และอีกหนึ่งเรื่องรัก (อัศจรรย์ข้ามขอบฟ้า) ที่คงต้องเล่าให้ลูกหลานและเพื่อนๆ ฟัง … :)
(More stuffs at https://www.facebook.com/saneyaha?ref=hl)

เคยไหมที่หลายครั้งความรู้สึกภายในก็นำทางความจริงบางอย่างเข้ามาในชีวิตของเรา …

สิ่งที่ควรทำหลายครั้งจึงเพียงแค่ใช้ความกล้าที่จะแสวงหา ความเชื่อที่จะมองเห็น และความพากเพียรที่จะรักษาความรู้สึกนั้น อย่างไรก็ตาม มันคงยากเต็มทีที่จะมีประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ในท่ามกลางความรู้สึกที่อาจต้องใช้เวลาก่อตัวจนกลายเป็นความจริง หากปราศจากความรักแท้อันเป็นสิ่งที่ช่วยหล่อเลี้ยงความรู้สึกนั้นๆ ให้เติบใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นความมั่นคง …

หลังจากที่สามีของข้าพเจ้า (ซึ่งเวลานั้นในเดือนสิงหาคม ปี 2006 เขาเป็นเพียงแค่ชายแปลกหน้าที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของข้าพเจ้าในฐานะแขกรับเชิญชาวต่างประเทศของคริสตจักรที่ต้องการเพียงมาเยี่ยมเยียนและเรียนรู้งานภายในองค์กรเท่านั้น) เดินทางกลับประเทศเยอรมนี ข้าพเจ้าก็เกิดความรู้สึกบางอย่างดลใจให้อธิษฐานกับพระเจ้าเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ ความรู้สึกนี้ข้าพเจ้ามีความแน่ใจว่าไม่ได้เกิดจากความอ่อนไหวใดๆ เพราะตั้งแต่แรกเจอข้าพเจ้าก็ไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ แบบพิเศษกับเขา เพราะหน้าที่ต้อนรับเพื่อนชาวต่างประเทศที่มาดูงานภายในองค์กรก็เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ารับผิดชอบเป็นประจำอยู่แล้วในช่วงเวลานั้น รวมถึงการคิดฝันแบบสไตล์สาวน้อยก็ไม่ใช่วิสัยของข้าพเจ้าแต่อย่างใด และข้าพเจ้าก็แน่ใจว่าสามีของข้าพเจ้าในเวลานั้นก็มิได้แสดงเจตนาอื่นใดกับข้าพเจ้าในทำนองดังกล่าวเลย ดังนั้น ความรู้สึกที่กระตุ้นภายในจิตใจส่วนลึกในเวลานั้น ข้าพเจ้าจึงแน่ใจว่ามันเป็นความรู้สึกพิเศษที่พระเจ้าบรรจงใส่ไว้ให้ …

คำอธิษฐานแรกและประสบการณ์จุดประกายความสัมพันธ์

เมื่อเกิดความรู้สึกพิเศษภายในขับเคลื่อนจิตใจเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่งที่ข้าพเจ้าใช้เวลารู้จักเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ ข้าพเจ้าก็อธิษฐานกับพระเจ้าว่า หากพระเจ้าอยากให้ข้าพเจ้าได้รู้จักผู้ชายคนนี้มากขึ้น ก็ขอให้ผู้ชายคนนี้เขียนอีเมลล์มาหาข้าพเจ้าก่อนภายในเวลาหนึ่งเดือน จะเขียนมาด้วยเรื่องใดๆ ก็ว่าไป แต่ข้าพเจ้าจะไม่เขียนหรือส่งข่าวสารใดๆ ไปหาเขาก่อนอย่างแน่นอน และหากภายในหนึ่งเดือนนี้เขาไม่ได้เขียนอีเมลล์อะไรมาหาข้าพเจ้าเลย ก็เป็นอันแน่ใจแก่ตัวข้าพเจ้าว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในจิตใจนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรพิเศษอีกต่อไป

หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ร่อนคำอธิษฐานดังกล่าวไปสู่สวรรค์แล้ว ข้าพเจ้าก็ดำเนินชีวิตปกติธรรมดา แต่ก็ไม่ปฏิเสธที่จะบอกว่า ข้าพเจ้าเปิดดูอีเมลล์ทุกวันด้วยความตื่นเต้นว่า จะมีจดหมายจากเขาไหมในกล่องข้อความของข้าพเจ้า แต่จนแล้วจนรอดตลอดเกือบทั้งเดือนกันยายน ปี 2006 ก็ไม่มีจดหมายอิเล็กโทรนิคส์จากคนที่ชื่อ Markus เลยสักครั้ง จนกระทั่งวันสุดท้ายของเดือนมาถึง ข้าพเจ้าเดินทางมาถึงที่ทำงาน ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเริ่มต้นวันทำงานวันใหม่นี้ ข้าพเจ้าก็อธิษฐานกับพระเจ้าแบบที่มักจะทำเป็นประจำอยู่แล้วทุกวันก่อนทำงาน แต่ในวันนี้ข้าพเจ้ามีความตั้งใจอย่างมากที่จะขอบคุณพระองค์ที่ให้ความรู้สึกพิเศษเกี่ยวกับมาร์คุส เพื่อเป็นการสรุปปิดท้ายประสบการณ์หนึ่งเดือนที่ได้อธิษฐานในหัวข้อนี้ รวมถึงได้คิดไปเองแล้วว่า บางทีที่พระเจ้าให้ความรู้สึกพิเศษๆ แบบนี้กับมาร์คุส อาจเป็นเพราะว่า พระองค์อยากให้ข้าพเจ้าได้รู้จักว่า คนแบบไหนที่ข้าพเจ้าน่าจะประทับใจ …

เมื่ออธิษฐานกับพระเจ้าเสร็จ ก็ถึงเวลาทำงานเสียที และเนื่องด้วยหน้าที่การงานที่ข้าพเจ้ามักจะได้รับมอบหมายให้ติดต่อกับองค์กรภายนอกบ่อยๆ จึงเป็นความจำเป็นที่ข้าพเจ้าจะต้องเปิดอีเมลล์ดูทุกวันว่ามีข่าวสารอะไร จากองค์กรใดบ้างที่ส่งมาถึงเจ้านายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็เปิดอีเมลล์เพื่อเช็คข่าวสารเหล่านั้นอย่างเป็นเรื่องปกติ และจุดเริ่มต้นของประสบการณ์ความรักอันอัศจรรย์ที่พระเจ้าประทานให้ข้าพเจ้าก็เริ่มต้นขึ้น !!!

… แต่อย่าเพิ่งคิดไปว่า อีเมลล์ฉบับแรกที่ข้าพเจ้าได้รับจากมาร์คุสหลังจากที่เขาเดินทางกลับประเทศเยอรมนีได้หนึ่งเดือนนี้จะเป็นจดหมายบอกรัก เพราะจดหมายฉบับนี้ เป็นจดหมายที่เขียนมาถามข้าพเจ้าว่า เพราะอะไรข้าพเจ้าจึงส่งฟอร์เวิร์ดเมลล์เกี่ยวกับการเมืองไทยในภาษาไทยให้กับเขา !!! ข้าพเจ้าก็ตกใจ เพราะอย่างที่เกริ่นไปในตอนต้นว่า ข้าพเจ้าจะไม่ส่งอีเมลล์ใดๆ ไปหาเขาก่อนอย่างแน่นอน และข้าพเจ้าก็ไม่ได้ส่งจริงๆ ดังนั้น แล้วใครส่งล่ะเนี่ย !!! ข้าพเจ้าจึงจัดการเช็คที่ต้นขั้วของรายชื่อในฟอร์เวิร์ดเมลล์นี้ว่ามีชื่อมาร์คุสอยู่ไหม เช็คแล้วเช็คอีก จนถึงทุกวันนี้ ก็นั่งดูอย่างละเอียด ก็ไม่เคยพบชื่อของสามีข้าพเจ้าในฟอร์เวิร์ดเมลล์ฉบับนี้เลย … :)

