ข้าน้อย "อึ้งย้ง" ขอน้อมคารวะทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
21 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 

ตะลุยเที่ยว (และกิัน) in Vietnam

กลับมาแล้วจ้า ที่หายหน้าไปนานก็ไม่ใช่ว่าเพราะขี้เกียจมาอัพบล็อคแต่ประการใดนะคะ แต่เป็นเพราะว่าอึ้งย้งติดภารกิจดูแลครอบครัวของด่าหลิงที่เพิ่งเดินทางมารวมตัวกันที่กทม.นี่แหละค่า ทั้งพ่อแม่ น้องสาว น้องชาย มากันครบองค์เลยอ่า แต่ก็เป็นการรวมตัวที่สนุกและมีความสุขมากนะคะ ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา แถมแต่ละคนก็อยู่ห่างกันคนละซีกโลก อึ้งย้งกับด่าหลิงอยู่กรุงเทพฯ พ่อแม่อยู่แคนาดา น้องสาวอยู่เจียงใหม่ น้องชายอยู่ซูดาน โอ้ววว...กว่าจะมาเจอกันได้นี่ก็ต้องแพลนกันล่วงหน้าหลายเดือนเลยละค่ะ

การ reunion ของเราในครั้งนี้ สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือการไปทริปร่วมกันค่ะ และครั้งนี้เราก็แบ่งออกเป็นสองภาค คือ ภาคในประเทศ กะภาคโกอินเตอร์ ในประเทศเราเลือกไปพักผ่อนที่อัมพวา และหัวหินค่ะ อันนี้คงไม่ต้องเอามาสาธยายกันในบล็อคเนาะเพราะหลายคนก็รู้กันดีว่ามีอะไรยังไงที่นั่น ส่วนภาคโกอินเตอร์พวกเราเลือกที่จะไปทัวร์ประเทศเวียดนามกันค่ะ

ทริปนี้เราใช้เวลาทั้งหมด 10 วัน โดยเราเลือกตะลุยเที่ยวทั้งหมด 5 จุดหมาย ซึ่งได้แก่ Ho Chi Minh City (Saigon), Hue, Hoi An (ผ่าน Da Nang), Halong Bay และ Hanoi ค่ะ โดยเส้นทางของเราจะเริ่มจากทางใต้สุดคือ โฮจิมินท์ และไล่ขึ้นไปจนถึงทางเหนือก็คือ ฮานอย ค่ะ ดูแผนที่ประกอบนะคะ จะได้นึกภาพออก



วันแรก พวกเราเดินทางไปถึงสนามบินโฮจิมินท์ประมาณสิบโมงกว่าๆ แต่กว่าจะออกมาจากสนามบินได้ก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยง เพราะต้องรอด่าหลิง น้องสาวและน้องชาย ทำ Visa on Arrival อะค่ะ นานมากกกก โชคดีที่พ่อแม่ของเค้าทำมาแล้วจากแคนาดา ส่วนอึ้งย้งก็สบายมาก แค่ยื่นพาสปอร์ตไทยก็ได้แสตมป์มา 30 วัน อยู่ได้นานกว่าคนที่ต้องขอวีซ่าอีกอะค่า จะมีก็ทริปนี้แหละที่ทำเราภูมิใจ เพราะส่วนใหญ่ต้องคอยวิ่งวุ่นไปขอวีซ่าตลอด เหนื่อยมั่กๆ

