1 2 3 4 5
6 7 8 9 10 11 12
13 14 15 16 17 18 19
20 21 22 23 24 25 26
27 28 29 30
เสียงโทรศัพท์ที่ไม่โชว์เบอร์เมื่อเช้านี้ กับความคิดถึงที่ไม่เคยสิ้นสุด
แปดนาฬิกาสี่สิบห้านาที ... เด็กที่รอคอยงัวเงียกวาดมือหามือถือที่กำลังร้องเพลง ดูม ดูม ของ 2ทา ให้ฟัง โชคดีที่เมื่อคืนเอามาไว้บนที่นอนใกล้ตัวเพราะว่า เอามาลบข้อความทั้งหมดของหลินฮุ่ยออก รวมทั้งเบอร์ของเขาด้วย ... คิดว่าต่อจากนี้ไปเขาคงจะไม่ได้สนใจอะไรเราแล้วล่ะ คงไม่ต้องไปซื้อเบอร์ใหม่ก้อได้มั้ง เพราะตอนนี้มีกฏไม่ให้เลือกเบอร์ ถ้าจะเลือกก้อมีให้เลือกจากดาต้าเบสในคอมพิวเตอร์ของศูนย์ เขาจะให้ดูทีละสองเบอร์ ถ้าไม่เลือก ก้อจะให้เลือกสองเบอร์ใหม่ต่อไป แต่เบอร์เก่าที่เราคิดว่า "อาจจะเอา" เพราะมันก้อสวยดีแต่อยากดูต่ออีกนิดเผื่อมีถูกใจกว่า จะไม่สามารถดึงข้อมูลเอากลับมาได้... แล้วตรู จะเสียเงินร่วมสี่สิบห้าสิบดอล ไปเพื่ออะไรถ้ามิได้สิ่งที่ต้องการ ใช่แมะ? ไม่ใช่ว่าไม่อยากเปลี่ยนเพราะยังอาวรณ์หรอกนะ เอาน่ะ... เด็กที่รอคอยไม่ใช่คนที่มีความสลักสำคัญอะไรกับใครเท่าไหร่นักหรอก รายนี้ก้อบายกันไปแล้วอย่างชัดเจน ก้อคงจะแค่นั้นแหละ คงไม่ต้องมีภาคสี่ ภาคห้า ดังที่เคยเกิดขึ้นในอดีตแล้ว กลับมาที่ แปดนาฬิกาสี่สิบห้านาทีเช้านี้กัน เด็กที่รอคอยกวาดมือไปพบมือถือเข้า ก้อเปิดดูหน้าจอแล้วพบว่า .... มันเป็น private number คือ ไม่โชว์นั่นแลโยม ... แต่สภาพตอนนั้นจึงเป็นศพคืนชีพเต็มที่ ถึงสติจะอยู่กับตัวว่ามันไม่โชว์เบอร์คงจะมาจากต่างประเทศ... แต่ก้อหลับตาฮัลโหลไปเพราะมันง่วงเกินทน ก้อคิดอยู่เหมือนกันว่า เสียงปลายสาย จะเป็นหลินฮุ่ยหรือเปล่า ... แต่ไม่น่าจะเป็นไปได้ และมันก้อไม่ใช่จริงๆด้วย เป็นเสียงผู้หญิง หรือจะเป็นเพื่อนจากดูไบ? อะไรวะ เดือนๆนึงมันจะทำไฟล์ทมาหากี่รอบกัน? ไปประเทศอื่นบ้างเด๊!! สรุปว่าสมมติฐานผิดหมด เพราะปลายสายเป็นเสียงของผู้หญิงคนนึงที่เคยเป็นรูมเมทสมัยยังอยู่เมลเบิร์นในปีที่พบกับความโชคร้ายต่างๆนาๆ ... เราสองคนจับพลัดจับผลูมาอยู่ด้วยกันอย่างไม่ได้ตั้งตัว ในตอนนั้นเด็กที่รอคอยต้องหางานทำสามที่ เพื่อจะได้พอมีกินมีใช้ในขณะเดียวกันก้อแบ่งเวลาไปเรียนหนังสือด้วยเพราะเป็นปีสุดท้ายของมหาลัยแล้ว โชคดีที่หน่วยกิจเหลือไม่มาก และได้มารู้จักพี่เค้าในที่ทำงานพิเศษแห่งนึงในเมือง เป็นร้านอาหารที่ลูกค้าเยอะมากเพราะอยู่ในแหล่งเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ แรกทีเดียวก้อเพียงแค่ทำงานด้วยกันแต่ไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่เพราะพี่เค้าเป็นคนไม่ค่อยให้ความสนิทสนมกับใครแบบเต็มตัว