|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
Tokyo Sonata & Revolutionary Road
ดูทั้งสองเรื่องในเวลาไล่เลี่ยกัน แล้วมันก็เป็นหนังแนวเดียวกัน เลยเอามาเขียนไว้ด้วยกันซะเลย เขียนคร่าว ๆ
เริ่มยังไงดี เอาความรู้สึกก่อนแล้วกัน ทั้งสองเรื่องตั้งหน้าตั้งตาดราม่ามาก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ดูแล้วอึดอัด จิตตก แทบไม่อยากทำอะไรต่อ อารมณ์ของหนังเราว่าคล้ายกันมาก แต่จุดจบต่างกัน เพราะเรื่องหนึ่ง (Revolutionary Road) จบได้สะเทือนอารมณ์ ประมาณว่า เอาอย่างงี้เลยหรอ ดราม่ามาทั้งเรื่องยังไม่พอใช่มั้ย เล่นเอาวันนั้น(ที่ดูหนังจบ) กลายเป็นคนเครียดไปซะงั้น แต่อีกเรื่อง (Tokyo Sonata) จบแบบตัวละครไปสู่หนทางที่ดี ก็ยังโอเค ดราม่ามาทั้งเรื่อง มีตอนจบที่ดูเหมือนจะมีคนที่มีความสุขอยู่
Tokyo sonata
เล่าเรื่องได้โอเคนะ ไม่งง โทนเสียงเงียบ ๆ แต่เกือบเลิกดูแล้วเพราะมันดราม่า สะ้ท้อนสังคม หาความสุขไม่ได้เลย เป็นเรื่องของครอบครัวญี่ปุ่นที่ดิ้นรนให้รอดในสังคม พ่อตกงานแต่ก็ต้องปิดบังครอบครัวเพราะกลัวเสียหน้า ไม่อยากให้ทางบ้านรู้ว่าตัวเองหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวไม่ได้ ไม่อยากให้ลูกกับเมียเครียดด้วยมั้ง (ในเรื่องพ่อบอกว่ากลัวจะเสียการปกครอง...อ่านะ) อีกทั้งแม่ที่วัน ๆ ได้แต่ทำงานบ้าน ถูกทุกคนในบ้านละเลย ทำดีแค่ไหนก็ไม่มีใครเห็นค่าอะไร ลูกคนโตอยากเป็นทหารจนทะเลาะกับพ่อ ลูกคนเล็กอยากเป็นนักเปียโนจนต้องแอบเอาค่าอาหารกลางวันไปเป็นค่าเรียนเปียโน ดูว่าทุกคนจะมีปัญหากันทั้งนั้น แทบจะไม่เห็นใครคุยอะไรกันเลย ไม่เหมือนเป็นครอบครัีว ดูแล้วชวนเครียดมาก ๆ ประเด็นที่พ่อตกงานนี่แหละโยงไปสู่ปัญหาต่าง ๆ ของแต่ละคน ยอมรับว่าไม่ค่อยเข้าใจจุดที่หนังเรื่องนี้ต้องการจะสื่อเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ได้รับมาเต็ม ๆ เลยคือความอึดอัดและความเครียด ห่างไกลความสุขมาก ๆ สำหรับเรื่องนี้ แต่ถ้าพูดถึงเนื้อเรื่อง ก็ยอมรับว่ามันมีอะไร ๆ ให้คิดเยอะเหมือนกัน เอาไว้ขอไปคิดก่อนนะ อ่อนด้อยประสบการณ์มาก
ส่วน Revolutionary Road
ที่หยิบเรื่องนี้มาดูก็เพราะเพิ่งอิน Kate Winslet จาก The reader และจากอีกหลาย ๆ เรื่องที่เคยเคยดูมา เห็นว่าเป็นแนว drama romance และก็ดูแค่ปก ไม่ได้ดูตัวอย่างหนังอะไรมาก่อน ก็เลยนึกว่าออกแนว the reader, the notebook ที่แบบว่าซึ้ง ๆ ปนเศร้า อะไรอย่างงั้น แต่มันไม่ใช่เลยกลายเป็นว่าเศร้าอย่างเดียว เหอะ ๆ เป็นโศกนาฏกรรมเลยมั้ยนั่น เรื่องนี้ก็เครียด อึดอัด สะท้อนสังคมสุด ๆ เหมือนกัน แต่ก็มีมุมที่คนในครอบครัวดูเหมือนครอบครัวหน่อย มีช่วงให้ได้หวังว่าเรื่องจะดำเนินไปในทางที่ดีก็ตอนที่ทั้งสองตัดสินใจไปปารีส แต่ทุกอย่างก็ชะงักลง ลงเอยด้วยการทะเลาะแรง ๆ ที่ใส่มาหลายฉากในเรื่อง ต้องปรบมือให้นักแสดงนำทั้งสองที่แสดงได้ดีเหลือเกิน มันดูจริงมาก ตอนที่ทะเลาะกัน หรือแม้แต่ตอนรักกัน ทั้งสองปล่อยพลังใส่กันไม่มีลดละ ไม่ผิดหวังในฝีมือนักแสดงจริง ๆ แต่สิ่งที่เหมือนกับ tokyo sonata คือแทบจะหาความสุขจากเรื่องนี้ไม่ได้เลย อย่างที่บอกไปตั้งแต่แรก วันนั้นคิดวนเวียนถึงประเด็นในหนัง ประมาณว่าหนังจบแต่อารมณ์ไม่่จบ ทิ้งความเครียดเอาไว้ให้อีก เอ้ออออ... เก่งเนอะ ทำให้อินได้จนกลายเป็นความเครียด เอา comedy มาฉุดอารมณ์ขึ้นก็เอาไม่อยู่แล้ว comedy เรื่องนั้นเลยซวยไป 555+ เพราะเอามุขอะไรมาเราก็ไม่ขำ (หรือว่ามันไม่ขำจริง ๆ หว่า) กลายเป็นเรื่องที่ไม่ชอบไปเลย
ไม่อยากดูหนังแนวนี้แล้วอะ เอาไว้มีความสุขสุดขีดแล้วค่อยมาดูดีกว่านะ จะได้ balance อารมณ์หน่อย ทั้ง ๆ ที่ตอนก่อนดูชีวิตก็โอเคนะ แ่ต่หลังดูเหมือนอะไร ๆ มันจะแย่ลง อินไปหน่อย แยกแยะไม่ค่อยออก 555+
ตัวหนังดี อะไรก็ดี แต่พี่จะ drama ไปไหนคร้าบบบบบบบบบบบบ เอาเป็นว่า ลาแล้วหนัง drama ถ้าเห็นใน imdb ว่า drama อย่างเดียวจะไม่ขอดูเด็ดขาด ไม่ว่ากวาดรางวัลมาเยอะแค่ไหน มันดึงอารมณ์มาก จิตตก อารมณ์ดิ่งเหว ไม่เอาดีกว่า.............
Create Date : 29 ตุลาคม 2553 |
|
4 comments |
Last Update : 29 ตุลาคม 2553 21:41:15 น. |
Counter : 1174 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
|
ส่วนผมก็ไม่ค่อยชอบเหมือนกันครับ แต่ยอมรับว่าเขาแสดงกันดีทั้งนั้น (โดยเฉพาะอิตาคนที่เพี้ยนๆ หน่อย แกมาเพื่อขโมยซีนกันโดยเฉพาะเชียว)
ปล.ส่วนอีกเรื่องมีแผ่นอยู่แล้วแต่ยังไม่ได้ฤกษ์หยิบมาดูสักทีจ้า