ออกมาจากสนามบินก็เจอกับคุณไกด์ที่คงรอเราอยู่นานแล้ว จนเมื่อยเลยต้องไปนั่งหลบมุมอยู่ เกือบจะคลาดกันแล้วเชียว เซย์ไฮกับคุณไกด์ปุ๊บ พวกเราก็กระโดดขึ้นรถตู้ออกทัวร์กันเลย เรามุ่งหน้าไปสู่เมือง Cu Chi เพื่อไปเยี่ยมชมอุโมงค์เวียดกงอันเลื่องลือตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนาม เป็นอุโมงค์เล็กๆ แคบๆ ที่ขุดด้วยมือกับเครื่องมือขุดขนาดย่อม แต่เชื่อมั้ยคะว่าอุโมงค์นั้นมีความยาวรวมถึงสองร้อยกว่ากิโลเมตรเชียวนะคะ ตอนไปเห็นสถานที่จริง พวกเราก็ต่างจินตนาการว่าชีวิตของพวกเวียดกงในช่วงเวลานั้นจะเป็นยังไงน๊อ กินอยู่หลัีบนอนอยู่ในอุโมงค์แคบๆ มืดๆ ต้องคอยหลบซ่อนทหารอเมริกัน คอยรับมือการโจมตี และซุ่มโจมตีข้าศึกในทุกรูปแบบ คิดๆ ไปแล้วก็ถือว่าพวกเรายังโชคดีมากนะคะที่ไม่ได้ไปเกิดอยู่ในยุคนั้นอะ เพราะนึกไม่ออกจริงๆ เลยว่าเราจะสามารถมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบากในวิถีแบบนั้นอย่างพวกเวียดกงได้หรือเปล่า นี่คือตัวอย่างนึงเลยค่ะ ที่ทำให้เราได้เห็นว่า ระบบคอมมิวนิสต์ มันทำอะไรกับชีวิตของมนุษย์ได้บ้าง


ทางเดินนำไปสู่อุโมงค์ Cu Chi



เชื่อมั้ยคะว่าตรงบริเวณที่เรายืนอยู่นั้น จะมีทางเข้าอุโมงค์ซ่อนอยู่



หลังจากที่คำตอบถูกเฉลย ทหารนำเที่ยวของเราก็เลยสาธิตวิธีการเข้าไปในอุโมงค์อย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ



เห็นแคบๆ อย่างนี้ คนตุ้ยนุ้ยอย่างด่าหลิงก็ยังสามารถลงไปได้เลยนะคะ เค้าให้ลองทุกคนเลย แต่อึ้งย้งขอบายง่ะ กัวค่ะ



เค้ามีปืนสงครามจริงๆ ให้ลองยิงด้วยนะคะ ของอย่างนี้มีเหรอที่ด่าหลิงจะพลาด ยิงไปทีนึงอุดหูแทบไม่ทัน เสียงมันดังสนั่นมากๆ ไม่อยากนึกเลยว่า ตอนที่เค้ารบกัน ยิงกันรัวๆ เสียงมันจะดังสนั่นหวั่นไหวขนาดไหน สงครามมันโหดร้ายน่ากลัวอย่างนี้นี่เอง



ก่อนจบทัวร์ เค้าให้เราลองเข้าไปอยู่ในอุโมงค์จริงๆ เลยด้วยค่ะ เราต้องก้มๆ กึ่งคลานอยู่แบบนี้ประมาณ 20 เมตรได้ แทบตายเลยค่ะ ข้างในร้อนมาก แคบ แล้วก็ไม่ค่อยมีอากาศหายใจ พวกเวียดกงอยู่กันได้ไงเนี่ย จากรูปจะเห็นเลยนะคะว่าอุโมงค์แคบมาก ไม่สามารถยืนได้อะค่ะ คุณไกด์เล่าว่า มีบางจุดนี่ถึงกับต้องคลานแบบตัวราบไปกับพื้นเลยนะคะ


เสร็จจากทัวร์อุโมงค์ที่ทำเอาจิตใจหดหู่อยู่พักใหญ่ พวกเราก็กลับเข้าเมือง แล้วก็เช็คอินโรงแรมค่ะ เวลาที่เหลือก็พักผ่อนตามอัธยาศัย กินข้าวเย็นกับเพื่อนที่พอดีไปประชุมงานที่โฮจิมินท์ แล้วก็ต้องรีบเข้านอนในคืนนั้น เพราะเช้าวันรุ่งขึ้น เราต้องไปสนามบินแต่เช้าตรู่ เพื่อเดินทางไป Hue ค่ะ

วันรุ่งขึ้น เมื่อไปถึงสนามบิน Hue ก็เจอกับคุณไกด์คนที่สองค่ะ กำหนดการก็ตามเดิมค่ะ คือไปตะลุยเที่ยวกันเลย เพราะยังเช้าเกินไป เช็คอินโรงแรมยังไม่ได้ ก็เลยไปหากาแฟเวียดนามจิบเพิ่มพลัง แล้วก็เริ่มทัวร์กันต่อเลย เสียดายที่วันนั้นฝกตกหนักโครมเลยค่ะ ถ่ายรูปลำบากมาก ต้องซื้อเสื้อกันฝนกะร่มเข้าไปเที่ยวในสุสานจักรพรรดิ อดได้รูปดีๆ เลย เสียดายมากอะ เพราะสถานที่สวยดี มีบางจุดที่สวยมากๆ ถ้าได้ถ่ายรูปตอนแสงดีคงเริ่ดดดดด

หลังจากเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ และแวะทานกลางวันเสร็จ เราก็เข้าเช็คอินโรงแรมเลยค่ะ จากนั้นก็พักผ่อน งีบหลับกันตามอัธยาศัย เนื่องจากวันนั้นแหกขี้ตาตื่นกันมาเลย พอช่วงเย็นๆ เราก็จะไปนั่งรถถีบชมรอบๆ เมืองกันค่ะ


ลงมาที่หน้าโรงแรมก็เจอสารถีสี่คนนี้มารออยู่พร้อมคุณไกด์แล้วค่ะ



ที่ Hue เต็มไปด้วยรถจักรยานกับมอเตอร์ไซค์ค่ะ แทบไม่ค่อยเห็นรถยนต์เลย



ชมบรรยากาศพระอาทิตย์ตกที่ริมแม่น้ำ Perfume แม่น้ำสายหลักของเมือง Hue


เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราก็ไปชมสถานที่ท่องเที่ยวกันต่อค่ะ เริ่มจากล่องเรืือในแม่น้ำ Perfume ชมทิวทัศน์สองฝั่ง และชีวิตชาวบ้าน จากนั้นก็ขึ้นฝั่งไปชมเจดีย์ Thien Mu แล้วก็ไปชมป้อมปราการหลวงค่ะ ภายในใหญ่โต กว้างขวางมากๆ ว่ากันว่าถอดแบบแปลนมาจากพระราชวังต้องห้ามในปักกิ่งเลยนะคะ เดินชมกันจนเมื่อยแ้ล้ว ตกบ่ายเราก็ไปเดินชมตลาด Dong Ba ซึ่งเป็นตลาดหลักของเมือง Hue ค่ะ


เจดีย์ Thien Mu



ป้อมปราการหลวง



ด้านในมีสระบัวขนาดใหญ่ ซึ่งมีปลาตัวโตๆ เต็มไปหมดเลยค่ะ



ผลไม้หน้าตาแปลกๆ ในตลาด Dong Ba



คนค้าขายในตลาด Dong Ba



เดินเล่นกันแถวๆ โรงแรมก็เจอสิ่งนี้อะค่ะ ลองซื้อมาชิมดู มันก็คือมันทอดนี่เอง แต่บ้านเค้าจะทำเป็นแผ่นๆ แบนๆ แล้วชุบแป้ง ส่วนบ้านเราจะทำเป็นแท่งๆ ป้อมๆ เหมือนเฟรนช์ฟรายซ์ ที่ขายตามร้านกล้วยแขกอะค่ะ ของเค้าก็กรอบๆ มันๆ ดีนะคะ แต่มันเทศบ้านเรารสชาติออกหอมหวานกว่าค่ะ



สาวๆ ชาว Hue เดินชมตลาดในชุดอาวยาย ลองนึกดูถ้าเป็นในบ้านเรา มาใส่ชุดไทยเดินตลาด คนก็คงมองว่าบ้าแระ แต่ที่นั่นถือเป็นเรื่องปกติ ดูน่ารัก แุถมยังน่าภูมิใจอีกด้วยค่ะ และถ้าเป็นเด็กนักเรียน ทุกวันจันทร์ก็จะต้องใส่ชุดอาวยายค่ะ มองไปทั้งเมืองจะเห็นเด็กๆ ขี่จักรยาน ใส่ฟอร์มนักเรียนแบบอาวยายเต็มไปหมด เป็นภาพที่น่าประทับใจดีค่ะ



ร้านขาย Ban Me ขนมปังสอดไส้สไตล์เวียดนาม


จากเมือง Hue เราก็นั่งรถตู้ไปสู่เมือง Da Nang เพื่อไปที่เมือง Hoi An ค่ะ การเดินทางใช้เวลาประมาณ 3 ชม. นั่งเมื่อยใช้ได้ แต่วิวสองข้างทางสวยดีค่ะ ทำให้การเดินทางไม่น่าเบื่อ แถมเรายังแวะเที่ยว Mountain of Marble และ China Beach ในเมือง Da Nang ด้วย


เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของวัดในเวียดนาม ก็คือ การใช้ถ้วยชามเซรามิกมาประดับตกแต่งค่ะ



บางทีก็มีการนำเศษกระเบื้องเซรามิกต่างๆ มาต่อให้เกิดเป็นรูปร่าง เช่น ตัวอักษร ดูสวยเป็นเิอกลักษณ์ดีจัง



เช้าวันแรกในเมืองฮอยอัน พวกเราก็ออกไปหาเฝอกินกันเลยค่ะ ไ่ม่สนอาหารเช้าโรงแรมมันแล้ว


โซ้ยเฝอชามโตจนอิ่มหนำแล้ว พวกเราก็ไปเดินชมเมืองเก่าในฮอยอันกันค่ะ ตึกรามบ้านช่องยังคงรูปแบบสไตล์เก่าๆ เอาไว้ ดูคลาสสิคเหมือนในภาพวาดเลย เสียอย่างเดียว ฝรั่งเยอะมาก เห็นแล้วรำคาญตาอ่ะ นักท่องเที่ยวเอเชียก็แทบไม่มีให้เห็นเลยค่ะ แปลกมาก จะถ่ายรูปทีเจอหัวทองๆ ติดมาแล้วเซ็งเรยยย


ไม่เจอนักท่องเที่ยวคนไทยเลย แต่ได้เจอป้ายบริจาคธูปที่คนไทยไปทำบุญเอาไว้ที่วัดนี้ค่ะ



ถนนหนทางในเมืองฮอยอัน มองลงมาจากระเบียงบ้านเก่า



ป้ายจราจรยังเก่าอนุรักษ์เลยค่ะ



อาหารประจำเมืองฮอยอัน ก็คือ Pancake หรือที่เรารู้จักกันในนามข้าวเกรียบญวนนี่แหละค่ะ แต่ข้าวเกรียบญวนแต่ละเมืองก็จะมีสูตรไม่เหมือนกันนะคะ ที่ฮอยอันก็จะมีสูตรเฉพาะของเค้่า ซึ่งอึ้งย้งก็ชอบมากกกก ที่ร้าน เวลาเค้าทำขายก็จะมีกระทะเรียงรายอยู่เป็นสิบๆ เลยค่ะ เพราะถ้าทำทีละอันคงไม่ทันขายอะ



ทำเสร็จแล้วออกมาหน้าตาก็เป็นแบบนี้แหละค่า



ปอเปี๊ยะทอดสูตรของฮอยอัน ก็อร่อยไม่แพ้ใครนะคะ



ภาพที่คุณจะพลาดไม่ได้เลยในเวียดนามก็คือ ตึกเก่า คนขี่จักรยาน และหมวกทรงเอกลักษณ์แบบนี้


ชมเมืองจนรอบแล้ว ตกบ่ายพวกเรามีนัดเรียนทำอาหารที่ร้าน The Red Bridge ค่ะ ก่อนไปเรียน เค้าก็จะพาเราไปเดินตลาด แนะนำพวกพืชผัก ผลไม้ต่างๆ และสรรพคุณของมัน ซึ่งพวกเราส่วนใหญ่ก็รู้จักกันพอสมควรอยู่แล้วค่ะ (session นี้น่าจะเหมาะกับนักเรียนตาน้ำข้าว มากกว่าตี๋หมวยอย่างพวกเราเนาะ)


เมนูเด็ดวันนี้ ได้แก่ มะเขือยาวอบหม้อดินสไตล์เวียดนาม



ต่อด้วย ปอเปี๊ยะสดเวียดนาม



ตบท้ายด้วยการแกะสลักผัก สำหรับตกแต่งจาน


เช้าวันต่อมา เนื่องจากว่าตื่นสาย เลยอดไปโซ้ยเฝออะค่ะ เลยต้องไปง้ออาหารเช้าโรงแรมแทน เสร็จแล้วเราก็ไปชม Cua Dai Beach ซึ่งห่างจากที่พักของเราไปไม่ไกลค่ะ วันนี้ทั้งวันเป็นวันฟรีของพวกเรา คือ ไม่มีคุณไกด์พาเที่ยวค่ะ พวกเราเลยพักผ่อนกันในเมืองตามอัธยาศัย