แต่เด็กที่รอคอยชอบเค้านะ เค้ามีบุคคลิกที่ดีในแบบผู้ใหญ่ๆ จริงๆแล้วก้อแก่กว่าเราแค่สามสี่ปีเท่านั้นเอง ต่อมาเด็กที่รอคอยมีอันต้องเลิกทำงานที่นั่นแล้วไปได้ที่อื่นที่เงินดีกว่า ก่อนจะลาออกก้อคุยกับพี่เค้านิดหน่อยเป็นพิธีว่า ได้ยินมาว่ากำลังอยากหาที่อยู่ใหม่เพราะว่าทำงานในเมืองถ้าเลิกดึกแล้วกลับลำบาก หาได้รึยัง ... พอพี่เค้าบอกว่า ยัง เด็กที่รอคอยก้อพูดไปว่า "จะมาอยู่ด้วยกันมั้ย อ้อนจะย้ายบ้านอาทิตย์หน้าเนี่ยพอดีมันเป็น 1 bedroom ถ้าพี่อยู่ได้ พี่ก้อเอาห้องนั้นไป อ้อนออกมาอยู่ตรงห้องรับแขก จริงๆก้อยังชั่งใจอยู่เพราะมันแพงกว่าที่เก่า แต่อยากได้เพราะมันสะดวกดี ปกติอ้อนก้อคงไม่ค่อยอยู่หรอกแต่จะกลับมานอนกับอาบน้ำเท่านั้นเอง" ใครจะไปคิด... ว่าคุณพี่แกจะตอบเลยทันทีว่า "งั้นพี่ฝากตัวด้วย โทรมาบอกด้วยนะคะพี่พร้อมย้าย" ยังนึกประหลาดใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมอยู่ดีๆตัดสินใจง่ายจัง ตั้งกะรู้จักกันมาก้อไม่ค่อยจะคุยเรื่องส่วนตัวกันนอกจากจะคุยกันเรื่องงานเท่านั้นเอง สรุปว่าไม่สนิทกัน แล้วห้องก้อยังไม่ทันเห็น แต่พี่แกใจกล้าเกินร้อย มาถามในตอนหลัง เค้าก้อบอกว่าไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่คิดว่าอยากอยู่ด้วย และตอนนั้นก้อคิดว่าถ้าอยู่กับเด็กที่รอคอยคงจะอยู่ด้วยได้ เด็กที่รอคอยน่ะไม่เคยจะมีรูมเมทกะเค้าหรอก หอพักแบบนักศึกษาที่เมืองไทยก้อไม่เคยอยู่ ก้อไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะใช้ชีวิตอยู่อย่างแชร์กันได้หรือเปล่า แต่ในเมื่อพี่เค้ากล้า เราก้อต้องกล้าสิน่า! ก้อเป็นอันว่าย้ายมาอยู่ด้วยกันราวๆก่อนปีใหม่นิดนึงล่ะมั้ง เป็นการอยู่ด้วยกันอย่างแปลกๆดีเหมือนกัน เด็กที่รอคอยกลับเช้า พี่เค้ายังนอนอยู่ เด็กที่รอคอยตื่นขึ้นมาตอนเย็น พี่เค้าก้อไปทำงานแล้ว และอีกประมาณสี่สิบชั่วโมงจากนั้นเด็กที่รอคอยก้อกลับมาตอนสายๆ เจอหน้าพี่เค้าหน่อยนึงก่อนที่จะซุกตัวในฟูกแล้วนอนหลับปุ๋ยเพราะทำงานติดต่อกันสี่สิบชั่วโมงนั่นน่ะ ตื่นมาอีกที ถ้าเจอพี่เค้าก้ออาจจะนั่งดูทีวีด้วยกันหรือมีบ้างที่ทำอะไรกินกันที่บ้าน แรกๆก้อยังไม่สนิทกันแต่ว่าถ้อยทีถ้อยอาศัยกันสุดๆ คือ ปิดบังสิ่งที่รู้สึกและหลีกเลี่ยงการกระทบกันนั่นแหละ เกรงใจกันสะบั้นหั่นแหลก เพราะพี่เค้าลักษณะแบบนั้นอยู่แล้วด้วยมั้ง ... แต่ว่ามันก้อเปลี่ยนไปหลังจากนั้นไม่นาน เพราะฝีมือเด็กที่รอคอยเอง บางทีก้อแกล้งๆเอาแต่ใจตัวเองบ้าง อยากจะออกไปกินข้างนอกแล้วให้เค้าไปด้วยมั่ง อยากจะไปเดินเล่นซื้อกับข้าวก้อลากเค้าไปมั่ง จนสุดท้ายเราก้อมานั่งคุยกันถึงเรื่องราวของเราว่า