Life in the biG World
(... is beautiful)
|
|||
- "ความอยากรู้อยากเห็น" ในเด็กเล็ก คือ ขุมทรัพย์ทางปัญญา - รบกวนไลค์เพจนี้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ https://www.facebook.com/aDiaryofaMomofThreeGirls/ - "ความอยากรู้อยากเห็น" ในเด็กเล็ก คือ ขุมทรัพย์ทางปัญญา - ความอยากรู้อยากเห็น เป็นกลไกของสมองที่ทำงานเพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีตรรกะและเหตุผล กระบวนการเรียนรู้ ประกอบด้วยองค์ประกอบ 2 แบบ คือ หนึ่ง การเรียนรู้โดยตรง เช่น คุณแม่อ่านหนังสือให้ลูกฟัง การเล่าเรื่องก่อให้เกิดความรู้ในเรื่องนั้น ๆ แก่เด็ก สอง การเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติจากความอยากรู้อยากเห็นของเด็กๆ เอง และด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างเป็นธรรมชาติของพวกเขานี้ได้กลายเป็นสิ่งที่ปลดล๊อคความรู้และเปิดประตูแห่งการสำรวจโลกให้แก่พวกเขา ความอยากรู้อยากเห็น เป็นสิ่งที่ช่วยพัฒนาจินตนาการในเด็กเล็ก ทั้งนี้เพราะความอยากรู้อยากเห็นนี้จะขับเคลื่อนความรู้สึกอยากที่จะสำรวจในสิ่งที่พวกเขาสนใจ ไม่ว่า ความปรารถนาที่จะสัมผัส จับ ถือ และเดินไปยังสิ่งของที่พวกเขาชอบที่จะเล่นครั้งแล้วครั้งเล่า ระหว่างอายุ 2-3 ปี แรกของเด็กเล็กนั้น ความอยากรู้อยากเห็น เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลน้อยกว่า "จินตนาการ" โดยที่บทบาทของจินตนาการนั้นส่งผลให้เด็กเล็กปรารถนาที่จะเล่น เล่น และเล่น ซึ่งนั่นก็คือ "การเรียนรู้" ของพวกเขา ยกตัวอย่างเช่น โซเฟียแสดงความสนใจที่มีต่อ "ตุ๊กตาบาร์บี้" ที่เธอได้รับในวันเกิดครบรอบ 2 ขวบของเธอเท่านั้น เธอหวีผมให้ตุ๊กตา เธอพยายามเปลียนเสื้อผ้าให้ แต่เธอยังไม่สามารถเข้าใจจุดประสงค์ของการเล่นตุ๊กตาบาร์บี้เท่ากับความอยากรู้อยากเห็นที่จะจินตนาการว่าเธอเล่นอยู่กับสิ่งๆ หนึ่งที่น่ารักและน่าสนใจ ซึ่งอาจจะเป็นเพื่อนที่ดีกับเธอก็ได้ ดังนั้น ด้วยจินตนาการเช่นนี้ โซเฟียก็อาจจะเล่นบทบาทสมมุติกับตุ๊กตาบาร์บี้ตัวนี้ โดยอาจจะเป็นแม่ เพื่อน หรือพี่สาว เป็นต้น เมื่อพวกเขาโตขึ้นอีกสักหน่อย โลกของความอยากรู้อยากเห็นที่นำไปสู่การเรียนรู้ที่แท้จริงก็จะมามากขึ้นตามลำดับ ความอยากรู้อยากเห็นในเด็กเล็กเป็นสิ่งที่ไม่มีขีดกัด ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การดูแลจากพ่อและแม่เสมอ ลักษณะของการดูแล คือ การที่พ่อแม่ต้องรู้จักจัดการกับความอยากรู้อยากเห็นของลูกๆ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก ทั้งนี้โดยที่จะต้องไม่กีดกัน หรือบังคับพวกเขาไม่ให้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพียงแค่เพื่อไม่ต้องการให้เกิดความเลอะเทอะ หรือวุ่นวาย ยกตัวอย่างเช่น เลาร่าชอบที่จะเล่นน้ำและทำให้พื้นบ้านเปียกน้ำเสมอ ด้วยความที่เรากลัวว่า เลาร่า และลูกๆ อีกสองคนจะลื่นล้มและเจ็บตัวกับการเล่นแบบนี้ เราควรจะห้ามเลาร่าไใม่ให้เล่นน้ำในบ้านอีกต่อไป หรือ เราควรรจะจัดการปรับเปลี่ยนสถานที่เล่น? แน่นอนว่า การห้ามเลาร่าอย่างเด็ดขาดว่าไม่ให้เล่นน้ำอีกต่อไปน่าจะเป็นวิธีที่จำกัดการเรียนรู้ผ่านความอยากรู้อยากเห็นของเธอ ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือ เราก็ย้ายสถานที่เล่นให้เลาร่าไปเล่นในอ่างน้ำที่ห้องอาบน้ำแทน เป็นต้น และหากกรณีที่เด็กๆ ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องจริงๆ ที่อาจจะนำมาซึ่งสุขภาพที่ไม่ดี หรือ อันตรายจากการจับต้องสิ่งนั้น เช่น อันนา อยากจะรู้ว่า อาหารสุนัข มีรสชาติอย่างไร และต้องการที่จะชิมมัน เราในฐานะพ่อแม่ก็ต้องห้ามไม่ให้กิน ดังนั้น ข้อคิดสำคัญในตอนนี้ก็คือ การสอนให้เด็กเล็กเรียนรู้จักความผิดหวังและทำตามพ่อแม่ แต่พ่อแม่ก็ควรมีวิธีการที่จูงใจพวกเขามากกว่าที่จะใช้คำว่า ไม่ ไม่ และไม่ นอกจากนี้ จำไว้เสมอว่า หากเด็กๆ มีความอยากรู้อยากเห็นในสิ่งหนึ่งสิ่งใด การสนับสนุนให้พวกเขาได้ทำในสิ่งนั้นๆ อย่างต่อเนื่องและเสริมสร้างพวกเขาด้วยการสอนที่เพิ่มพูนการเรียนรู้นั้นย่อมเป็นสิ่งสำคัญ และการสนับสนุนให้พวกเขาทำสิ่งหนึ่งๆ อย่างต่อเนื่องจะเป็นการสร้าง "สมาธิ" และ "ความจดจ่อ" ให้เกิดขึ้นในเด็กเล็ก และสิ่งเหล่านี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อพวกเขาที่จะประสบความสำเร็จในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในอนาคต (สรุปความและดัดแปลงจากหนังสือเรื่อง On Becoming Todder Wise Gary Ezzo, M.A. & Robert Bucknam, M.D.) หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆ นะคะ Have a nice day ka! |
onceuponatime
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?] ชีวิตของผู้หญิงไทยในต่างแดนคนหนึ่ง ที่เป็นทั้งคุณแม่ลูกสามที่มีดีกรีด๊อกเตอร์จากประเทศเยอรมนี เปิดบันทึกเพื่อเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ผจญภัยที่แสนจะตื่นเต้นของเธอในต่างแดน ไม่ว่าจะเป็น การสอบเข้าและเรียนปริญญาเอกที่สุดหิน ความรักข้ามขอบฟ้าที่แสนโรแมนติก การสร้างครอบครัวที่อบอุ่น แถมพ่วงด้วยลูกเล็กอีกสามที่มีพรสวรรค์ด้านดนตรีอย่างเหลือเชื่อ พร้อมทั้งแบ่งปันเคล็ดลับและแรงดลบันดาลใจที่นำไปสู่ความสำเร็จแบบ "นกอินทรีต้องบินสูง" ของเธอ Group Blog All Blog
Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |