|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
จันทร์จิรา เอกอารีจิตต์ เธอผู้ไม่แพ้
จันทร์จิรา เอกอารีจิตต์
ผู้หญิงที่ใช้ความสามารถลดข้อจำกัดทางด้านร่างกายของเธอให้หมดไป จนได้รับ การยอมรับให้เป็นคนพิการคนเดียวที่ทำงานในหน้าที่ผู้เรียบเรียงข่าวต่างประเทศองค์การ สื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย สำนักข่าวไทย
จันทร์จิรา เอกอารีจิตต์ เป็นคนกรุงเทพโดยกำเนิดเธอป่วยเป็นโรคโปลิโอเมื่ออายุ ได้ 3 ขวบ จันทร์จิราเล่าว่าคุณแม่พาไปรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช อาการของเธอเหมือน คนเป็นไข้หวัด และหมอวินิจฉัยว่าเป็นไข้หวัดและฉีดยาให้ แต่เนื่องจากอาการเกิดจาก ไวรัสคนละตัวกับเชื้อหวัด กว่าจะทราบว่าอาการเนื่องมาจากสาเหตุใดก็ผ่านไปครึ่งวัน และมีอาการขาลีบเล็กลงแล้ว ตอนนั้นโรคโปลิโอกำลังระบาดและวัคซีนป้องกันโปลิโอ ยังไม่แพร่หลาย การรักษาในสมัยนั้นทำได้แค่กายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลศิริราชเป็น เวลา 2 ปี หลังจากนั้นเธอเข้าเรียนที่โรงเรียนศรีสังวาลย์ โดยใช้เบรสและเดินด้วยไม้ค้ำยัน 2 ข้างมาตั้งแต่เด็ก จันทร์จิราบอกว่าไม่รู้สึกอะไรกับข้อจำกัดทางร่างกายนี้ เพราะเป็น ความเคยชินมาตั้งแต่เด็กกับการต้องใช้ไม้เท้าและการต้องช่วยเหลือตนเองมาโดยตลอด ที่โรงเรียนศรีสังวาลย์ครูจะปฏิบัติต่อนักเรียนเหมือนเด็กปกติ ทำให้นักเรียนในโรงเรียน ไม่รู้สึกอะไรกับข้อจำกัดเหล่านี้
จันทร์จิราเรียนจบระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ที่โรงเรียนศรีสังวาลย์และสอบได้ที่ 1-2 มาตลอด และเริ่มต้นเรียนกับเด็กปกติในสายอาชีวศึกษา ได้พบเพื่อนที่ดี ครูดี เพียงแต่ลำบากในเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวก เพราะจะไม่มีสิ่ง อำนวยความสะดวกเหมือนโรงเรียนเดิม ความยากลำบากของจันทร์จิราคือต้องเข้าห้องน้ำ มาจากบ้าน และคอยจนกว่าจะกลับบ้านจึงได้เข้าห้องน้ำ เนื่องจากในสมัยนั้นเรียนเพียง ครึ่งวัน จันทร์จิราจึงทำเช่นนั้นได้ จันทร์จิราบอกว่าตัดสินใจเลือกเรียนสายอาชีพตามใจ พ่อแม่ โดยเลือกเรียนโรงเรียนพาณิชยการแห่งหนึ่งแถวฝั่งธนบุรี และสอบได้ที่ 1 เช่นเคย เธอใช้เวลาเรียนแค่ 2 ปี ก็สอบเข้าเรียนต่อในคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
จันทร์จิราบอกว่าเป็นคนที่ชอบเรียนภาษาอังกฤษมาก และเลือกคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วย แต่เลือกเป็นลำดับรองจากคณะเศรษฐศาสตร์เนื่องจากสมัย นั้นไม่มีการแนะแนวเหมือนในปัจจุบัน จันทร์จิราบอกว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์สอน ให้มีความคิดที่เป็นตัวของตัวเอง ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น ธรรมศาสตร์สอนให้ช่วยเหลือ ตนเองและให้กลับมามองสังคม เธอเปรียบเทียบก้าวหนึ่งของเพื่อนๆ เดินได้ 1 เมตร แต่ 1 เมตรของเธอจะต้องเดินถึง 4-5 ก้าว ความพยายามในการเรียนของเธอจึงต้องมีมากเป็น ทวีคูณ เธอเดินทางไปเรียนหนังสือด้วยรถประจำทาง เธอเล่าด้วยความภาคภูมิใจถึง ความรู้สึกว่า เธอได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าและไม่เป็นภาระของทางบ้าน แม้จะอยู่คณะ เศรษฐศาสตร์แต่เธอเลือกเรียนภาษาอังกฤษเกือบเท่าวิชาเอก และเลือกทำงานทางด้าน ภาษาเพราะเป็นคนที่ชอบภาษาอังกฤษเป็นทุนเดิม
เธอเคยวางแผนในชีวิตว่าเธอจะทำงานแปลเป็นอาชีพ เธอเริ่มต้นด้วยการทำงานที่บริษัทเล็กๆมีหน้าที่ติดต่อด้านการค้าขายระหว่างประเทศ ได้ประสบการณ์การทำงานร่วมกับคนปกติและสังคมที่ค่อนข้างโอบอ้อม ผู้บังคับบัญชาที่มีทัศนคติที่เปิดกว้างกับคนพิการ ทำให้เธอมีความสุขกับการทำงาน และไม่ค่อยมีอุปสรรคในการทำงาน หลังจากนั้นเธอมาหาประสบการณ์ใหม่ที่หนังสือพิมพ์วัฏจักรฝ่ายแปลข่าวต่างประเทศ ในส่วนข่าวเศรษฐกิจ ทักษะในการทำงานของเธอเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นทักษะเฉพาะของการแปลข่าวและที่ทำงานแห่งนี้ เริ่มมีการใช้ความพร้อมทางร่างกายมากีดกันความสามารถเธอต้องใช้ความอดทนในระดับที่สูงมาก และอยู่ที่หนังสือพิมพ์วัฏจักรได้ประมาณ 3 ปี เธอเริ่มรู้สึกว่าอายุมากขึ้น เริ่มเรียนรู้ว่างานที่ทำอยู่ขณะนั้นไม่ค่อยจะมั่นคงเท่าไร จึงคิดที่จะทำงานราชการหรือรัฐวิสาหกิจ และตัดสินใจไปสมัครสอบที่สำนักข่าวไทยในสายข่าวเศรษฐกิจ
เธอทราบดีว่าอสมท.เป็นหน่วยงานที่ใหญ่มาก แต่ด้วยสัญชาตญานของการต่อสู้มาโดยตลอด จันทร์จิราสอบผ่านข้อเขียนแต่ไม่ผ่านการสัมภาษณ์ เหตุผลเพราะ อสมท.ไม่เคยรับคนพิการ เข้าทำงาน ความรู้สึกขณะนั้นว่าจะทำอย่างไรดีอุตส่าห์สอบผ่านข้อเขียนแล้ว แต่ อสมท.ไม่ เรียกตัวเข้าทำงานสักที จึงตัดสินใจโทรศัพท์ถามฝ่ายบุคคลว่า อสมท.มีนโยบายเปิดกว้างรับ คนพิการเข้าทำงานหรือไม่ ฝ่ายการพนักงานให้คำตอบไม่ได้ พอดีหัวหน้าฝ่ายข่าวต่างประเทศ ในขณะนั้น (คุณวีรวรรณ วรรุตม์) ได้ทราบข่าวนี้ และอยากให้โอกาสกับคนพิการจึงเรียกเธอ กลับมาสัมภาษณ์อีกครั้ง และได้ทำงานในที่สุดด้วยเหตุผลว่า อสมท.ใช้สมองกับมือของเธอ เธอมาทราบภายหลังว่า การได้เข้าทำงานครั้งนี้มีหัวหน้าฝ่ายข่าวท่านนี้รับประกันให้เธอและ เธอยังจำบุญคุณในครั้งนั้นได้เสมอ
จันทร์จิราต้องทดลองงานอยู่ 1 ปี จึงได้เป็นพนักงานประจำ 10ปีที่ผ่านมาประสบการณ์ ที่สั่งสมมาในด้านการแปลข่าวจาก อสมท. บวกกับ ในปี 2540 ได้ทุนของอาเซียนที่ได้รับการ สนับสนุนโดยรัฐบาลสิงคโปร์ให้ไปเรียนต่อที่ประเทศสิงคโปร์ ด้านการวิเคราะห์สถานการณ์ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้เธอได้รับความไว้วางใจให้ทำงานในแผนกข่าวออนไลน์ หลังกลับจากเรียนที่สิงคโปร์ อสมท. เริ่มนำระบบออนไลน์มาใช้ มีแผนกข่าวออนไลน์เพิ่ม ขึ้นอีกหนึ่งแผนก อสมท.มั่นใจในการทำงานของเธอ จึงให้ใช้ที่พักส่วนตัวทำเป็นสำนักงาน ไปในตัวโดยใช้คอมพิวเตอร์ต่อโมเดมเชื่อมกับระบบใหญ่ของ อสมท. ซึ่งสามารถทำงานที่ไหน ก็ได้
