|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | |
|
|
|
|
|
|
|
Munich : สำนึกรักษ์บ้านเกิด
สวัสดีครับ !
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วไปดูมา แต่ว่าไม่มีเวลามาอัพ blog มาลงไว้ตอนนี้คงยังไม่สายไปเท่าไหร่หรอกนะครับ ( หวังว่า )
บอกไว้ก่อนนะว่า ผมไม่ใช่นักวิจารณ์อาชีพอะไร และไม่ได้รับจ้างใครมาด่า หรือชม ภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย เพราะฉะนั้น ข้อความต่อจากนี้ไป เป็นเรื่องของความคิดเห็น ความชอบ และวิจารณญาณส่วนตัวล้วน ๆ
ปล. เนื้อหาต่อไปนี้มีการเฉลยเนื้อเรื่องนิด ๆ หน่อย ๆ แต่คิดว่ายังไม่ไปดูก็สามารถอ่านได้นะครับ อาจจะช่วยเพิ่มความอยากดูด้วยซ้ำ !!!
..........................................................................
ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยผู้กำกับนั่งหิ้งของผม Steven Spielberg ซึ่งหวังเอาไว้กับหนังเรื่องนี้เป็นอย่างมากในด้านรางวัลจากสถาบันต่าง ๆ
ผมดูที่เมเจอร์สุขุมวิท คนเดียว จนจบทั้งเรื่องก็รู้สึกว่า ...
มันก็ดีนะครับ !
แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ายิ่งใหญ่ หรือเป็นฟอร์มยักษ์อะไรขนาดนั้น อาจเป็นเพราะความตั้งใจของผู้กำกับก็ได้ เพราะถ้าเทียบกับ Jurassic Park เรื่องนี้ก็ไม่ Big Production เท่า, เทียบกับ War of the worlds ก็ไม่อลังการงานสร้างและเพียบพร้อมเทคนิคขนาดนั้น, แม้จะเทียบกับ Schindler's List ก็ไม่ยิ่งใหญ่ในด้านเนื้อหาการตีแผ่ขนาดนั้น ( สำหรับผม )
แต่ไม่ใช่ว่าหนังเรื่องนี้มันจะไม่ดีนะครับ .. อย่างที่ผมบอกไว้ตั้งแต่แรกแหละว่า หนังเรื่องนี้ มั น ก็ ดี น ะ ค รั บ ! !
เนื้อหาของหนัง จับเอาช่วงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคที่มิวนิค ในปี 1972 ซึ่งมีผู้ก่อการร้ายชาวปาเลสไตน์ จับเอาตัวนักกีฬาชาวอิสราเอลไปเป็นตัวประกัน และสังหารในท้ายที่สุด เพื่อประกาศให้โลกรับรู้ถึงอุดมการณ์ของกลุ่ม "กันยาทมิฬ" ที่ก่อตั้งขึ้นด้วยเหตุแห่งการเรียกร้องในสิทธิเสรีภาพเหนือดินแดนของตนเอง .. ดินแดนที่คนที่เหลือทั้งโลก ( ที่ไม่ใช่ชาวปาเลสไตน์ ) เชื่อว่า มันไม่เคยมีอยู่จริง !
พระเอกของเรื่อง นำแสดงโดย เอริค กล้วยหอม ( บานาน่า ) เป็นหน่วย "มอสสาด" ตำรวจลับที่ตัดสินใจรับหน้าที่ลอบสังหารกลุ่ม "กันยาทมิฬ" ในขณะที่เมียกำลังตั้งท้องลูกคนแรกอยู่ การปฏิบัติหน้าที่ดำเนินไประหว่างที่ตัวละครมีพัฒนาการด้านอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งผมรู้สึกว่าในส่วนตรงนี้ หนังทำออกมาได้ดีทีเดียว อาทิ
จากตอนต้นที่พระเอกยังลังเล ในการรับหน้าที่ลอบสังหาร แต่ถึงเวลาเริ่มงานจริง ๆ กลับนิ่งกว่าพรรคพวกที่มาสมทบในกลุ่ม ( ฉากที่สมาชิกทุกคนเจอกันครั้งแรกบนโต๊ะอาหาร ) แต่ในตอนท้าย คนที่ตื่นที่สุด กลับเป็นคนที่นิ่งกว่าใคร คนที่ดูสงบและวางมาดเก๋า กลับไม่ใช่เก๋าอย่างที่เราคิด !?