ความรัก ความอัศจรรย์ และความจริงใจ ไม่มีสิ้นสุด

ตั้งแต่วันที่ข้าพเจ้าพบอีเมลล์ฉบับแรกของมาร์คุส หลังจากที่เขาเดินทางกลับประเทศเยอรมนีไปแล้วนั้น ข้าพเจ้าก็ตอบอีเมลล์ของเขาไปด้วยความตื่นเต้น และเขาก็ตอบจดหมายของข้าพเจ้าด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน ทั้งนี้เราก็พยายามรักษาความสัมพันธ์บนพื้นฐานของคำว่า “เพื่อน” ที่ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบและหนุนจิตชูใจกันและกัน จนกระทั่งสามเดือนให้หลังผ่านไป เนื่องจากเราก็ไม่ใช่เด็กวัยรุ่นกันแล้ว เราจึงทบทวนกันว่าที่เราเขียนอีเมลล์คุยกันเกือบทุกวันเนี่ย มันเรียกว่าอะไร หากมันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกผิวเผิน เราก็ไม่ควรรักษาแนวทางนี้ไว้ เพราะในที่สุดหากเล่นกับความรู้สึก เราก็จะรู้สึกเจ็บปวดและเสียดายเวลาเปล่าๆ รวมถึงว่าด้วยความรักข้ามขอบฟ้าแบบนี้ หากจะทำให้เป็นเรื่องง่ายก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่มันก็ไม่ใช่วิถีและแนวทางชีวิตของข้าพเจ้าและมาร์คุสที่จะทำเช่นนั้น

หลังจากที่ข้าพเจ้าได้คิดทบทวนแล้ว ทบทวนอีกว่า ตกลงข้าพเจ้ารู้สึกอย่างไรกับมาร์คุสกันแน่ และเพราะอะไร ข้าพเจ้าก็พบว่า ข้าพเจ้าไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ข้าพเจ้าประทับใจในความสุภาพ ความตรงไปตรงมา ความเป็นผู้ใหญ่ และความตั้งใจที่จะรับใช้พระเจ้าของเขา อย่างไรก็ดี ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้อารมณ์ความรู้สึกนำหน้าข้าพเจ้าจนลืมความจริงต่างๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งความจริงที่ว่า เราอยู่แสนไกลจากกันและกัน และไม่มีทางที่จะรู้ รวมถึงมั่นใจได้เลยว่า แท้จริงเขาเป็นอย่างไร และที่สำคัญ เขาเป็นคนคนนั้น ที่พระเจ้าให้กับข้าพเจ้าหรือไม่

ความรู้สึกสับสนเช่นนี้ นำข้าพเจ้าไปสู่การอธิษฐานในสิ่งที่ยากที่สุด 3 ประการ อันนำมาซึ่งประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ และทำให้มั่นใจว่า มาร์คุส คือ คนที่พระเจ้าจัดสรรให้กับชีวิตของข้าพเจ้า

คำอธิษฐานประการแรกนั้น ข้าพเจ้าอธิษฐานว่า หากมาร์คุสเป็นคนที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับชีวิตของข้าพเจ้า ขอให้เยอรมนีเป็นประเทศแรกในยุโรปที่ข้าพเจ้าได้ไปเยือน

คำอธิษฐานประการที่สอง คือ หากมาร์คุสเป็นคนที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับชีวิตของข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้เดินทางไปเยอรมนีทุกปี และได้พบเขาทุกปี

และคำอธิษฐานประการสุดท้าย คือ หากมาร์คุสเป็นคนที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับชีวิตของข้าพเจ้า ขอให้เขาได้เดินทางมาเมืองไทย โดยปราศจากการร้องขอจากข้าพเจ้า พูดง่ายๆ คือ ให้ตัดสินใจมาเอง เพราะจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะเดินทางมายังเมืองไทยอีกครั้ง

ข้าพเจ้าบอกพระเจ้าว่า หากพระเจ้าตอบคำอธิษฐานเหล่านี้ของข้าพเจ้าทุกประการ นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า ข้าพเจ้าและมาร์คุส อยู่ในแผนการณ์ของพระเจ้าร่วมกัน

