญ้า สารปรอท ตะกั่ว แคดเมียม สารหนู ฯลฯ
เขาจึงเคลมว่า ใช้ปลาจากทะเลลึกดีกว่าไง เพราะน่าจะปลอดสารสิ่งมลพิษได้
แต่ข้อเท็จจริง คือ มลพิษได้กระจายไปทั่วท้องทะเลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้แต่ที่ขั้วโลกเหนือ (ปรากฎการณ์สึนามิอาจช่วยอธิบายการเคลื่อนย้ายของมวลสารทั้งหลายในผืนโลก)
ทางแพทย์จึงตั้งเกณฑ์น้ำมันปลาที่เป็นมาตรฐานยา (เพื่อให้ใช้ปริมาณมากๆ หรือประจำโดยไม่ต้องรับเอาสารพิษ สิ่งที่ไม่ต้องการแถมเข้าไปด้วย) ก็ด้วยการสกัดน้ำมันปลาที่ได้อีกขั้นหนึ่ง จนจำกัดจำนวนสารพิษปนเปื้อนแต่ละชนิดได้ในเกณฑ์ที่ OK
ผลพลอยได้ คือ กรดไขมันโอเมก้า 3 ทั้ง EPA และ DHA ก็เข้มข้นขึ้นประมาณเท่าตัว
น้ำมันปลาระดับมาตรฐานยาจึงก้าวข้ามคำถามว่า "น้ำมันปลาของคุณสกัดจากปลาทะเลแหล่งไหน ? " โดยปริยาย
แล้วจะสังเกตอย่างไร ว่าเป็นมาตรฐานยา...ก็ต้องดูจากความเข้มข้นของ EPA และ DHA ในแคปซูล
ปกติเกรดอาหารขนาดแคปซูล 1000 มก.จะมี EPA และ DHA ประมาณ 300 มก. หรือ 30%
ถ้าเป็นเกรดยา ขนาดแคปซูลเพียง 500 มก. จะมี EPA และ DHA ประมาณ 300 มก. หรือใกล้เคียง กล่าวคือ เข้มข้น 60%
อย่างอื่นคงดูยาก เพราะถ้ามีวัตถุประสงค์ให้จัดในประเภทอาหาร (ชั้นเลิศ) อีกทั้งเม็ดเล็ก กลืนง่าย จึงไม่สามารถแบ่งสรรพคุณเพิ่มเติมได้ ซ้ำร้ายต้องมีคำเตือนครอบจักรวาล ติดไว้อีกต่างหาก
แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่า "ของดีราคาถูก"...อันนี้คงต้องติดตามผล เพราะภาพพจน์เกิดจากพฤติกรรมที่ต่อเนื่องยาวนาน มิใช่คำโฆษณาอวดอ้างประเดี๋ยวประด๋าว
จะว่า "ราคาถูก" ก็ไม่เชิง เอาเป็นว่าไม่แพงหรือถูกกว่ากันหลายช่วงตัวทั้งที่มาตรฐานสูงกว่า...คือ อะไร...เป็น เช่นไร...คงต้องใช้วิจารณญาณที่ดีเป็นคำตอบ

ทำไมควรใช้ CoQ10 ในผู้ป่วยพาร์กินสัน ?
พาร์กินสัน เป็นโรคที่เกิดมีความเสื่อมของเซลล์สมอง สาเหตุจากเซลล์ประสาทถูกทำร้าย โดยเฉพาะอนุมูลอิสระจากโลหะหนัก
การได้รับสารพิษโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม อลูมิเนียม ทำให้สะสมหรือไปจับเซลล์ประสาทสมอง จนเซลล์ประสาททำงานไม่ต่อเนื่อง
การที่จะลดพิษ ก็คือเลี่ยงการรับสารพิษหนึ่ง
อีกทางหนึ่ง คือ ปกป้องการจับตัวของสารพิษอนุมูลอิสระที่มากับโลหะหนัก วิธีการคือ สารต้านอนุมูลอิสระ ยิ่งมีมากก็ยิ่งต้านได้ดี

CoQ10 จึงเป็นตัวเลือกจากสมาคมแพทย์ประสาทสหรัฐ ในปี 2002 ให้ใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน หากเสริมด้วย OPC และน้ำมันปลา ก็ยิ่งได้บำรุงและป้องกันอาการพิษอีกทางหนึ่ง

