|
|
|
|
|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
Wall mart ดิสเคานต์สโตร์ที่มีรายได้เป็นอันดับ 1 ของโลก
แซม วอลตัน เกิดที่คิงฟิชเชอร์, โอกลาโฮม่า ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 1918 ในครอบครัวที่คุณพ่อของเขาเป็นคนธรรมดาที่ทำงานมาหลายชนิดแต่ไม่ได้มีธุรกิจเป็นของตนเอง มีคุณแม่เป็นแม่บ้านที่ดีคอยเลี้ยงดูลูก 2 คน จนเติบโตคือ แซม และบัด น้องชายของเขา ในตอนนั้นครอบครัววอลตันไม่ถือว่าร่ำรวยเพียงแต่มีความเป็นอยู่แบบอเมริกาชนธรรมดา ๆ ในเมืองเล็ก ๆ เท่านั้น
..................................................................................
แซม เป็นคนขยันอย่างมาก เขาทำงานหนักและพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างที่จะหาเงินมาเพื่อแบ่งเบาภาระทางบ้านและส่งเสียตนเองเรียนจนจบมหาวิทยาลัย ทั้งขายของเล็ก ๆ น้อย ๆ รับจ้าง ทำธุรกิจเล็ก ๆ และทำงานประจำเป็นหัวหน้าหน่วยกู้ภัยที่สระว่ายน้ำ เขามักจะภูมิใจในเงินทุกดอลลาร์ที่หามาได้ และเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เขาเป็นคนที่ประหยัด และบางครั้งอาจจะมองว่าเป็นคนขี้เหนียวเสียด้วย เขาเรียนจบมาทางด้านธุรกิจ และได้สัมผัสกับธุรกิจค้าปลีกครั้งแรกในปี 1939 และเริ่มงานกับบริษัทเจซี เพนนี เป็นผู้จัดการฝึกหัด ที่นี่เขาได้เรียนรู้ธุรกิจค้าปลีก และฟูมฟักประสบการณ์ที่ดี ๆ จนกระทั่งในปี 1942 เขาลาออกเพื่อค้นหาตัวเองอีกครั้งโดยเดินทางไปทางใต้จนได้พบกับเฮเลน ร็อบสัน และได้แต่งงานกันในปี 1943 จากความคิดของทั้งคู่ที่อยากจะเป็นอิสระ พวกเขาจึงต้องการที่จะทำธุรกิจเป็นของตนเอง
……………………………………………………….
สิ่งเดียวที่แซมคิดออก และเชื่อมั่น นั่นก็คือห้างสรรพสินค้า เขาเริ่มธุรกิจด้วยการหาทำเลที่เป็นเมืองเล็ก ๆ มีประชากรไม่เกิน 10,000 คน แล้วในที่สุดชายผู้มีความเชื่อมั่นด้วยวัย 27 ปี ก็เริ่มต้นธุรกิจของเขาด้วยการ ซื้อกิจการแฟรนไชส์วาไรตี้สโตร์ ในนิวพอร์ต, อาคันซอร์ และบริหารมันด้วยการจัดซื้อของคุณภาพดีในราคาที่ถูกที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และทำการขายให้กับลูกค้าในราคาถูกกว่าร้านในระแวกเดียวกัน ทั้งยังสรรหาของแปลกใหม่ที่เขาคิดว่าจะขายได้มาทำการโปรโมตสินค้าในร้านของเขาอย่างดี และสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าจนกิจการของเขาประสบความสำเร็จอย่างมากในเวลาเพียง 5 ปี
.............................................................................................
แต่ด้วยความที่วาไรตี้สโตร์ดังกล่าวถูกเงื่อนไขสัญญาเช่าที่บังคับ เมื่อเขาหมดสัญญาเจ้าของเห็นว่ากิจการไปได้สวยจึงไม่ยอมต่อสัญญาให้ เขาจึงต้องขายมันให้กับเจ้าของไปในปี 1950 และมาเริ่มต้นด้วยการทำร้านค้าปลีกในรูปแบบวาไรตี้สโตร์ของตนเองในชื่อวอลตันส์ ไฟว์ แอนด์ ไดม์ ซึ่ง ณ ที่นี้เขาเริ่มทำสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นในวงการค้าคือการบริการตนเอง
.............................................................................................
เขาพยายามขยายสาขาร้านของเขาออกไปอีกในทำเลใหม่ ๆ ที่เป็นชุมชนขนาดไม่ใหญ่โตมากนักเพราะไม่ต้องการเจอคู่แข่งที่เป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เขาพัฒนากิจการด้วยการเรียนรู้จากคู่แข่ง ไปดูกิจการค้าปลีกหลาย ๆ แห่งเพื่อนำมาประยุกต์และบริหารกิจการของเขาเรื่อยมาจนสามารถขยายสาขาออกไปอีกหลายสาขา ทำให้เขาต้องเดินทางอยู่ตลอดเวลา เขาพยายามหาแนวทางการทำงานใหม่ ๆ มาใช้ในการทำงานอยู่เสมอเพื่อให้มันดีขึ้น เช่น การเดินทาง เขาเห็นว่าการเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวสามารถย่นระยะเวลาให้เขาอย่างมาก จึงตัดสินใจซื้อเครื่องบินเล็กสำหรับเดินทาง ใช้มันในการสำรวจหาทำเล และติดตามงานในสาขาต่าง ๆ
...............................................................................................