อย่างที่บอกไปในข้างต้นว่า คำอธิษฐานสามประการนี้ยิ่งใหญ่ เพราะจริงๆ แล้ว มันเป็นคำอธิษฐานในสิ่งที่ยากมากที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของข้าพเจ้า เนื่องจากในเวลานั้น ข้าพเจ้าเป็นเพียงแค่เจ้าหน้าที่ตัวเล็กๆ ในองค์กรหนึ่งที่แม้ว่าจะได้โอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตในเดือนกรกฎาคม ปี 2007 เดินทางไปร่วมสัมมนาหนึ่งในประเทศสาธารณรัฐเช็คฯ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ข้าพเจ้าจะได้เดินทางไปประเทศเยอรมนีด้วยในครั้งนั้น อย่างไรก็ตาม ด้วยความจับพลัดจับผลู ข้าพเจ้าก็ได้ต้องซื้อตั๋วเครื่องบินจากสายการบินออสเตรีย ปลายทางประเทศเยอรมนีก่อนที่จะได้วีซ่าประเทศเยอรมนี ซึ่งใครต่อใครก็กล่าวขานถึงความยากที่จะได้วีซ่าจากประเทศนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวที่เดินทางคนเดียวเป็นครั้งแรกสู่ประเทศเยอรมนี อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็ได้วีซ่านี้มาอย่างไม่ยากนักและได้เดินทางมาเหยียบประเทศเยอรมนีเป็นประเทศแรกในทวีปยุโรป ก่อนที่คนจากงานสัมมนาจะมารับข้าพเจ้าเพื่อเดินทางโดยรถยนต์ต่อไปยังเมืองปราก ประเทศสาธารณรัฐเช็คฯ ต่อไป โดยในงานสัมมนานี้มาร์คุสก็ได้เข้าร่วมด้วย และเราก็ได้เจอกันอีกครั้ง ข้าพเจ้ามีความรู้สึกทั้งดีใจ ตื่นเต้น และกลัว และดูเหมือนความกลัวจะมีมากกว่า ดังนั้น ในงานนี้ ข้าพเจ้าแทบจะไม่ได้คุยกับมาร์คุสเลย มารู้ภายหลังจากมาร์คุสว่า เขาก็เสียใจที่ทำไมข้าพเจ้าไม่คุยกับเขาเลย อย่างไรก็ดี เขาให้เกียรติข้าพเจ้ากว่าสิ่งอื่นใด และไม่ต้องการที่จะกดดันข้าพเจ้าแต่อย่างใด

หลังจากงานสัมมนา ข้าพเจ้าเดินทางกลับไปยังประเทศเยอรมนีกับเพื่อนๆ ชาวเยอรมัน เพื่อเดินทางไปยังเมืองสตุ๊ทการ์ทและเมืองอื่นๆ ในตอนกลางของประเทศต่อไป สำหรับมาร์คุส เขาก็เดินทางต่อไปยังประเทศอิตาลีกับครอบครัวของเขา และดูเหมือนว่าในครั้งนี้นอกจากเราจะยังไม่ได้คุยกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว เราก็คงจะไม่ได้เจอกันอีกนาน อย่างไรก็ตาม ด้วยความรักดลใจ J มาร์คุสบอกเช่นนั้น เขาก็ตัดสินใจเดินทางกลับจากอิตาลีกระทันหัน โดยแปลกมากที่ครอบครัวของเขาก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร พร้อมทั้งเดินทางกลับมาด้วย โดยเขาได้ส่งข้อความเข้าโทรศัพท์มือถือของเพื่อนชาวเยอรมันที่พาข้าพเจ้าไปเยี่ยมเยี่ยนที่ต่างๆ ว่า เขาจะมารับข้าพเจ้าและเพื่อนที่สถานีรถไฟสตุ๊ทการ์ทในวันสุดท้าย ก่อนที่ข้าพเจ้าจะบินกลับเมืองไทย ด้วยเหตุนี้ เราจึงได้พบกัน และการพบกันในครั้งนี้ ทำให้ข้าพเจ้ากล่าวขอโทษด้วยความเสียใจในสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทำไปกับมาร์คุส นั่นคือ การพยายามหนีความจริง รวมถึงการที่ทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจอย่างแรงกล้าว่า ข้าพเจ้าจะก้าวไปอีกหนึ่งก้าวในความสัมพันธ์กับเขา นั่นหมายถึง การที่ข้าพเจ้าอนุญาตให้เขาโทรศัพท์มาหาข้าพเจ้าได้สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง ทั้งนี้เพราะก่อนหน้านี้ เราเพียงแค่เขียนอีเมลล์สั้นบ้าง ยาวบ้างถึงกันทุกวัน โดยไม่เคยใช้โปรแกรมแชทเลย J

สรุปเป็นอันว่า พระเจ้าตอบคำอธิษฐานประการแรกของข้าพเจ้าอย่างอัศจรรย์

สำหรับคำอธิษฐานประการที่สองที่ว่า “หากมาร์คุสเป็นคนที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับชีวิตของข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้เดินทางไปเยอรมนีทุกปี และได้พบเขาทุกปี” นั้น ก็ยากและท้าทายมากกว่าคำอธิษฐานประการแรกเข้าไปอีก เพราะใครจะมีทั้งเวลา โอกาส และเงิน ที่จะได้เดินทางออกนอกประเทศทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไปเยือนประเทศในยุโรปอย่างเยอรมนี !!!