การแปลข่าวไทยเป็นข่าวภาษาอังกฤษเป็นงานที่ยากแต่เธอสามารถทำได้อยู่ในเกณฑ์ที่ น่าพอใจ จันทร์จิราจะเป็นผู้ดึงข่าวจากที่ผู้สื่อข่าวแผนกต่างๆ ส่งเข้ามาทางระบบออนไลน์ นำมาแปลและเรียบเรียงเป็นภาษาอังกฤษ ส่งขึ้นเว็บไซด์ของ อสมท. ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ และส่งข่าวไปต่างประเทศตามข้อตกลงแลกเปลี่ยนข่าวระหว่างสำนักข่าวของรัฐบาลในกลุ่มอาเซี่ยน และรัฐบาลในกลุ่มเชียและแปซิฟิก เนื่องจากเป็นคนที่รับผิดชอบต่อตัวเอง ต่องานที่ได้รับมอบหมายทำให้เธอได้รับความไว้วางใจมาจนถึงปัจจุบัน
ความใฝ่ฝันของจันทร์จิราคือ ตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดีขึ้น เนื่องจากความรับผิดชอบของเธออยู่ใน เกณฑ์ที่ใช้ได้แล้ว แต่คนปกติรับไม่ได้ที่จะให้คนพิการมาเป็นหัวหน้าแต่ความรับผิดชอบ ของเธอขณะนี้เทียบเท่าระดับหัวหน้าแผนกแล้วนอกจากนี้เธอคิดอยากจะก้าวเข้าช่วยเหลือ สังคมคนพิการบ้างในช่วงบางเวลาที่เธอสามารถแบ่งให้ได้ แต่ข้อจำกัดเรื่องหน้าที่รับ ผิดชอบทำให้เธอช่วยเหลือสังคมคนพิการได้ไม่เต็มที่เธอมีความรู้สึกว่าองค์กรคนพิการของ เมืองไทยยังไม่มีความเป็นเอกภาพเมื่อถามถึงคนในดวงใจเธอตอบโดยไม่ต้องคิดว่า เธอ เทอดทูลคุณแม่ของเธอมาก เธอรู้สึกว่าที่เธอเป็นอยู่ในทุกวันนี้เป็นเพราะคุณแม่ให้
ส่วนบุคคลที่เธอทึ่งคือคุณวีรวรรณ วรรุตม์ที่เป็นคนเก่งมีคุณธรรมและให้โอกาสเธอเริ่มประจักษ์ กับตัวเองว่าถ้าคนพิการมีความสามารถอย่างเดียวแต่ไม่มีผู้ใหญ่ที่มีทัศนคติที่เปิดกว้างและ ให้การสนับสนุนระดับหนึ่งคนพิการจะไปถึงจุดที่ประสบความสำเร็จยากมากการที่ตัวเอง ได้มีโอกาสมาอยู่ตรงกลางของสังคมคนปกติและคนพิการเป็นประสบการณ์ที่มีค่าอนันต์ เพราะเธอจะต้องมีการปรับตัวตลอดเวลา
สิ่งที่จันทร์จิราอยากฝากสังคมคือการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนปกติกับคนพิการยังมีน้อยจึงอยากให้พิจารณาคนพิการเป็นส่วนๆแม้เธอจะพิการ ขาเสียทั้ง 2 ข้าง แต่เธอยังมีสมองและมือ 2 ข้าง ขอสังคมอย่ามองภาพรวมคนพิการว่าไม่มี ศักยภาพ อยากให้คนพิการมีส่วนร่วมมากขึ้น กฎหมายเพื่อคนพิการมีมากขึ้นแต่ในส่วน ของการปฏิบัติก็ยังมีช่องโหว่ต่างๆ มากมาย เธอหวังจะให้อนุชนคนพิการรุ่นหลังๆ มี คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ การต่อสู้ที่หนักหนาสาหัสที่เธอเคยพบ หากลดลงมาได้โดยการ เข้าใจกันของทั้งในส่วนของคนปกติและคนพิการก็จะทำให้สังคมการอยู่ร่วมกันระหว่างคนพิการและ คนปกติดีขึ้น
สัมภาษณ์ :: จันทร์จิรา เอกอารีจิตต์ ในรายการวิทยุเพื่อคนพิการ “โลกกว้างทางการศึกษา” อังคารที่ 9 ธันวาคม 2546
Create Date : 27 มกราคม 2552 |
Last Update : 27 มกราคม 2552 11:40:52 น. |
|
4 comments
|
Counter : 1122 Pageviews. |
|
|
|
โดย: พี่แหม๋ว (ฟ้าคงสั่งมา ) วันที่: 27 มกราคม 2552 เวลา:18:28:09 น. |
|
|
|
โดย: สยาม จำปาทอง IP: 202.29.99.13 วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:10:40:59 น. |
|
|
|
โดย: chai IP: 121.72.22.120, 121.72.22.120 วันที่: 8 กรกฎาคม 2552 เวลา:16:39:05 น. |
|
|
|
โดย: จุฑารัตน์ IP: 202.14.117.6 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2555 เวลา:10:19:18 น. |
|
|
|
|
|
|
|