หรืออย่างฉากที่พระเอกตัดสินใจว่าจะส่งสัญญาณให้กดระเบิด ก็แสดงความอึดอัดใจออกมาให้เห็นได้อย่างน่าดูชม
ยิ่งตอนที่พระเอกของเราได้ยินเสียงลูกครั้งแรกทางโทรศัพท์แล้วร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ผมเชื่อว่าผู้ชมหลาย ๆ คน น้ำตาไหลออกมาโดยไม่ทันตั้งตัวเหมือนผม แม้ว่าจะยังไม่ได้มีลูกกันก็ตาม ...
ในส่วนของเนื้อหาการดำเนินเรื่อง ผูกเรื่อง วางปม และคลี่คลาย ตลอดจนไปถึงการพัฒนาทางด้านตัวละครเป็นไปได้อย่างราบรื่น น่าชื่นชม สมเหตุสมผล
ดาราที่มารับบทแต่ละคนก็ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม ตัว เอริค บาน่า เอง รับบทได้สมกับเป็นตัวความหวัง ดาราสมทบคนอื่น ๆ ก็ดีเยี่ยม หลายคนเป็นดาราที่ไมคุ้นหน้า อย่างเช่น ตัวละครที่ชื่อ "หลุยส์" กับ "ปาป้า" ( Mathieu Amalric กับ Michael Lonsdale ) ก็เล่นได้ดีมาก .. บทแม่พระเอกของ Gila Almagor ก็เล่นได้ดี เข้าข่าย "น้อยได้มาก" กันทุกคน ไม่มีใครเล่นเยอะเกิน หรือน้อยไป โดยเฉพาะในบทของ Geoffrey Rush ที่สวมบทบาทได้ไม่ขาดไม่เกิน ดูแล้ว "เชื่อ" ว่ามีตัวละครตัวนี้จริง ๆ
แต่ที่เด่นจริง ๆ ในเรื่องนี้ ผมคงชี้ไปที่บท และ dialogue มากกว่า เพราแฝงอะไรที่ลึกซึ้งไว้มากมาย จำได้เยอะเหมือนกัน แต่อยากให้ไปดูในโรงกันเอาเองมากกว่า ขอยกตัวอย่างที่เด่น ๆ สักนิด ๆ หน่อย ๆ ก็แล้วกัน อาทิเช่น ตอนที่กลุ่มของพระเอกมาเจอกลุ่มของศัตรูโดยบังเอิญ แล้วมีการสนทนาวิวาทะกันขึ้น
พระเอกถามอีกฝ่ายว่าจะสู้ไปเพื่ออะไร อีกฝ่ายตอบว่า เพื่อผืนดิน เพื่อดินแดน เพื่อบ้าน พระเอกถามว่าผืนดินที่แสนจะแห้งแล้ง ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้นเนี่ยนะ ถามจริง ๆ อยากจะได้ไปทำไม คิดว่ามีประโยชน์กับลูกหลานเรอะ ไปหาแผ่นดินเอาดาบหน้าดีกว่า ทำมาค้าขายอยู่นิวยอร์ค อยู่ประเทศไหนก็ได้ ไม่เห็นต้องยึดติดว่าต้องเป็นที่ "ตรงนั้น" ฝ่ายศัตรูตอบว่า "ไม่มีที่ไหนเหมือนบ้าน"
ส่วนตัวผม ผมเห็นด้วยกับทั้งสองคน และก็เข้าใจทั้งคู่ด้วยนะ
เป็นผม ผมก็คิดเหมือนกันนะว่าถ้ามีที่ดินใจกลางกรุงโตเกียวให้เราอยู่ แลกกับที่ดินแตกระแหงในทุ่งกุลาร้องไห้เราจะเลือกอยู่ที่ไหน !? มีประโยชน์อะไรกับการยึดเอาละติจูด ลองติจูดที่สมมุติขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ ที่ตรงไหนก็เหมือนกันในโลก ถ้าเรามีโฉนดซะอย่าง !
