วันนี้ได้ไปขึ้นตึกโภชนาการอาหารที่โรงพยาบาลมาค่ะ
ไปดูการทำอาหารให้กับผู้ป่วยที่แอดมิสอยู่ที่โรงพยาบาล
ซึ่งผู้ป่วยแต่ละคนก็จะได้รับอาหารที่แตกต่างกัน
ทั้งในเรื่องของเครื่องปรุง รสชาติ สีสัน
ซึ่งอาหารแต่ละอย่างก็จะขึ้นอยู่กับโรคของคนไข้ที่เป็น
เช่น เบาหวาน >> งดส่วนผสมที่เป็นน้ำตาลเพื่อเป็นการ
ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูงเกินไป
โรคไต >> งดโซเดียมหรือเกลือเพื่อความคุมปริมาณโซเดียม
ทุกคนต้องคิดว่าอาหารต้องรสจืดแน่ๆเลย
แล้วอย่างนี้คนไข้จะกินลงไปได้ไง
ใช่แล้ว..ตอนแรกฉันก็คิดอย่างนั้น..
(มีหวังป่วยหนักกว่าเดิมแน่ๆ...อันนี้คิดในใจค่ะ)
แต่พอฟังนักโภชนากรพูด
ก็ได้พบว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิด
ทางฝ่ายโภชนาการอาหารได้คิดหาวิธี
ที่จะทำให้รสชาติอาหารน่ารับประทานมากขึ้น
แถมส่งเสริมสุขภาพและปลอดภัยเหมาะสมกับคนไข้แต่ละโรค
รองมาฟังคำถามและคำตอบของพวกเรากันดูนะคะ
นศ.>>แล้วอย่างนี้คนไข้จะรับประทานได้หรอคะ เพราะแต่ละคนเคยชินกับรสชาติอาหารที่เคยกินมา
นักโภชนากร>>ใช่แล้วค่ะคนไข้คงกินไม่ได้แน่อยู่ๆจากที่เคยกินเค็มหรือกินหวานแล้วต้องมาเปลี่ยนอาหารคนไข้คงกินไม่ลงถ้าต้องมากินรสชาติจืดๆ
ดังนั้นทางฝ่ายโภชนาการอาหารจึงมีการใช่สิ่งที่สามารถนำมาทดแทนได้
ที่เรียกว่า "อาหารทดแทน"
เช่น โรคไตห้ามกินเค็ม>>แทนที่เราจะทำแกงจืดๆให้กิน(คนไข้คงไม่กินแถมคิดว่าตัวเองป่วยหนักถึงขั้นกินอาหารแบบเดิมๆไม่ได้..คนไข้ตกใจทรุดหนักกว่าเดิม)
ดังนั้นเราต้องมีการปรับเปลี่ยน..แต่จะไม่ใช้เครื่องปรุงรสเนื่องจากเครื่องปรุงรสแทบทุกชนิดจะมีโซเดียมหรือเกลือผสมอยู่จำนวนมากซึ่งเป็นอันตรายต่อคนไข้
เราอาจเปลี่ยนแปลงอาหารดังนี้
แกงส้ม>>ซึ่งจะมีรสเปรี้ยวจากมะขาม มะเขือเทศ หรืออาจจะใส่พริกในคนไข้ที่ชอบรสเผ็ดได้ (นักโภชนากรบอกว่าคนไข้งดเค็มไม่ใช่ว่าเราจะทำแต่แกงจืดให้เค้ากินคนไข้ยังสามารถกินเปรี้ยว เผ็ด ได้ตามปกติ)
ป่นปลา(อาหารพื้นบ้านอีสาน)>>ยังกินได้เพราะคนไข้บางคนชอบปลาร้ามากเราก็นำเอาปลาร้าไปเจือจางให้มากที่สุด(เน้นเอากลิ่นมากกว่า)แล้วนำไปป่นรวมกับปลาก็จะได้ที่มีกลิ่นปลาร้าน่ารับประทาน..ชาวบ้านส่วนมากขาดปลาร้าไม่ได้เราต้องพยายามเข้าใจและหาวิธีช่วยเหลือ
.....ส่วนโรคเบาหวานที่ห้ามกินนำ้ตาลก็ให้ใส่น้ำตาลเทียมแทนซึ่งน้ำตาลเทียมนี้จะให้รสหวานแต่จะไม่ให้พลังงาน
การทำอาหารให้กับคนไข้ที่อยู่บนตึกผู้ป่วยทางฝ่ายโภชนาการจะพยายามปรับอาหารให้ผู้ป่วยรับประทานให้ได้มากที่สุดแต่ทั้งนี้ก็จะขึ้นอยู่กับขอบเขตการจำกัดของแต่ละโรค