ยังมีอีกทางหนึ่งในการกำจัดสารพิษโลหะหนักที่จับตัวอยู่กับเซลล์ประสาท คือ การไล่พิษ ที่เรียกคีเลชั่น โดยพบว่าเมื่อไล่ออกได้เซลล์ประสาทก็งอกมาเชื่อมต่อกันได้ อาการโรคก็ย่อมหายสบายขึ้น

โคคิวเทน ช่วยลดความดันได้อย่างไร ?
ความดันเลือดที่สูง มีผลให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ

ผล คือ มีการใช้โคคิวเทนมากกว่าปกติส่งผลให้เกิดภาวะขาดโคคิวเทนหรือผู้ป่วยความดันสูงอีกประเภทหนึ่งเป็นเนื่องจากขาดโคคิวเทนขึ้นก่อน

เมื่อขาดโคคิวเทน การสร้างอเซทีล โคลีน (Ac Ch) จะลดลง เนื่องจาก โคคิวเทนเป็นสารตั้งต้นของอเซทีล โคลีน

อเซทีล โคลีน คืออะไร...เรารู้จัก ฮอร์โมนที่ชื่อ อดรีนาลีน (Adrenaline) ว่า ทำให้ความดันขึ้นสูง เป็นฮอร์โมนแห่งการสู้รบหรือหนีให้พ้นภัย เช่น ยามเกิดไฟไหม้ อาจมีแรงยกตุ่มน้ำได้ทั้งใบ ในยามปกติร่างกายจะมีฮอร์โมนคู่ที่ผลิตออกมาต้านฤทธิ์ของอดรีนาลีน ทำนองมีลบก็มีบวกคอยคัดคานกัน หรือ หยินคู่กับหยาง
แต่ก่อนเรียก Nor Adrenaline ปัจจุบันเรียก อเซทีลโคลีน นั่นเอง จัดเป็นฮอร์โมนฝ่ายดี มีแล้วสร้างสรรค์ จิตใจสงบ อารมณ์ดี

เมื่อขาดโคคิวเทน ก็ขาดอเซทีล โคลีนก็ขาดตัวควบคุมความดันต่อต้านอดรีนาลีน ความดันจึงขึ้นครั้นพอได้รับโคคิวเทน ก็มีการสร้างอเซทีล โคลีน ออกมา ต้านàความดันลดลง ในอีกด้านหนึ่ง โคคิวเทนช่วยให้หัวใจทุกห้องบีบตัวดีขึ้น รวมถึงห้องบน ส่งผลให้เลือดดำไหลเข้าหัวใจได้เต็มที่ การซึมผ่านของเลือดจากเนื้อเยื่อเข้าสู่หลอดเลือดดำฝอยได้ดี หลอดเลือดแดงฝอยก็ไหลสะดวก ความดันทั้งระบบจึงคลายตัวลง

และเป็นการลดลงในขณะหัวใจคลายตัว จากผลงานทดลองในผู้ป่วยที่ได้ผลว่า ความดันตัวล่าง(Distolic BP)ลดลง

อันเป็นนัยสำคัญของการลดลงของความดันเลือดในอีกด้าน CoQ10 เป็นสารต้านอนุมูลอิสระต่อสารพิษที่จะมาทำร้ายไขมันเลว (LDL) จนเกิด LDL พิษ ส่งผลต่อหลอดเลือดแข็ง ตีบตัน หรือแตก อุดตัน

ทำไมต้องใช้ CoQ10 ในผู้ที่กินยาลดไขมัน (stain) ?
เพราะ Stain หรือกลุ่มยาลดคอเลสเตอรอล (Cholesterol) จะไปกดการสร้างโคคิวเทนด้วย เราทราบว่าCoQ10 เป็นสารผู้ร่วมก่อสร้างอเซทีล โคลีน (Ac Ch) จากสารตั้งต้น คือ โคลีน + บี 6 นอกจาก Ac Ch เป็นตัวควบคุมความดัน ต้านฤทธิ์กับ Adrenaline คือ ระหว่างภาวะสงบกับภาวะการรบแล้ว การขาดอเซลีท โคลีน ยังก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้า อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หายใจติดขัด ลำบาก เหน็บชา ความจำเสื่อม ผู้ที่ทานยาสแตตินจึงขาดโคคิวเทนมิได้