แต่ก็นั่นแหละ บางอารมณ์ให้ผมย้ายไปอยู่สุขุมวิท ผมก็คิดหนักทั้ง ๆ ที่ ที่มันแพงกว่า แต่ผมก็ชอบที่จะอยู่กลางซอยมหาดไทย ที่มีเพื่อนบ้านที่โตมาด้วยกัน การเดินทางที่หลับตาก็ไปไหน ๆ ถูก สภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย และความหลัง ( เรียกได้ว่าเป็น ประวัติศาสตร์เล็ก ๆ ) ส่วนตัว
อะไรล่ะที่เราเรียกว่า "บ้าน" คำนิยามของมันคืออะไร !?
ทำไมต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มันมา เพื่อให้ได้คืนมา หรือเพื่อให้มีมันขึ้นมาจริง ?
ความเป็นบ้าน หมู่บ้าน รัฐ ประเทศ ชนชาติ มันยึดติดอยู่กับพื้นที่หรือไร ไม่สามารถเคลื่อนที่ เคลื่อนย้าย หรือขยับขยายไปไหนได้จริงหรือไม่ !?
นี่คือข้อความส่วนใหญ่ที่ผมได้มาจากการชมภาพยนตร์เรื่องนี้ มากกว่าเรื่องราวการประกาศอุดมการณ์ทางการเมือง หรือเหตุการณืทางประวัติศาสตร์ใด ๆ
ไปดูกันนะครับ แล้วมาเล่าสู่กันฟังบ้าง ว่าคิดเห็นกันยังไง !
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ
Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2549 |
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2549 15:41:27 น. |
|
4 comments
|
Counter : 397 Pageviews. |
|
|
|
โดย: keano IP: 161.200.107.72 วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:11:51:47 น. |
|
|
|
โดย: akoraphobia IP: 202.139.223.18 วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:15:27:04 น. |
|
|
|
โดย: ae IP: 58.11.14.88 วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:15:51:07 น. |
|
|
|
โดย: กาโม้ย IP: 61.90.64.136 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:16:26:35 น. |
|
|
|
|
|
|
|
แต่แนวคิดที่หนังต้องการจะบอกสื่อออกมาได้เป็นรูปธรรมได้ดีทีเดียวนะผมว่า
การใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาไม่ใช่ใช่ทางออกที่ควรจะเป็น
ฆ่ากันไปเพื่ออะไร เพื่อให้คนใหม่เข้ามาแทนที่ แล้วก็ตามฆ่ากันไม่รู้จักจบสิ้นงั้นหรือ
หนังบอกทางออกไว้อย่างแยบยลในฉากๆหนึ่ง ผ่านการจูนคลื่นฟังเพลงจากวิทยุใน Safehouse ที่มียิวและอาหรับอยู่ด้วยกัน
บางทีจุดที่ลงตัวที่สุดสำหรับปัญหาคือ การจูนคลื่นเข้าหากัน หาเพลงที่ทำให้ทั้งสองฝั่งยิ้มได้ ไม่ใช่สุดขั้ว สุดโต่งแบบฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
เพียงแต่ในความเป็นจริง มันทำได้ยากเหลือเกิน ตราบใดที่บางประเทศยังมีผู้นำที่ไม่สนใจในเสียงเพลงของสันติภาพอยู่
Munich ดูแล้วคุ้มครับ ได้แนวคิดดี