อย่างไรก็ดี หากสิ่งที่เราได้อธิษฐานเป็นความต้องการของพระเจ้าด้วยแล้ว ทำไมมันจะเกิดขึ้นไม่ได้ ทั้งนี้ในเดือนกรกฎาคม (อีกครั้ง) แต่เป็นปี 2008 หรืออีกหนึ่งปีต่อมา ข้าพเจ้าก็ได้รับทุนจากองค์กรทางการเมืองของประเทศเยอรมนีที่มีชื่อว่า องค์กร Friedrich Naumann Stiftung หรือ FNF ให้ไปเยือนและเข้าร่วมสัมมนาในเมืองที่ชื่อว่า Gummersbach ประเทศเยอรมนี โดยองค์กรนี้ได้จัดการออกค่าใช้จ่ายทุกอย่างให้แก่ข้าพเจ้า ไม่ว่าจะเป็นค่าตั๋วเครื่องบินจากสายการบินห้าดาว Lufthansa ทั้งไปและกลับ ค่าโรงแรม ค่าอาหาร พ๊อกเก็ตมันนี่ การได้รับคัดเลือกให้รับทุนในครั้งนี้ ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะข้าพเจ้าต้องทำการแข่งขันตอบคำถามและร่วมกิจกรรมในสัมมนาออนไลน์กับคู่แข่งที่มาจากประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย หลังจากสัมมนาที่ว่านี้สิ้นสุดลง ข้าพเจ้าก็ได้โอกาสไปเยี่ยมเยียนคริสตจักรที่มาร์คุสเป็นหนึ่งในทีมผู้นำที่เมืองสตุ๊ทการ์ทอีกเป็นเวลาสองสัปดาห์ ซึ่งพระเจ้าก็ตอบคำอธิษฐานประการที่สองของข้าพเจ้าอย่างครบถ้วน

สำหรับคำอธิษฐานประการที่สามที่ว่า “หากมาร์คุสเป็นคนที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับชีวิตของข้าพเจ้า ขอให้เขาได้เดินทางมาเมืองไทย โดยปราศจากการร้องขอจากข้าพเจ้า” นั้น มีความยากอยู่ที่ว่า มันอยู่เหนือการควบคุมของข้าพเจ้า ใจเขาใจเรา และข้าพเจ้าจะไม่มีทางขอร้องให้เขามาเมืองไทยเด็ดขาด รวมถึง ตามที่ข้าพเจ้ารู้จักนิสัยของสามีข้าพเจ้าเป็นอย่างดี มาร์คุสจะไม่ทำในสิ่งที่เขาไม่อยากทำหรือไม่ถูกดลใจจากพระเจ้าให้ทำอย่างเด็ดขาด ดังนั้น ในคำอธิษฐานข้อนี้ก็เป็นการวัดทั้งใจพระเจ้าและใจเขาว่ามีเพื่อเราหรือไม่

