อ่านประวัติพระโมคคัลลานะ (อัครสาวกฝ่ายซ้ายผู้เลิศด้วยฤทธิ์) กันบ้างน่ะครับ เดี๋ยวผมรวบรวมมาให้อ่าน
<<
มีนาคม 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
23 มีนาคม 2552

ปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์.

ไม่ได้ Post เรื่องราวของท่านพระโมคคัลลานะหลายวัน มาต่อกันเลยน่ะครับ

พระสูตร 2 พระสูตรต่อกันนี้ มีใจความสำคัญอยู่ 3 ประการ คือ

1.เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพระโมคคัลลานะ ซึ่งเป็นเนื้อหาหลักของ Blog ของผม

2.ว่าด้วยเรื่อง "ปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์"

3.ว่าด้วยเรื่อง " ข้อที่อรรถกับอรรถ พยัญชนะกับพยัญชนะ ของศาสดากับของสาวก ย่อมเทียบกันได้ เข้ากันได้ไม่ผิดเพี้ยนกันในบทที่สำคัญ"

ข้อ 3 นี้ค่อนข้างสำคัญครับ เนื่องด้วยว่า พระพุทธองค์ได้ปรินิพพาน แล้ว เหลือ พระธรรมและวินัย ที่ทรงบัญญัติแล้ว ทรงแสดงแล้ว ได้เป็นศาสดาสืบต่อมา ซึ่งมีพระสงฆ์ได้สืบศาสนาต่อมาเป็นลำดับ ๆ ซึ่งก็มีมากมายหลายสำนัก การพิจารณาว่าควรนับถือสำนักใด ควรถือหลักข้อ 3 นี้เป็นสำคัญไม่งั้นอาจจะไปหลงศรัทธา นับถือสำนักที่ไม่ตรงทาง ซึ่งเสียหายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ในการที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาในชาติหนึ่ง แล้วไปปฏิบัติผิดทิศผิดทาง ส่วนหลักในการพิจารณาความเข้ากันได้ของอรรถ และพยัญชนะนั้นเทียบเคียงได้ตามหลัก มหาปเทศ 4 ที่ตรัสไว้ใน มหาปรินิพพานสูตร และ หลักการตัดสินพระธรรมวินัย 8 ประการ คือ

ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อ

1. วิราคะ ความคลายกำหนัด, ไม่ติดพัน มิใช่เพื่อความกำหนัดย้อมใจ การเสริมให้ติด

2. วิสังโยค ความหมดเครื่องผูกรัด, ความไม่ประกอบทุกข์ มิใช่เพื่อผูกรัดหรือประกอบทุกข์

3. อปจยะ ความไม่พอกพูนกิเลส มิใช่เพื่อพอกพูนกิเลส

4. อัปปิจฉตา ความมักน้อย มิใช่เพื่อความมักมาก

5. สันตุฎฐี ความสันโดษ มิใช่เพื่อความไม่สันโดษ

6. ปวิเวก ความสงัด มิใช่เพื่อความคลุกคลีอยู่ในหมู่

7. วิริยารัมภะ การประกอบความเพียร มิใช่เพื่อความเกียจคร้าน

8. สุภรตา ความเป็นคนเลี้ยงง่าย มิใช่เพื่อความเลี้ยงยาก

ธรรมเหล่านี้พึงรู้ว่าเป็นธรรม เป็นวินัย เป็นสัตถุสาสน์ (คำสอนของพระศาสดา) ตรงข้ามจากนี้ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่สัตถุสาสน์


-------------------------------------

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ - หน้าที่ 306

๗. โมคคัลลานสูตร : ว่าด้วยวัจฉโคตรปริพาชกถามปัญหาพระโมคคัลลานะ

ครั้งนั้นแล วัจฉโคตรปริพาชกเข้าไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานะถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระมหาโมคคัลลานะ ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า ดูก่อนท่านโมคคัลลานะ โลกเที่ยงหรือ ท่านพระมหาโมคคัลลานะตอบว่า ดูก่อนวัจฉะ ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหา ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์

ว. ดูก่อนท่านโมคคัลลานะ โลกไม่เที่ยงหรือ.