ไปไงมาไง จึงมาอยู่ในจุดนี้ได้ เด็กที่รอคอยเชื่อว่า หลังจากวันนั้นที่พี่เค้าเล่าแล้ว เค้าคงทำใจได้กับสรรพสิ่งต่างๆ และนั่นก้อเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเค้าร้องไห้ แม้จะไม่มีสะอึกสะอื้น แต่น้ำตาที่ไหลนั่นก้อบอกได้ดีว่า ถึงแม้จะดูเข้มแข็ง แต่จริงๆแล้วก้อแค่ผู้หญิงคนนึงที่มีอดีตเหมือนกัน แม้ว่าอดีตของพี่เค้าจะไม่รุนแรงเท่าเด็กที่รอคอย แต่โดยสรุปแล้ว เราต่างคนต่างก้อเป็นหม้ายขันหมากเหมือนกัน แต่พี่เค้าก้อเลือกที่จะหายออกมาจากเมืองไทยเพื่อสงบอารมณ์ มาเปิดตา เปิดความคิด และท้ายสุด ก้อยังได้พบกับรักใหม่ ด้วยฝีมือเด็กที่รอคอยอีกเช่นกันครับท่าน! และในระหว่างที่เราเป็นรูมเมทที่ค่อนข้างจะสนิทกันแบบแปลกๆ เด็กที่รอคอยก้อได้พี่เค้านี่แหละคอยดูอยู่ห่างๆ วันไหนเป็นลมวูบเพราะทำงานโอเวอร์โหลด ไม่ได้นอนมาห้าสิบชั่วโมง ก้อได้พี่เค้าลากขึ้นที่นอนแล้วหาของกินมาโด๊ปให้ ถ้าว่างก้อไปเดินช๊อปปิ้งแบบ ดูด้วยตามืออย่าต้อง ด้วยกัน ไปกินข้าวข้างนอกด้วยกันบ้างทำกินด้วยกันบ้าง ไม่สบายก้อได้ยาพี่เค้ามาช่วยชีวิตบ้าง... ความผูกพันมันก้อมีขึ้นเรื่อยๆ ชื่อก้อคล้ายๆกัน มันก้อคงอดรู้สึกไม่ได้ว่า คล้ายจะเป็นพี่เป็นน้องกัน... แต่แล้วก้อมีอยู่ช่วงนึงที่พี่เค้ามาบอกค่อยๆว่า พี่คงจะกลับเมืองไทยก่อนนะ คงจะอยู่ด้วยจนหมดสัญญาบ้านไม่ได้... อันนั้นจริงๆแล้วก้อไม่ใช่ปัญหาหรอกนะ เรื่องค่าเช่าเนี่ยเด็กที่รอคอยรับผิดชอบได้สบายแล้วเพราะตอนหลังมีงานเยอะเงินอู้ฟู่ และจริงๆแล้วเด็กที่รอคอยคิดค่าเช่าห้องพี่เค้าถูกกว่าที่ตัวเองออกอีก ประเด็นจึงไม่ใช่เรื่องเงิน แต่ความเหงามันก้อเข้ามาแทรกในหัวใจอย่างช่วยไม่ได้... ไม่อยากให้ไป แต่ก้อไม่รู้จะทำไง เด็กที่รอคอยก้อกลายเป็นเด็กไปในพริบตา งอแงกับพี่เค้าแล้วก้อหายไปจากบ้านตั้งกะสามทุ่มยันตีสาม ... หายไปนั่งอยู่ในเน็ตคาเฟ่ อีเมล์หาหลินฮุ่ย(ตอนนั้นก้อเพิ่งรู้จักกันใหม่ๆเหมือนกัน พี่เค้าก้อเลยได้รู้จักและรู้เรื่องของเรากับเขามาตลอดตั้งแต่แรก) ที่จริงแล้ว หลินฮุ่ยเขาเป็นคนที่ดีเป็นบางอย่างนะ ถ้าเวลาที่เด็กที่รอคอยกำลังดาวน์สุดๆ เขาก้อพูดจาดีๆได้เป็นเหมือนกัน แต่ก้ออย่างว่า ... แค่คำพูด และพูดให้ดูดี ใครก้อทำได้ ... เพียงแต่ว่าคำพูดที่ดีบางครั้งมันก้อให้กำลังใจเราในตอนท้อแท้สุดๆเหมือนกันนะ เขาบอกว่า @@@@@@@@@@@@@@@ Dear เด็กที่รอคอย, Please cheer up for me! Sounds like you had a rough day...I am so sorry to hear that. It looks like its going to be very hard to find somebody like your friend. She truly sounds like a