"การฝึกฝน " https://www.facebook.com/aDiaryofaMomofThreeGirls/
นอกจาก "การสังเกต" และ "การไม่เปรียบเทียบ" จะเป็นสิ่งที่ช่วยสนับสนุนพัฒนาการในเด็กเล็กแล้ว "การฝึกฝน" อย่างที่มีคำกล่าวว่า "Practice makes Master" นั้น ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ลูกน้อยประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นในด้านใดก็ตามที่พวกเขาสนใจอยู่
การฝึกฝนนี้ พ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างในการสร้างมาตรฐานที่ต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น เราตั้งเวลาประจำไว้ของทุกวันสำหรับการฝึกดนตรีของอันนาและเลาร่าเสมอ หรือ เราอ่านหนังสือให้ลูกๆ คนละ 1 เรื่องฟังทุกวัน เป็นต้น เพื่อลูกๆ จะเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติในเรื่องระเบียบวินัย เวลาที่เรายุ่งกับงานอื่นๆ ก่อนการฝึกดนตรีตามเวลาที่ตกลงกับลูกๆ ไว้ อันนาและเลาร่าก็จะรีบมาตามเราให้ไปฝึกกับพวกเขาทันที เนื่องจากพวกเขาเคยชินว่านี่คือ ตารางเวลาของเขา
การฝึกฝนในเด็กเล็กไม่ว่าเรื่องอะไรที่พวกเขาสนใจอยู่นั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่พ่อและแม่จะต้องอยู่กับพวกเขาในขณะฝึกซ้อมสิ่งนั้นๆ ด้วย แต่การอยู่ด้วยของพ่อแม่นั้น ไม่ได้หมายความเพียงแค่ กายของเราอยู่ด้วย แต่ตาและใจอยู่กับมือถือ หรือสิ่งอื่นๆ นะ การอยู่ด้วยในที่นี้ จึงหมายรวมถึง การเอาใจใส่ร่วมด้วยกับสิ่งที่ลูกๆ ทำด้วยเสมอ มิฉะนั้น เด็กๆ จะรู้สึกเบื่อและเลิกราที่จะทำในสิ่งนั้นๆ ในที่สุด ดังนั้น พ่อแม่จึงเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างมากที่เดียวกับการกำหนดความเป็นไปของศักยภาพและความสามารถของลูกๆ
เราไม่เคยปล่อยให้อันนาและเลาร่าซ้อมดนตรีโดยที่เราไม่อยู่ด้วยและไม่เอาใจใส่สักครั้งเลย กล่าวคือ ก่อนเวลาฝึกซ้อม แม้เราไม่ใช่นักดนตรี แต่เราศึกษาและเตรียมตัวเกี่ยวกับบทเรียนนั้นๆ ที่ลูกๆ เรียนอยู่เสมอ มากกว่านั้นในบางครั้ง เราศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเล่นเปียโนและไวโอลินด้วย เรียกได้ว่าเราเล่นเครื่องดนตรีทั้งสองอย่างไม่เป็นหรอกนะ แต่เรารู้ทฤษฎีและวิธีเล่น ทำให้เวลาที่อันนาและเลาร่าทำอะไรผิดทำนองหรือผิดจากที่เพลงนั้นๆ ที่ควรจะเป็น เราจะรู้เสมอและช่วยพวกเขาได้ ตัวอย่างที่น่าภูมิใจมากที่เราทำให้ครูเปียโนและครูไวโอลินของอันนารู้สึกทึ่งก็คือ เราสอนอันนาเล่นเปียโนด้วยตัวเองได้หลายเพลง ตั้งแต่เธออายุ 4 ขวบ แม้กระทั่งเพลงของบีโทเฟนที่เพื่อนๆ สามารถหาดูได้จากวิดีโอในเพจนี้ นั่นก็คือผลงานของเรา :) รวมถึง เราสอนอันนาเล่นไวโอลินจากเพลงทั้งหมดในหนังสือไวโอลินฉบับแรก เรียกได้ว่า เราเป็นสมองให้อันนา และอันนาเป็นมือให้มาม๊าเลยทีเดียว แต่ตอนนี้เราทำแบบนี้ไม่ไหวแล้ว เพราะบทเรียนต่างๆ นั้น ได้ซับซ้อนมากขึ้น เกินความสามารถด้านดนตรีที่แสนจะธรรมดาของเราไปมากโขแล้ว และอันนากับเลาร่าก็มีครูที่เรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์ด้านเปียโนและไวโอลินีอยู่แล้ว
เพื่อนๆ อ่านดู ก็ไม่ต้องกลุ้มใจไปนะ เพราะเราเองก็เป็นแม่บ้านเต็มเวลา รวมถึงมีความไฮเปอร์นิดหน่อย ทำให้ดูเหมือนว่าสามารถลงทุนทำหลายๆ อย่างได้ด้วยตัวเอง สำหรับคุณแม่ที่ทำงาน หรือมีความจำกัดเรื่องเวลา หรือ การที่แต่ละคนมีปัจจัยต่างๆ ไม่เหมือนกัน ก็เอาเป็นว่า เพื่อนๆ เอาหลักการไปปรับใช้บนหัวใจที่ว่า "อยู่กับลูกเสมอและฝึกฝนกับเขาในสิ่งที่ชอบด้วยความรักและเอาใจใส่" เพียงแค่นี้ ลูกน้อยก็จะมีความสุขในสิ่งที่เขาทำและพวกเขาจะสนุกมากขึ้นที่เห็นพ่อแม่เรียนรู้ไปด้วยกันกับเขาด้วยแล้วค่ะ :)