สิ่งที่เราคิดกับความเป็นจริงต่างกันเหลือเกิน


ความคิดเรากับสิ่งที่เป็นอยู่ต่างกัน..

ตั้งแต่เล็กจนโต ก็รู้สึกว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมา ความทุกข์อยู่เคียงข้างเรามาเสมอ ความทุกข์แต่ละครั้งที่เกิดขึ้นและก็หายไป ตามเวลา เร็วบ้างช้าบ้าง แต่น้อยครั้งที่มันจะห่างไปจากเราจริงๆ เคยคิดไว้เหมือนกันสมัยเป็นเด็กๆ ด้วยความที่เป็นเด็ก ที่ไม่ได้มีชิวิตที่สบายเหมือนคนอื่นมากนัก ความทุกข์ที่มาอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนอยู่ตลอดเวลาให้เราคิด คิด แล้ว ก็คิด คิดว่าจะทำอย่างไรกับมันดี จะจัดการกับมันอย่างไร ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้คิดจะจัดการกับความทุกข์โดยตรงหรอก เรามองความทุกข์ในรูปของปัญหามากกว่า รู้สึกว่ามีปัญหา ต้องหาทางแก้ คิดว่าแก้แล้ว ความทุกข์คงจะหายไป

บางครั้งความทุกข์ก็เกิดจากเราเอง  บ่อยครั้งก็เกิดจากคนอื่นมาทำให้เราโกรธบ้าง เสียใจบ้าง แค้นบ้าง บางครั้งก็เกิดจากการรับฟังปัญหาหรือความทุกข์จากคนอื่นมา และเก็บมาคิดบ้าง จำได้ว่าตอนเด็กๆ บ่อยครั้งที่ฟังแม่บ่นถึงพี่หรือน้อง หรือคนอื่นๆ ที่ทำให้แม่เป็นทุกข์ หรือไม่สบายใจ เราก็จะเก็บมาคิด และพลอยรู้สึกไม่สบายใจไปด้วย  บางทีก็อึดอัด คิดวนไปวนมาว่าจะทำไงให้แม่หายเป็นทุกข์ จะไปแก้คนอื่นได้อย่างไร คิดไปคิดมาแล้วก็ไม่มีทางออก วนอยู่อย่างนั้นเอง

    ความทุกข์ที่ผ่านมาจึงทำให้รู้สึกว่ามันฝึกตัวเองให้เป็นคนช่างคิด คิดที่จะแก้ปัญหา คิดอย่างมีเหตุมีผลมากขึ้นตามวัยที่เปลี่ยนไป  บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าการที่เรามีความทุกข์มากกว่าคนอื่นทำให้เรากลายเป็นคนที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่กว่าคนอื่นไปด้วย ความทุกข์หนักหนาในอดีต เมื่อมันผ่านมาแล้ว เรามองย้อนกลับไป บางทีกลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องไร้สาระบ้าง เพียงแค่คิดผิดทาง คิดผิดประเด็น ก็ก่อให้เกิดทุกข์กับตัวเรา  บางทีก็ไม่เสมอไปนะครับ

    ความทุกข์ในตอนนั้นอาจมีเหตุผลที่พอในเวลานี้ แต่ว่าความรู้สึกนั้นมันอาจจะจืดจางไปตามกาลเวลาและสถานการณ์ที่ ณ เวลาปัจจุบันเราไม่ได้เผชิญอยู่ มันจึงไม่ได้รู้สึกเท่ากับเวลานั้นก็ได้  แต่ที่สำคัญ คนเราต้องมีพัฒนาการทางจิตใจ  อย่างที่ว่าความทุกข์ที่เรามองในอดีต ว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ เป็นความคิดที่ผิดพลาด ผิดประเด็น มันเกิดจากพัฒนาการทางความคิดที่เรามีขึ้นมา  ส่วนตัวแล้วมองว่า คนที่เป็นผู้ใหญ่ หรือมีพัฒนาการทางความคิดที่ดีจริงๆ จะมีวิธีการจัดการกับความทุกข์ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แล้วเราจะจัดการกับความทุกข์ได้อย่างไร หลักๆ ก็คือ การมีสติ การมีสติสอนให้เรารู้ตัวว่าตอนนี้เรากำลังทุกข์ ทุกข์อยู่กับเรื่องอะไร ทำไมเราถึงทุกข์  พูดลอยๆ คงจะไม่เห็นภาพ ขอยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อเร็วๆ นี้แล้วกัน

 เมื่อาทิตย์ก่อนผมไปบ้านยายมา ปกติก็ไปบ่อยครับ เพราะยายแก่มากแล้ว ใจก็อดเป็นห่วงไม่ได้ถามแม่เสมอว่า ทำไมไม่รับยายมาอยู่ด้วย ผมจำได้ว่าถาม คำถามนี้ไปหลายครั้ง กับแม่ แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ ที่ทำให้เราสบายใจ แล้วผมก็ได้คำตอบ พร้อมสิ่งที่เห็นกับตาตัวเอง ในเช้าของวันที่อยู่บ้านยาย 

    หน้าบ้านยายมีบริเวณกว้าง ข้างๆ เป็นคลอง ตอนเช้า ยายจะใส่บาตร ผมยืนที่หน้าต่างชั้นบน มองลงไป เห็นยายกับแม่และลูกพี่ลูกน้อง ซึ่งเขาดูแลยายอยู่ที่นั่น ทั้ง3ท่าน ใส่บาตร ยิ้มแย้มแจ่มใส นั่งคุยกันอยู่ที่ ศาลาริมน้ำ ยายยืนคุยกับแม่ ผมไม่ได้ยินท่านหรอก ว่าท่านพูดอะไร แต่เห็นยายชี้ไปที่ต้น พลู ที่ยายปลูกไว้มากมาย และ แม่ก็ชี้ไปทางต้นพริกและผักสวนครัว ที่ลูกพี่ลูกน้องแม่ปลูก ภาพที่เห็น ยายมีความสุข ยิ้มแย้มแจ่มใสมาก เหมือนผมทราบคำตอบ ในใจที่เป็นทุกข์ตลอดมา ว่า ทำไม แม่ไม่รับยายไปอยู่ด้วย..