หลังจากที่ข้าพเจ้ากลับมาจากสัมมนาในประเทศเยอรมนีได้ประมาณหนึ่งเดือน มาร์คุสก็เขียนอีเมลล์มาบอกข้าพเจ้าว่า เขาจะเดินทางมาเมืองไทยในเดือนสิงหาคม ปี 2008 โดยวัตถุประสงค์หลัก คือ เขาต้องการเดินทางมาคุยกับผู้นำและครอบครัวของข้าพเจ้าเรื่องการแต่งงาน !!! เมื่อเขาเดินทางมาถึงประเทศไทยแล้ว เขาก็แสดงความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามหลักการและความถูกต้องทุกอย่างเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรา ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจมากเพราะเขาได้ใช้ความกล้าหาญอย่างมากในการทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ รวมถึงเขาได้แบ่งปันด้วยว่า เขาได้รับการดลใจว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในปี 2008 นี้เขาจะต้องมาเมืองไทยเพื่อมาดำเนินการอย่างถูกต้องเกี่ยวกับข้าพเจ้าให้ได้ ซึ่งเขาได้บอกว่า เขาก็ได้อธิษฐานกับพระเจ้าอย่างมากมายเกี่ยวกับข้าพเจ้าเช่นกัน และเขาก็ได้เห็นว่า พระเจ้าตอบคำอธิษฐานเขาทุกประการเกี่ยวกับข้าพเจ้า โดยหนึ่งในประสบการณ์เหล่านั้นคือ การที่เขาได้รับงานสอนเกี่ยวกับ Quality Management ให้กับบริษัทๆ หนึ่ง ซึ่งจริงๆ ศาสตราจารย์ของเขาควรจะได้รับงานนี้ แต่ปรากฎว่าท่านป่วย ดังนั้น ท่านจึงมอบหมายให้มาร์คุสไปสอนแทน และค่าตอบแทนจากการสอนในวิชานี้ภายในหนึ่งสัปดาห์ก็ทำให้มาร์คุสมีเงินเพียงพอที่จะเดินทางมาประเทศไทยในครั้งนี้ ครอบครัวของข้าพเจ้าประทับใจในอัธนาศัย ความจริงใจ และความกล้าหาญของมาร์คุสอย่างมาก โดยในท่ามกลางการทานอาหารร่วมกันภายในครอบครัวของข้าพเจ้ากับญาติผู้ใหญ่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง มาร์คุสก็กล่าวสู่ขอข้าพเจ้าเพื่อแต่งงานกับเขา รวมถึงให้สัญญากับครอบครัวข้าพเจ้าว่าจะดูแลข้าพเจ้าอย่างดีตลอดชีวิต …

หลังจากที่เราได้พบกันในเมืองไทยในครั้งนี้นั้น เราก็ได้เห็นการอัศจรรย์จากพระเจ้าอีกสองประการที่ทำให้เราได้ยิ้มและรู้ว่า พระเจ้ารับรองเราสองคนจริงๆ นั่นก็คือ วันเวลาที่มาร์คุสมาเมืองไทยในปี 2008 ตามบันทึกในหนังสือเดินทางของเขานั้น ตรงกับวันเวลาที่เขาเดินทางมาเมืองไทยเป็นครั้งแรกในปี 2006 อย่างมิได้วางแผนให้เป็นเช่นนั้น และการที่ข้าพเจ้าได้รับคำตอบจากศาสตราจารย์ที่ปรึกษาจากมหาวิทยาลัยสตุ๊ทการ์ท พร้อมจดหมายรับรองการเดินทางให้ไปสอบสัมภาษณ์ที่ประเทศเยอรมนีในเดือนตุลาคม ปี 2008 ฮาเลลูยา !!! :D

อย่างไรก็ดี อย่าเพิ่งคิดว่า การที่ได้ไปสอบสัมภาษณ์เพื่อเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาเอกของข้าพเจ้าในประเทศเยอรมนีคร้งนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือของมาร์คุส ทั้งนี้อาจเป็นเรื่องบังเอิญที่ดีของช่วงเวลาที่เกี่ยวข้องกันที่รู้ว่าเป็นการสนับสนุนที่มาจากพระเจ้า เพราะหากมาร์คุสจะช่วยได้ในเวลานั้น ก็ช่วยได้ในฐานะกำลังใจและบุรุษไปรษณีย์ที่ดีที่คอยนำเอกสารของข้าพเจ้าไปมอบให้กับศาสตราจารย์ของข้าพเจ้าเท่านั้น อีกทั้งนิสัยของคนเยอรมันนั้นชื่นชมระบบที่ตรงไปตรงมา ขนาดข้าพเจ้าอยากจะมอบของที่ระลึกจากเมืองไทยให้ศาสตราจารย์ที่ปรึกษาของข้าพเจ้าภายหลังจากที่เจอกันในครั้งแรก ท่านยังถามข้าพเจ้าเลยว่า มิสเสน่หา คุณอยากจะให้สินบนผมหรอ ศาสตราจารย์ถามข้าพเจ้าแบบทั้งกึ่งจริงและกึ่งเล่น และหากใครอ่านเรื่องราวความยากของการสอบเข้าในระดับปริญญาเอกของข้าพเจ้าแล้วก็คงทราบได้ดีถึงความหฤโหดของระบบการเรียนที่นี่เป็นอย่างดี :) สำหรับเรื่องการเงิน ครอบครัวอันเป็นที่รักของข้าพเจ้าก็สนับสนุนข้าพเจ้าในเรื่องการเรียนเสมอมา