ในปี 1962 วอล – มาร์ตสาขาแรกก็ถือกำเนิดขึ้นด้วยแนวความคิดใหม่นั่นคือแนวความคิดเรื่องดิสเคานต์สโตร์ขนาดใหญ่ แซม – วอลตัน ตัดสินใจสร้างวอล – มาร์ตสาขาแรกที่โรเจอร์ส โดยใช้กลยุทธ์ ขายถูกกว่า และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าด้วยการเอาใจใส่ดูแลลูกค้าในร้านและสามารถคืนของได้หากลูกค้าไม่พอใจ ด้วยการดำเนินงานแบบต้นทุนต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ วอล – มาร์ตจึงสามารถขายสินค้าได้ในราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งมาก ปริมาณการขายของเขาจึงสูงมาก ทำให้รายได้เพิ่มสูงกว่าคู่แข่ง กิจการก็เลยเติบโตขึ้นและขยายสาขาออกไป
................................................................................................
พวกเขามักจะมีวิธีจัดแสดงสินค้าแบบใหม่ ๆ และแหวกแนวเสมอ เช่น ครั้งหนึ่งมีสาขาหนึ่งจัดขายผงซักฟอกในลานของห้างโดยการกองมันเป็นภูเขาซึ่งถือว่าเป็นการขายผงซักฟอกที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้ และขายในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาดมากเพราะซื้อมาในราคาต่ำด้วยการซื้อเป็นจำนวนมาก และพวกเขาก็สามารถขายมันหมดในเวลาไม่
..................................................................................
ในปลายทศวรรษ 1960 แซม วอลตัน มีวอล – มาร์ตมากกว่า 12 สาขา ห้างเบ็ดเตล็ดอีก 15 สาขา ด้วยขนาดบริษัทที่ใหญ่ขึ้นเขาจึงต้องการที่จะพัฒนาบริษัทให้แข็งแกร่งขึ้นไปอีก เขาว่าจ้างผู้มีความรู้ความสามารถมาดูแลกิจการที่ถูกแบ่งหน้าที่มากขึ้น รวมทั้งมีการนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาใช้ในระบบการค้าปลีกโดยเริ่มตั้งแต่ขั้นต้นในการสั่งซื้อสินค้าและขายมันออกไป วิธีการนี้ช่วยให้กิจการลดต้นทุนและความซ้ำซ้อนของงานลงอย่างมาก และเพิ่มความรวดเร็วในการทำงานกว่าคู่แข่ง เมื่อกิจการของเขาโตมากขึ้นก็เริ่มมีปัญหาในการขนส่งสินค้า ทีมงานจึงคิดค้นระบบการกระจายสินค้าที่มีประสิทธิภาพขึ้นมาใช้ด้วยการสร้างศูนย์กระจายสินค้าของตนเองขึ้นมา รวมทั้งระบบการขนส่งที่รวดเร็วและมีต้นทุนต่ำที่สุดด้วยการมีกองรถบรรทุกเป็นของตนเอง
……………………………………………………….
แม้ว่าในช่วงแรกระบบดังกล่าวจะใช้งานได้ดี แต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับการขยายตัวของกิจการที่จะมีมากขึ้นในอนาคต เขาจะต้องมีมืออาชีพที่มีประสบการณ์ในการวางระบบเกี่ยวกับการกระจายสินค้าและการติดต่อสื่อสารอย่างแท้จริง จึงเป็นที่มาของการพัฒนาครั้งสำคัญของวอล – มาร์ต ในปี 1968 เขาได้จ้างรอน เมเยอร์ ผู้มีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงระบบการกระจายสินค้าและการติดต่อสื่อสารของวอล – มาร์ตด้วยการวางรากฐานระบบ นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ที่ทำให้บริษัทผู้ค้าปลีกแห่งนี้มีความล้ำหน้ากว่าคู่แข่ง
.......................................
ปัจจุบัน Wall Mart มีจำนวนพนักงานทั้งสิ้นกว่า 600,000 คน มีขนาดใหญ่ จัดเป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากเยนเนอรัล มอเตอร์ และยูเอส โพสตัล เซอร์วิส เป็นต้นแบบของดิสเคานต์สโตร์ในเมืองไทย อาทิ โลตัส และบิ๊กซี
เพื่อนๆที่สนใจ สามารถเรียนรู้ Model ทางธุรกิจ แบบ Wall Mart และศึกษาเทรนโลกได้ที่งานสัมนานี้นะคะ ลองเข้าไปดูกัน
//www.quixest.com/begin.php?fid=118&tid=5&agent=destination
Create Date : 24 กันยายน 2550 |
|
0 comments |
Last Update : 25 กันยายน 2550 11:48:12 น. |
Counter : 629 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
tamonty |
|
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
เวลาที่ผ่านไม่สามารถย้อนคืนกลับมาได้ อดีตอาจมีคนมากมายที่ทำให้เราต้อง เสียใจ เจ็บปวด และผิดหวัง แต่ไม่ว่าเราจะต้องมีอดีตที่เลวร้ายแค่ไหนก้ตาม สิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นก็คือ เราจะต้องผิดหวังกับตัวเราเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
|
|
|
|