วิวจากชั้นดาดฟ้าของโรงแรม



Cua Dai Beach ในฮอยอัน หาดกว้าง สงบใช้ได้ คนไม่พลุกพล่าน



นั่งชิวๆ ริมหาด



วิวจากระเบียงร้าน Cargo เห็นหลังคาตึกเก่าซ้อนกันไปมา



ที่นี่มีเค้กเริ่ดๆ ให้ทานด้วยนะคะ อย่าลืมว่าประเทศเวียดนามนั้นเป็น French Colonial ดังนั้นฝีมือการทำเบเกอร์รี่ของเค้าก็คงได้รับอิทธิพลมามิใช้น้อย รสชาติก็ดีไม่แพ้ใครเลยทีเดียวค่ะ



อีกอย่างนึงที่เห็นเยอะมากในฮอยอัน ก็คือ ร้านตัดรองเท้าค่ะ แต่ละร้านจะออกแบบกันเอง ซ้ำกันบ้าง แตกต่างกันไปบ้าง และใช้เวลา่ตัดเพียงวันเดียวเท่านั้น ราคาก็ไม่แพงเลยค่ะสำหรับรองเท้าตัด แต่ก็อย่าเอานิยามอะไรกะคุณภาพมากเลยนะคะ ของถูกและเร็ว แต่ถ้าเอาไว้ใส่เล่นๆ ก็พอไหวค่ะ



ถ้าใครได้ไปฮอยอัน อึ้งย้งขอแนะนำให้ไปช้อปปิ้งที่ร้าน Reaching Out นี้นะคะ เพราะเค้าทำขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือรายได้ให้คนพิการที่นั่นค่ะ ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นจะทำขึ้นโดยฝีมือของคนพิการ ซึ่งราคาอาจจะสูงกว่าปกติสักเล็กน้อย แต่คุณภาำพก็ดีใช้ได้เลย แถมยังได้ช่วยเหลือคนพิการทางอ้อมด้วย ก็น่าสนับสนุนนะคะ


จากฮอยอัน เราก็บินตรงจากสนามบิน Da Nang ขึ้นไปที่ Hanoi ในเช้าวันต่อมาค่ะ เราเจอกับคุณไกด์คนที่สาม ที่พาเราแวะชมพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเชื้อชาติดั้งเดิมในเวียดนาม (The Vietnam Museum of Ethnology) แล้วก็เดินชมเมืองกันนิดหน่อย ก่อนที่จะเตรียมตัวไปล่องเรือใน Halong Bay ในวันรุ่งขึ้นค่ะ


บ้านทรงหลังคาสูงของเผ่าหนึ่งในเวียดนาม (จำชื่อไม่ได้แล้ว) ตัวบ้านก็ยกพื้นสูงมากอยู่แล้ว แถมหลังคายังสูงปริ๊ดดด เค้าบอกว่าทำเพื่อแสดงอำนาจของผู้ชายค่ะ เพราะพวกผู้ชายจะเป็นคนสร้างบ้านนี้ไว้สำหรับใช้เป็น Communal house ประจำหมู่บ้าน หมู่บ้านไหนสร้างหลังคาิยิ่งสูงก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของผู้ชายในหมู่บ้านนั้นๆ ค่ะ แปลกดีเนาะ



แฟลตในฮานอย ดูแออัด เหมือนกับชุมชนในเมืองใหญ่ทั่วๆ ไป



ส่วนของกระเบื้องหลังคาใน Temple of Literature



เช้าวันรุ่งขึ้น เราก็รีบแหกขี้ตาตื่นเพื่อไปโซ้ยเฝอกันก่อนออกเดินทางไปฮาลอง เบย์ค่ะ คุณไกด์บอกว่าเฝอที่ฮานอยคือต้นตำรับเลยนะ พวกเราจึงไม่พลาดอย่างเด็ดขาด อย่างนึงที่เราเห็นความแตกต่างก็คือ ที่นี่จะทานปาท่องโก๋กับเฝอค่ะ อาหย่อยยยย



บริเวณ Halong Bay ก็มีชุมชนเล็กๆ อาศัยอยู่กลางทะเลอย่างประปรายค่ะ



วิวมุมสูงมองแล้วดูสวยกว่าตอนล่องชมวิวอยู่บนเรือซะอีกค่ะ



ที่นี่มีถ้ำใหญ่มากๆ อยู่ถ้ำหนึ่งซึ่งนักท่องเที่ยวทุกคนต้องแวะ ใหญ่มากๆ จริงๆ ค่ะ ไม่เคยเที่ยวถ้ำไหนที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย



กิจกรรมอย่างหนึ่งที่นักท่องเที่ยวชอบทำกันที่นี่ ก็คือ การพายเรือคายัคค่ะ


กลับจาก Halong Bay พวกเราก็เหลือเพียงคืนสุดท้ายที่ Hanoi เท่านั้นค่ะ โชคดีที่ไฟลท์ขากลับเราค่อนข้างดึก ทำให้มีเวลาเต็มๆ อีกหนึ่งวันในการเที่ยวชมเมืองก่อนกลับ


ร้าน Bun ซึ่งเป็นก๋วยเตี๋ยวพื้นเมืองที่ขึ้นชื่ออีกชนิดนึงค่ะ เส้นของเค้าก็คือขนมจีนของเรานี่เอง กินแล้วทำให้นึกถึงพวกขนมจีนน้ำเงี้ยวบ้านเราอะค่ะ แต่ของเค้ารสชาติจะไม่ัจัดจ้าน เข้มข้นเท่าของบ้านเรา แต่ออกแนวกลมกล่อมมากกว่าค่ะ



นี่คือ มื้อเช้า มือสุดท้ายของอึ้งย้ง ในเวียดนามค่ะ คิดถึงจัง



แผงขายหนังสือที่นั่นดูเก๋ไก๋มาก เรียงติดกันบนกำแพงเลย



อย่างนึงที่จะเห็นกันแทบทุกที่ในฮานอยเลย ก็คือ กำแพงที่เต็มไปด้วยเบอร์โทรศัพท์ค่ะ คุณไกด์บอกว่าเป็นพวกโฆษณาเบอร์สำหรับบริการต่างๆ เช่น ช่างซ่อม อะไรพวกนี้แหละค่ะ



อาหารกลางวันมื้อสุดท้าย (และสุดอร่อย) ในฮานอยค่ะ เรียกว่า Bun Cha ขอบอกว่าร้านนี้อร่อย และดังมากๆ ถ้าไปตอนเที่ยงนี่แทบหาโต๊ะนั่งไม่ได้เลยนะคะ



Bun Cha ก็คือ ขนมจีนเวียดนาม นั่นเองค่ะ แต่ถ้าในบ้านเราเค้ามักจะขายแบบผสมนั่นนิด นี่หน่อย รวมมาให้ในชามหมดแล้ว แต่ที่นั่น เค้าจะเสริฟแบบแยกมานะคะ ทั้งเส้น ผัก เนื้อ ปอเปี๊ยะ ซอส แยกกันหมดเลย ให้เราเอาไปผสมกันเองตามใจชอบค่ะ



ก่อนไปสนามบิน เราก็แวะทานกาแฟส่งท้ายที่ร้าน Paris Deli ค่ะ แล้วก็ซื้อครัวซองค์อร่อยๆ หิ้วกลับมากรุงเทพฯ ด้วย หุ หุ ถือเป็นการจบทริปเวียดนามอย่างสวยงาม และอิ่มอร่อย หอมหวานค่ะ ฮ่าๆๆ


จบแล้วค่า ทริปอันแสนเหน็ดเหนื่อยและเอร็ดอร่อยของพวกเรา แม้จะมีขลุกขลักบ้าง เนื่องจากด่าหลิงและน้องสาวได้รับอุบัติเหตุนิดหน่อยที่ Halong Bay ค่ะ ได้แผลกลับมาเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วพวกเราก็สนุก และรู้จักประเทศเวียดนามมากขึ้นเป็นกองเลยค่ะ

ขอบคุณทุกท่านที่อดทนอ่านบล็อคยาวๆ อีกบล็อคของอึ้งย้งนี้นะคะ บล็อคหน้าก็อย่าลืมติดตามทริปบังคลาเทศนะคะ แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้นๆ แต่ก็สนุก และประทับใจไม่แพ้กันค่ะ แล้วเจอกันบล็อคหน้าค่า.....




 

Create Date : 21 ตุลาคม 2551
5 comments
Last Update : 22 ตุลาคม 2551 19:27:56 น.
Counter : 2068 Pageviews.

 

ทริปนี้ค่าเสียหายเท่าไหร่คะ

 

โดย: kapaos 23 ตุลาคม 2551 1:35:01 น.  