ม. ดูก่อนวัจฉะ แม้ปัญหาข้อนี้ก็เป็นปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์.

ว. ดูก่อนท่านโมคคัลลานะ โลกมีที่สุดหรือ.

ม. ดูก่อนวัจฉะ ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์.

ว. ดูก่อนท่านโมคคัลลานะ โลกไม่มีที่สุดหรือ.

ม. ดูก่อนวัจฉะ แม้ปัญหาข้อนี้ก็เป็นปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์.

ว. ดูก่อนท่านโมคคัลลานะ ชีพก็อันนั้นหรือ.

ม. ดูก่อนวัจฉะ ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์.

ว. ดูก่อนโมคคัลลานะ ชีพเป็นอื่น สรีระก็เป็นอื่นหรือ.

ม. ดูก่อนวัจฉะ แม้ปัญหาข้อนี้ก็เป็นปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์.

ว. ดูก่อนโมคคัลลานะ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกหรือ.

ม. ดูก่อนวัจฉะ ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์.

ว. ดูก่อนโมคคัลลานะ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมไม่เกิดอีกหรือ.

ม. ดูก่อนวัจฉะ แม้ปัญหาข้อนี้ก็เป็นปัญหาที่พระผู้มีภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์.

ว. ดูก่อนโมคคัลลานะ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็มีย่อมไม่เกิดอีกก็มีหรือ.

ม. ดูก่อนวัจฉะ ปัญหาข้อนี้ก็เป็นปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์.

ว. ดูก่อนท่านโมคคัลลานะ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้หรือ.

ม. ดูก่อนวัจฉะ แม้ปัญหาข้อนี้ก็เป็นปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์.

ว. ดูก่อนท่านโมคคัลลานะ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่น เมื่อถูกถามอย่างนั้นแล้ว พยากรณ์อย่างนี้ว่า โลกเที่ยงบ้าง โลกไม่เที่ยงบ้าง โลกมีที่สุดบ้าง โลกไม่มีที่สุดบ้างชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้นบ้าง ชีพเป็นอย่างอื่น สรีระก็เป็นอย่างอื่นบ้าง สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกบ้าง สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมไม่เกิดอีกบ้าง สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มีบ้าง สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้บ้าง ดูก่อนท่านโมคคัลลานะ ก็อะไรเล่าเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้พระสมณโคดม เมื่อถูกถามอย่างนี้แล้ว ไม่ทรงพยากรณ์อย่างนั้นว่า โลกเที่ยงก็ดี โลกไม่เที่ยงก็ดี โลกมีที่สุดก็ดี โลกไม่มีที่สุดก็ดี ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้นก็ดีชีพเป็นอย่างอื่น สรีระก็เป็นอย่างอื่นก็ดี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อม เกิดอีกก็ดี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมไม่เกิดอีกก็ดี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มีก็ดี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี

ม. ดูก่อนวัจฉะ ก็เพราะพวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นย่อมตามเห็นจักษุว่า นั้นของเรา เราเป็นนั้น นั่นเป็นตัวตนของเรา ปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นย่อมตามเห็นหู . . . . จมูก . . . . ลิ้น . . . . กาย . . . . ใจว่านั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา. เพราะเหตุนั้น เมื่อพวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่น ถูกถามอย่างนั้นแล้ว จึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า โลกเที่ยงบ้าง ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ไม่เกิดอีกก็หามิได้บ้าง ดูก่อนวัจฉะ ส่วนพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมทรงพิจารณาเห็นจักษุว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ย่อมทรงพิจารณาเห็น หู . . . . จมูก. . . . ลิ้น . . . . กาย . . . . ใจว่านั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เพราะฉะนั้นเมื่อพระตถาคตถูกถามอย่างนั้นแล้ว จึงไม่ทรงพยากรณ์อย่างนี้ว่า โลกเที่ยงก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี.

ครั้งนั้นแล วัจฉโคตรปริพาชกลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ โลกเที่ยงหรือ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนวัจฉะ ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาที่เราไม่พยากรณ์ ฯลฯ.