สิ่งที่เป็นอยู่ กับ สิ่งที่เราคิด ต่างกันสิ้นเชิงจริงๆ ผมคิดว่า สิ่งที่ยาย รักและมีความสุข และแม่ก็เห็นมาตลอด ว่าไม่มีที่ไหน ที่จะมีความสุข เท่าที่ๆ ยายอยู่ จริงๆแล้ว ความเป็นห่วง ที่เราไม่รู้เหตุและผล ทำให้เราเป็นทุกข์ แต่ในความทุกข์ที่เกิดจากจิตใจของเราไม่ได้คิดต่อไปให้เห็น ความจริงที่เป็นอยู่ เราแค่มองในมุมจากที่เราคิดแค่นั้นเอง

ยิ่งถ้าเราโกรธเกลียดใครมากๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย  เห็นได้ว่า ความคิดคนเรานี้มันร้ายยิ่งนัก มันเป็นตัวทำร้ายเราดีๆ นี่เอง คิดแบบที่ว่านี้เป็นความคิดที่ไร้ประโยชน์   สติที่แท้จริงที่จะทำให้เราหลุดจากความทุกข์ได้นั้นคือรับรู้กับความเป็นจริง

   คนไม่ดีมีอยู่รอบตัวเราเป็นเรื่องธรรมดา ทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเราทุกข์หรือเสียใจไปก็ไม่มีประโยชน์  คนเหล่านั้นไม่ได้มารับรู้เลยสักนิดว่าเราทุกข์แค่ไหน  หรือต่อให้เขาคิด เขาแกล้งด้วยเจตนาให้เราเป็นทุกข์จริงๆ แต่เรามีสติ ไม่เอาความทุกข์มาเก็บไว้ในใจเรา ก็ไม่มีใครมาทำร้ายจิตใจเราได้  ในขณะเดียวกันก็มองโลกในแง่ดีด้วย    คนดีๆ ก็มีอีกมากมายในโลกนี้   ดังนั้น คนที่มีความเป็นผู้ใหญ่มากในความคิดของเราในที่นี้ คือคนที่เรียกสติกลับมาได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเป็นคนที่มีการฝึกจิตกันจริงๆ  ยิ่งฝึกฝนบ่อย เราก็จะทำเวลาได้ดีขึ้นเท่านั้น

บางครั้งเราอาจเรียกสติด้วยตัวเองไม่ได้ พอบ่นเล่าให้คนอื่นฟัง ก็มีคนชี้ทางมาให้เรา  บางทีเราก็ไม่เห็นอีก คือเห็นเหมือนที่เขาแนะนำมันแค่เป็นเรื่องในอุดมคติ ใช่ ถ้าทำใจได้ก็ไม่ทุกข์ ปัญหาอยู่ที่ว่าการทำใจไม่ใช่เรื่องง่ายนั่นเอง  แต่ความจริง คนที่ทำใจได้ คือคนที่มีสติจริงๆ  คนที่ทำใจได้ง่าย ก็คือคนที่มีการฝึกสติมานั่นเอง แน่นอน ว่าเรื่องแบบนี้แต่ละคนใช้เวลาไม่เท่ากัน ขึ้นกับทักษะที่ฝึกฝนมา แต่ขอให้หมั่นฝึกฝนไว้ แล้วเราจะทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ และปลดความทุกข์ไปจากใจเราได้เร็วขึ้นเรื่อยๆ

    การฝึกสติคงทำได้หลายวิธี บางคนก็นั่งสมาธิ   ส่วนที่ช่วยอย่างนึงก็คือการออกกำลังกาย  ส่วนตัวแล้วคือการ ปั่นจักรยานได้มาก  ทีแรกๆ ทำเพื่อสุขภาพ  ต่อมาทำเพื่อระบายอารมณ์เครียด (ทางวิทยาศาสตร์ เขาว่าร่างกายจะหลั่งสารที่ทำให้เรามีความสุข จึงคลายเครียดได้)  แต่ต่อมารู้ตัวว่าจริงๆ แล้วมันคือการฝึกสติอย่างนึง

   ที่สำคัญ สุข หรือ ทุกข์ มันอยู่ที่ใจเราเท่านั้นเอง เราเอง เป็นคนก่อให้มันเกิดมา ถ้าเราไม่ทุกข์ คนอื่นจะมาทำให้เราทุกข์ไม่ได้ เขาอาจเหนี่ยวนำได้ แต่ถ้าเรามีสติ เราจะเรียกตัวเรากลับได้ และไม่ทุกข์กับมัน

อยากให้ ท่านที่กำลังมีความทุกข์ ไม่ว่าด้วยเรื่องอะไรอยู่จะได้รับข้อคิดดีๆ ที่อาจช่วยให้จัดการกับความทุกข์ตรงนั้นออกไปจากใจเราได้ ไม่มากก็น้อยครับ  เพราะโลกนี้มีคนไม่ดีมากมายที่อาจทำร้ายเรา แต่ที่สำคัญ เราอย่าทำร้ายตัวเองด้วยความคิดของเราเลยนะครับ





Create Date : 08 ธันวาคม 2559
Last Update : 8 ธันวาคม 2559 19:43:14 น.
Counter : 398 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

สมาชิกหมายเลข 1857230
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
ธันวาคม 2559

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
11
14
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
All Blog