ท้ายที่สุดนี้ ข้าพเจ้าอยากบอกว่า การเล่าให้ฟังแบบมีความจำกัดที่หน้ากระดาษแบบนี้ อาจทำให้ไม่เห็นสถานการณ์จริงที่เต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ ความสับสน รวมถึงความไม่เห็นด้วยของคนรอบข้าง อันก่อให้เกิดความทุกข์บ้างในบางครั้ง จนกระทั่งในบางครั้งนั้นที่มีความทุกข์อันเกิดจากความไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร

ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าก็เคยบอกมาร์คุสว่า หากความสัมพันธ์ของเรามันยากลำบากนัก และดูเหมือนจะเป็นไปได้ยาก อันเนื่องมาจากความไม่รู้ในอนาคตว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันไหม ก็ขอให้ความสัมพันธ์ของเราจบลงด้วยการเป็นเพื่อนกันต่อไปเถิด มาร์คุสก็ตอบข้าพเจ้าอย่างที่ทำให้ข้าพเจ้าจดจำมาจนถึงทุกวันนี้ว่า หากเขาจะต้องรอข้าพเจ้าอีก 7 ปี เขาก็จะรอ นั่นหมายความว่า ไม่ว่ากี่ปีเขาก็จะรอข้าพเจ้า นั่นเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าต้องร้องไห้ออกมาด้วยความซึ้งใจเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับทุกสิ่ง สำหรับการดูแลชีวิตของข้าพเจ้าเสมอมาอย่างสัตย์ซื่อ ตั้งแต่เล็กจนโต ดูเหมือนยากลำบากในบางครั้ง แต่ข้าพเจ้าไม่เคยขัดสนสิ่งใด พระองค์ทรงเลี้ยงดู ขอบคุณพระองค์สำหรับสามีที่รักที่พระองค์ประทานให้ เรามีพื้นฐานครอบครัวที่คล้ายกัน ความชอบที่คล้ายกัน ความต่างที่เกื้อหนุนกัน และสิ่งเหล่านี้ทำให้เรารักกันมากขึ้นทุกวัน ขอบคุณพระเจ้าที่เป็นศูนย์กลางในชีวิตของเราและลูกๆ ของเรา

“เราจะรักกันตลอดไปจนแก่เฒ่า และหากในวันที่เราได้ไปอยู่กับพระเจ้า และพระเจ้าอนุญาตให้ผมได้เลือกคนหนึ่งคนที่จะทำงานด้วยในสวรรค์ ผมจะเลือกคุณ และเราจะทำงานด้วยกัน” …

นี่เป็นคำกล่าวของมาร์คุสที่มีต่อข้าพเจ้าในครั้งที่เราไปเยี่ยมสุสานของคุณปู่คุณย่าของเขาด้วยกัน และข้าพเจ้าก็เห็นด้วยอย่างสุดใจ … :D



Create Date : 06 พฤษภาคม 2557
Last Update : 14 พฤษภาคม 2557 14:13:03 น.
Counter : 752 Pageviews.

2 comments
  
อ่านด้วยความซาบซึ้งและประทับใจมากค่ะ
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 6 พฤษภาคม 2557 เวลา:15:54:03 น.
  
อ่านไป น้ำตารื้นขอบตาไป ประทับใจเหลือเกินค่ะ
โดย: วีนัส IP: 192.99.14.36 วันที่: 13 พฤษภาคม 2557 เวลา:16:58:01 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

onceuponatime
Location :
  Germany

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



ชีวิตของผู้หญิงไทยในต่างแดนคนหนึ่ง ที่เป็นทั้งคุณแม่ลูกสามที่มีดีกรีด๊อกเตอร์จากประเทศเยอรมนี เปิดบันทึกเพื่อเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ผจญภัยที่แสนจะตื่นเต้นของเธอในต่างแดน ไม่ว่าจะเป็น การสอบเข้าและเรียนปริญญาเอกที่สุดหิน ความรักข้ามขอบฟ้าที่แสนโรแมนติก การสร้างครอบครัวที่อบอุ่น แถมพ่วงด้วยลูกเล็กอีกสามที่มีพรสวรรค์ด้านดนตรีอย่างเหลือเชื่อ พร้อมทั้งแบ่งปันเคล็ดลับและแรงดลบันดาลใจที่นำไปสู่ความสำเร็จแบบ
"นกอินทรีต้องบินสูง" ของเธอ
พฤษภาคม 2557

 
 
 
 
1
2
3
4
8
10
11
12
16
17
18
19
20
23
24
25
26
29
31
 
All Blog