ว. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้หรือ.

พ. ดูก่อนวัจฉะ แม้ปัญหาข้อนี้เราก็ไม่พยากรณ์.

ว. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรเหล่า เป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่น เมื่อถูกถามอย่างนั้นแล้ว ย่อมพยากรณ์อย่างนี้ว่าโลกเที่ยงบ้าง ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้บ้าง ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรเล่าเป็นเหตุเป็นปัจจัยได้พระโคดมผู้เจริญ เมื่อถูกทูลถามอย่างนั้นแล้ว จึงไม่ทรงพยากรณ์อย่างนี้ว่า โลกเที่ยงก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี.

พ. ดูก่อนวัจฉะ พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นย่อมตามเห็นจักษุว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นย่อมตามเห็น หู . . . . จมูก. . . . ลิ้น . . . . กาย . . . . ใจว่านั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา เพราะเหตุนั้น เมื่อพวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นถูกถามอย่างนั้นแล้ว จึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า โลกเที่ยงบ้าง ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้บ้าง ดูก่อนวัจฉะ ส่วนพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมทรงพิจารณาเห็นจักษุว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ย่อมทรงพิจารณาเป็น หู. . . .จมูก. . . .ลิ้น. . . .กาย. . . . ใจว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เพราะเหตุนั้น เมื่อตถาคตถูกถามอย่างนั้นแล้ว จึงไม่ทรงพยากรณ์อย่างนี้ว่า โลกเที่ยงก็ดี. ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี.

ว. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมี ในข้อที่อรรถกับอรรถ พยัญชนะกับพยัญชนะ ของศาสดากับของสาวก ย่อมเทียบกันได้เข้ากันได้ ไม่ผิดเพี้ยนกันในบทที่สำคัญ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญเมื่อกี้นี้ข้าพระองค์ได้เข้าไปหาสมณมหาโมคคัลลานะแล้ว ได้ถามความข้อนี้ แม้สมณมหาโมคคัลลานะก็ได้พยากรณ์ความข้อนี้ ด้วยบทเหล่านี้ด้วยพยัญชนะเหล่านี้ แก่ข้าพระองค์ ดุจพระโคดมผู้เจริญเหมือนกัน ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ไม่เคยมี ในข้อที่อรรถกับอรรถ พยัญชนะกับพยัญชนะ ของศาสดากับของสาวก ย่อมเทียบกันได้ เข้ากันได้ไม่ผิดเพี้ยนกันในบทที่สำคัญ.

จบ โมคคัลลานะสูตรที่ ๗


ครั้งนั้นแล วัจฉโคตรปริพาชกได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ โลกเที่ยงหรือ พระผู้มีพระภาคเจ้าตอบว่า ดูก่อนวัจฉะปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาที่เราไม่พยากรณ์ ฯลฯ.

ว. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้หรือ.

พ. ดูก่อนวัจฉะ แม้ปัญหาข้อนี้ก็เป็นปัญหาที่เราไม่พยากรณ์อีกเหมือนกัน.

ว. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรเล่า เป็นเหตุเป็นปัจจัย ได้พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่น เมื่อถูกถามอย่างนั้นแล้ว พยากรณ์อย่างนี้ว่า โลกเที่ยงบ้าง ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้บ้าง ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรเล่า เป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้พระโคดมผู้เจริญ เมื่อถูกทูลถามอย่างนั้นแล้ว ไม่ทรงพยากรณ์อย่างนี้โลกเที่ยงก็ดี ฯลฯ ส่วนเบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี.