นศ.>>แล้วคนไข้ที่มีแผลในช่องปากทำให้กินอาหารได้ลำบากและส่งผลให้คนไข้บางคนเกิดการไม่อยากอาหารจะมีการจัดอาหารอย่างไร
นักโภชนากร>>คนไข้ที่มีแผลในช่องปากเราจะมีการทำไอติมให้รับประทานก่อนเนื่องจากความเย็นจะทำให้เกิดอาการชาลงดการรับรู้ความรู้สึกลงทำให้สามารถรับประทานได้มากขึ้น
นอกจากนี้ยังต้องมีการคำนวณพลังงานของอาหาร
ทั้งที่ต้องให้ทางสายยางและทั้งที่สามารถรับประมานได้เอง
และอีกหลายๆอย่างเยอะแยะเลยค่ะวันนี้
แต่พรุ้งนี้สิคะจะสอบตรวจร่างกายแล้วไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรหนอ
ลืมไป...วันนี้
ขณะที่กำลังนั่งรถออกจากโรงพยาบาลมุ่งหน้าสู่วิทยาลัย
แม่โทรมาบอกว่าคนในหมู่บ้านมีคนผูกคอตาย
การบอกเล่าของแม่ครั้งนี้ทำให้ความคิดหนึ่งวิ่งเข้ามาในหัว
อาจเป็นเพราะเราพึ่งออกจากโรงพยาบาลมา
เออเนาะ..คนเรานี้ช่างแต่ต่างกันจริงๆ
คนไข้ที่อยู่ในโรงพยาบาลอยู่ในระยะสุดท้าย
รู้ว่ายังไงก็ไม่อาจรักษาให้หายได้
แต่เค้าก็ยังพยายามดิ้นลนรักษา
เพื่อต่อชีวิตและลมหายใจของตัวเอง
ให้ได้ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่คนอีกบางส่วน(อาจจะน้อยนิดมากแต่ก็มี)
เลือกไม่อยากมีชีวิตไม่อยากมีลมหายใจ
แต่ก็คงว่าอะไรให้ใครไม่ได้หรอกนะคะ
ชีวิตของใครคนนั้นก็มีสิทธิ์ในชีวิตของตนเอง
ปัญหาที่เค้าเจออาจจะมากมายสำหรับชีวิต
จนถึงขึ้นเลือกจบชีวิตและลมหายใจของตัวเอง
คนเหล่านี้ก็น่าสงสาร
แต่อยากให้เค้าเห็นคนไข้หนักที่นอนอยู่โรงพยาบาลจัง
ทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีหวังว่าจะหาย
แต่เค้าก็ยังหวังที่จะต่อลมหายใจ
ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
และอยากให้รู้อีกจังเลยว่า
คนที่หนีปัญหาหนีพ้นก็จริงแต่ต่อไปคงไม่รับรู้อะไรอีกเลย
แต่คนที่เผชิญกับปัญหาสักวันเค้าคงจะต้องผ่านมันไปได้แน่ๆ
เพราะ
ไม่ว่าความทุกข์หรือความสุขนั้นมันมาแล้วก็มันผ่านไป หมุนเวียนกับไปมาอยู่เรื่อยๆและเมื่อด้านของความสุขหมุนเวียนกลับมาเขาก็จะยังได้รับรู้ถึงวันแห่งความสุขอีกครั้งวันนี้ค่อนข้างจะวิชาการ
และซีเรียสนิดหน่อย
แต่คิดว่าวันนี้
ทำให้ได้แง่คิด
หลายๆอย่างให้กลับ
ชีวิตของตัวเอง
ของให้สู้กับช่วงเวลาแห่งความทุกข์
ให้ด้านของความสุขได้หมุนกลับมา
ถ้าไม่ประสบผลสำเร็จ(คนไข้หนัก)
แต่คุณจะรู้ว่าคุณได้ทำอย่างดีทีุ่สุด
เท่าที่จะสามารถทำได้แล้ว
โปรดอย่าได้เสียใจ
เพราะดีกว่าการเสียใจ
ในสิ่งที่ ..ทำไมฉันถึงไม่ทำ...