 

น่าสนุกจังคะไปเป็นครอบครัว
ยากเที่ยวบ้างคะ
งบประมานเท่าไหร่คะ
กะว่าจะพาครอบครัวไปบ้างอะคะ

 

โดย: mazzo (MaZZO ) 24 ตุลาคม 2551 22:11:15 น.  

 

เรื่องค่าแพ็คเกจทัวร์นี่จริงๆ แล้วมีหลายระดับมากเลยอะค่ะ ขึ้นอยู่กับเวลา สถานที่ที่ไป และระดับของโรงแรมเป็นหลักนะคะ นอกนั้นก็จะมีค่ารถ ค่าไกด์ ค่าเครื่องบินในประเทศ (ถ้าใช้วิธีบินไป) ราคาโดยเฉลี่ยบอกยากมากค่ะ

ส่วนกรณีครอบครัวอึ้งย้ง พอดีเรามีเพื่อนเป็นเจ้าของบริษัททัวร์ในเมืองไทยอะค่ะ เค้าก็มีบริษัทพันธมิตรในเวียดนาม ก็เลยจัดทัวร์ให้เรา เป็น private เลยนะคะ เฉพาะกรุ๊ปเราเท่านั้น มีไกด์ คนขับรถให้ รถที่ใช้ก็เป็นรถตู้ติดแอร์ ค่อนข้้างใหม่ ดีเลยล่ะค่ะ ราคานี่ต่อคนอึ้งย้งจำไม่ได้จริงๆ (เพราะไม่ได้ออกตังค์เอง หุ หุ) แต่เอาคร่าวๆ นะคะ ของอึ้งย้งไป 10 วัน เฉพาะค่าทัวร์รวมทุกอย่างแล้วน่าจะตกเป็นเงินไทยประมาณคนละสี่หมื่นกว่าบาทนะคะ ไม่รวมค่าตั๋วไปกลับกทม.นะคะ แต่รวมทุกอย่างแล้วทั้งที่พัก ค่ารถ ค่าไกด์ ค่าเข้าสถานที่เที่ยวต่างๆ ค่าตั๋วในประเทศ ประมาณนี้อะค่ะ อึ้งย้งว่าของอึ้งย้งก็ค่อนข้างแพงนะคะ ของบริษัทอื่นอาจจะถูกกว่านี้ก็ได้ค่ะ

ถ้าใครสนใจลองหาข้อมูลเปรียบเทียบดูนะคะ บริษัททัวร์ที่เวียดนามที่อึ้งย้งใช้ชื่อ ICS อะค่ะ ไม่แน่ใจว่าเค้ามีเว็บไซต์รึเปล่า บริการโดยรวมก็โอเค ส่วนไกด์นี่แล้วแต่คนมากกว่าค่ะว่าจะเจอใคร ไกด์ที่ฮานอยของอึ้งย้งเก่งมากๆ ค่ะ ทั้งความรู้รอบตัว ความรู้เรื่องประเทศโดยรวม และภาษาอังกฤษก็ดีเลย ถามเรื่องไรตอบได้หมด ไม่ใช่แต่เฉพาะเรื่องในสถานที่ท่องเที่ยวนะคะ เราค่อนข้างประทับใจไกด์คนนี้มากค่ะ

 

โดย: ประมุขคนล่าสุดแห่งพรรคกระยาจก 27 ตุลาคม 2551 12:49:49 น.  

 

อยากไปม่างอ่ะ แกจัดทริปอีกดิ เดี๋ยวชั้นขอแจม ฮี่

 

โดย: ~ J a N Z a ~ 28 ตุลาคม 2551 12:41:09 น.  

 

กำลังจะไปอินเดีย ปลายปีนี้ ไปลุยเจาะราชาสถานอย่างเดียวอะ สนป่ะ อิอิ

 

โดย: อึ้งย้ง (ประมุขคนล่าสุดแห่งพรรคกระยาจก ) 3 พฤศจิกายน 2551 15:33:21 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


ประมุขคนล่าสุดแห่งพรรคกระยาจก
Location :
New York United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Better use your wits or you'll lose your mind. There's a world to discover and you're running out of time. Life's a roller coaster ride that took you by surprise. Now you're burnin' up inside. Better make it better...Time's running out fast. Make it last!
Friends' blogs
[Add ประมุขคนล่าสุดแห่งพรรคกระยาจก's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.