พ. ดูก่อนวัจฉะ พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่น ย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตน ย่อมเห็นตนว่ามีรูป ย่อมเห็นรูปในตน หรือย่อมเห็นตนในรูป ฯลฯ ย่อมเห็นวิญญาณโดยความเป็นตน ย่อมเห็นตนว่ามีวิญญาณย่อมเห็นวิญญาณในตน หรือย่อมเห็นตนในวิญญาณ เพราฉะนั้นพวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่น เมื่อถูกถามอย่างนั้นแล้ว จึงพยากรณ์อย่างนี้ว่าโลกเที่ยงบ้าง ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้บ้าง ดูก่อนวัจฉะ ส่วนพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมไม่เห็นรูปโดยความเป็นตน ย่อมไม่เห็นตนว่ามีรูป ย่อมไม่เห็นรูปในตน หรือย่อมไม่เห็นตนในรูป ฯลฯ ย่อมไม่เห็นวิญญาณโดยความเป็นตน ย่อมไม่เห็นตนว่ามีวิญญาณ ย่อมไม่เห็นวิญญาณในตน หรือย่อมไม่เห็นตนใน วิญญาณ เพราะฉะนั้น เมื่อตถาคตถูกถามอย่างนั้นจึงไม่พยากรณ์อย่างนี้ว่าโลกเที่ยงก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี.

ครั้งนั้นแล วัจฉโคตรปริพาชกลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วได้เข้าไปหาที่ในพระมหาโมคคัลลานะถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านโมคคัลลานะ ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามพระมหาโมคคัลลานะว่า ดูก่อนท่านโมคคัลลานะ โลกเที่ยงหรือ ท่านพระมหาโมคคัลลานะตรัสว่า ดูก่อนวัจฉะปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาที่พระผู้มีพระเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ ฯลฯ.

ว. ดูก่อนท่านโมคคัลลานะ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้หรือ.

พ. ดูก่อนวัจฉะ แม้ปัญหาข้อนี้ก็เป็นปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์อีกเหมือนกัน.

ว. ดูก่อนท่านโมคคัลลานะ อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่น เมื่อถูกถามอย่างนั้น ย่อมพยากรณ์อย่างนี้ว่าโลกเที่ยงบ้าง ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้บ้าง ดูก่อนท่านโมคคัลลานะ เห็นอะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้พระสมณโคดม เมื่อถูกทูลถามอย่างนั้นแล้ว ย่อมไม่ทรงพยากรณ์อย่างนี้ว่า โลกเที่ยงก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี.

พ. ดูก่อนวัจฉะ พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตน ย่อมเห็นตนว่ามีรูป ย่อมเห็นรูปในตน หรือย่อมเห็นตนในรูป ฯลฯ ย่อมเห็นวิญญาณโดยความเป็นตน ย่อมเห็นตนว่ามีวิญญาณ ย่อมเห็นวิญญาณในตน หรือย่อมเห็นตนในวิญญาณ เพราะฉะนั้น พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่น เมื่อถูกถามอย่างนั้น จึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า โลกเที่ยงบ้าง ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้บ้าง ดูก่อนวัจฉะ ส่วนพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมไม่ทรงเห็นรูป โดยความเป็นตน ย่อมไม่ทรงเห็นตนว่ามีรูป ย่อมไม่ทรงเห็นรูปในตน หรือย่อมไม่ทรงเห็นตนในรูป ฯลฯ ย่อมไม่ทรงเห็นวิญญาณโดยความเป็นตน ย่อมไม่ทรงเห็นตนว่ามีวิญญาณ ย่อมไม่ทรงเห็นวิญญาณในตน หรือย่อมไม่ทรงเห็นตนในวิญญาณ เพราะฉะนั้น เมื่อพระตถาคตถูกทูลถามอย่างนั้น จึงไม่ทรงพยากรณ์อย่างนี้ว่า โลกเที่ยงก็ดีโลกไม่เที่ยงก็ดี โลกมีที่สุดก็ดี โลกไม่มีที่สุดก็ดี ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้นก็ดี ชีพเป็นอย่างอื่น สรีระก็เห็นอย่างอื่นก็ดี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็ดี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมไม่เกิดอีกก็ดี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มีก็ดี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี.