ทำไมเหงือกอักเสบจึงเกี่ยวกับ CoQ10 ?
เพราะระบบหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจมีการต่อตรงกับเหงือก อาการอักเสบติดเชื้อที่หลอดเลือดหัวใจจะแสดงที่เหงือก หรือ à หากเหงือกอักเสบ ปล่อยทิ้งไป จะติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจได้ CoQ10 ไปช่วยให้หัวใจทำงานดีขึ้น โดยช่วยลด Oxidative stress งานต้านอนุมูลอิสระดีขึ้นมาก ขณะที่ภาวะหัวใจดีขึ้น ภาวะอักเสบที่เหงือกก็พลอยดีไปด้วย

โคคิวเทนที่ดีผลิตจากอะไร ?
เราคงกลัวสารปนเปื้อน เช่น โลหะหนักที่ปนเปื้อนมาผักที่นำมาผลิต CoQ10 หรือเกรงว่าหากผลิตจากสัตว์ แล้วจะไม่เจ หรือกรณีโคคิวเทนสังเคราะห์ มักได้เป็น Trans form ผิดธรรมชาติ ใช้แทนกันไม่ได้ปัจจุบันมีการพัฒนาการสกัดโคคิวเทนโดยสกัดจากยีสต์ ยีสต์ นั้นเพาะเลี้ยงได้ในโรงเลี้ยงระบบปิดพ้นจากมลพิษทั้งหลาย ทำให้วัตถุดิบบริสุทธิ์ไม่ต้องฆ่าสัตว์และต้นทุนต่ำ จนราคาลดลงได้มากๆ

สารอาหารอื่นที่ช่วยลดความดันมีอะไรบ้าง ?

ก็ท้าวความถึงที่มาสาเหตุแห่งความดันสูง
– พอสูงแล้ว หัวใจทำงานหนัก à ขาด CoQ10

– สูงจากได้รับเกลือ โซเดียมมากขับไม่ออกก็ต้องการสารอาหารที่ช่วยขับโซเดียม คือ โปแตสเซียม

– สูงจากผนังหลอดเลือดแข็ง กระด้าง ไม่ยืดหยุ่น ก็อาศัยตัวช่วยเสริมสร้างผนังเซลล์ที่ดี คือ โอเมก้า 3 น้ำมันปลา

– สูงจากความเครียด การหด (เกร็งของหลอดเลือดก็

- อาศัยสารช่วยคลายตัวของกล้ามเนื้อ ได้แก่ แมกนีเซียม Mg ยังช่วยสร้างภาวะด่าง ทำให้ลื่น ไม่ข้นหนืด ทำให้ใช้แรงบีบส่งเลือดน้อยลง

– สูงจากผนังหลอดเลือดเสียหายเกิดพลัก จากพิษของโฮโมซีสเทอีน (Homocystein) ก็ต้องอาศัยกระบวนการเม-ทิลเลชั่น (Methylation) ซึ่งต้องใช้ Choline กับ B6 + B12

– สูงจากผลของไขมันเลว LDL พิษ ทำให้ผนังหลอดเลือดเสียหายก็ต้องใช้สารต้านอนุมูลอิสระ (antox) ต่อต้านสารพิษ ซึ่งสุดยอดสารต้านอนุมูลอิสระ ก็คือ OPC นอกจากอาหารแล้วก็ยังมีเรื่องของการออกกำลังกายที่พอเหมาะ และการฝึกจิต สมาธิให้สงบ ลด เลี่ยง บุหรี่ แอลกอฮอล์


ที่มา
//www.mmc.co.th


Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2553 17:28:47 น. 0 comments
Counter : 1488 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

scimovie
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 108 คน [?]




แหล่งรวบรวมความรู้ โปรแกรม เพลง หนัง เกมส์ วิทยาศาสตร์ ดูละคร เรื่องย่อ ภาพยนตร์ การเงิน และอื่นๆ อีกมากมาย สุดท้ายขอกำลังใจให้มีแรงอัพเดทตลอดๆ ครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยียนกันครับ
Friends' blogs
[Add scimovie's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.