ว. ดูก่อนท่านโมคคัลลานะ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมี ในข้อที่อรรถกับอรรถ พยัญชนะกับพยัญชนะ ของศาสดากับของสาวก ย่อมเทียบกันได้ สมกันได้ ไม่ผิดเพี้ยนกันในบทที่สำคัญ ดูก่อนท่านโมคคัลลานะ. เมื่อกี้นี้ข้าพเจ้าได้เข้าไปเฝ้าพระสมณโคดม ได้ทูลถามเรื่องนี้ แม้พระสมณโคดมก็ได้ทรงพยากรณ์เรื่องนี้ ด้วยบทเหล่านี้ ด้วยพยัญชนะเหล่านี้แก่ข้าพเจ้า ดุจท่านโมคคัลลานะเหมือนกัน ดูก่อนท่านโมคคัลลานะน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมี ในข้อที่อรรถกับอรรถ พยัญชนะกับพยัญชนะของศาสดากับของสาวก ย่อมเทียบกันได้ สมกันได้ ไม่ผิดเพี้ยนกันในบทที่สำคัญ.

จบ วัจฉสูตรที่ ๗


Create Date : 23 มีนาคม 2552
Last Update : 23 มีนาคม 2552 20:47:10 น. 5 comments
Counter : 444 Pageviews.  

 
Thank you so much ka.


โดย: CrackyDong วันที่: 23 มีนาคม 2552 เวลา:20:11:31 น.  

 
อนุโมทนาค่ะ พระพุทธเจ้าทรงเตือนไว้แล้ว แต่ปัญหาเหล่านี้ก็ยังนำมาถกเถียงกันไม่รู้จบ


โดย: สุภวิโมกข์ วันที่: 24 มีนาคม 2552 เวลา:10:09:56 น.  

 
นั่นสิครับน้อ
----------------------
เจริญธรรมครับผม




โดย: xeramos IP: 119.31.89.62 วันที่: 24 มีนาคม 2552 เวลา:18:38:53 น.  

 
ท่านครับ ที่พระพุทธองค์ไม่ทรงพยากรณ์ไปนั้น
เพระรู้ว่า ถึงพระองค์ทรงพยากรณ์ไป ท่านวัจฉะก็ไม่เชื่ออยู่ดี

ในพระสูตรมีหลายที่ๆพระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ไว้ครับ

แวะมาอ่านครับ

ธรรมภูต


โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:17:49:05 น.  

 
อนุโมทนาค่ะ


โดย: นาฬิกาสีชมพู วันที่: 29 กันยายน 2552 เวลา:11:36:27 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สัก ณ ศรีสิขเรศวร
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สมัยเด็ก ๆ เคยสัญญากับตัวเองไว้ว่า จะรวบรวมประวัติท่านพระมหาโมคคัลลานะไว้เยอะ ๆ ด้วยความชอบในทางอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ นับว่า เทคโนโลยีปัจจุบัน ช่วยทำให้สัญญาที่ให้ไว้กับตัวเองสมัยเด็ก ๆ นั้นเป็นจริงขึ้นมาได้

ผมไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจธรรมะมากมายน่ะครับ ได้แต่พยามรวบรวมพระสูตร อรรถกถาต่าง ๆ ที่มีท่านพระโมคคัลานะเข้าไปเกี่ยวข้องทั้งหมดมาไว้ใน blog นี้ ให้ได้มากที่สุด หลาย ๆ พระสูตรก็เกินปัญญาที่จะให้เข้าใจได้แม้จะอ่านทวนซ้ำหลายรอบแล้วก็ตาม

ถ้าท่านผู้ใดที่ผ่านไปผ่านมา อ่านแล้วเกิดแง่คิด มุมมองใด ที่จะฃ่วยเสริมสร้างความเข้าใจในเรื่องราวนั้นขึ้นมาได้อีก โปรดอย่าลังเลที่จะเสนอและให้ความเห็นน่ะครับ ขอบพระคุณล่วงหน้าขอรับ

อีกอย่างถ้าช่วยแนะนำพระสูตร หรือเรื่องราวอื่น ๆ ที่ผมยังหาไม่เจอให้ด้วยจะขอบพระคุณเป็นอย่างสูงน้อครับน้อ
[Add สัก ณ ศรีสิขเรศวร's blog to your web]