wonderful person that has given you so much. Don't feel bad for wanting to cry. Sometimes its best to let our emotions out so others know how we feel. It also makes us better because we aren't bottling things up inside. I think you really need to be honest with her. Tell her what you told me in your email. Let her know you love her and she feels like a sister to you. Don't regret anything in life, EVER!!! Tell her why it makes you sad she is leaving, let her know she is more than a friend and most importantly, tell her how much you love her! I know its hard when it comes to matters of the heart especially with friends. Just remember to be glad you found somebody special that means so much to you. My life has been far from easy but I always had the ability to find life's positives. Don't think you have lost a friend to Thailand, believe you have made a friend for life! Just because she is going away doesn't mean you still can't be sisters....I think you will find it will be quite the opposite! Please cheer up for me. I know its been a tough couple of weeks for you but remember to stay positive. Through your own thoughts and actions YOU control the future. FATE is all about keeping all options open and allowing people to touch our very soul (where we feel it the most!) Remember, YOU own the future! Whatever you want to achieve, fulfil or accomplish, you CAN!!! Keep the faith Yours truly หลินฮุ่ย @@@@@@@@@@@@@@@ เด็กที่รอคอยกลับมาบ้านราวๆเกือบตีสี่ได้ พร้อมกับที่พี่เค้ายังนั่งรออยู่ ตาแดงๆเล็กน้อย แต่ยังยิ้มให้อยู่และถามด้วยว่าหิวมั้ย... จะร้องไห้มาหรือเปล่าเด็กที่รอคอยก้อไม่รู้และคิดว่าถึงถามไป คำตอบก้อคงจะเป็น "ไม่ได้ร้อง" แม้ว่าเค้าจะร้อง... รู้สึกเสียใจเหมือนกันที่ไปงอแงกับเค้า ก้อในเมื่อเค้ามีภาระกิจ มีครอบครัวที่เมืองไทย ... เราซะอีกที่ไม่มีใครมาแต่แรก อยู่มาได้ก้อตั้งนานลำบากกว่านี้มาก้อตั้งเยอะ ทำไมจะอยู่ต่อไปไม่ได้ จึงตัดสินใจบอกพี่เค้าว่า ไปเถอะ... อย่าห่วงเลย อยู่คนเดียวได้ แต่พี่เค้าก้อตอบกลับมาว่า "พี่ไม่ไปแล้ว จะอยู่จนถึงวันรับปริญญาเราก่อน แล้วค่อยกลับตามกำหนดการเดิม" แล้วก้อได้พี่เค้านี่แหละที่มาคอยช่วยจัดชุดครุย ถ่ายรูปให้ และช่อดอกไม้ของพี่เค้าก้อสวยที่สุดในบรรดาที่ได้รับเลย ...ของคนอื่นก้อสวยนะ แต่ของพี่เค้าสวยสุด แล้วหลังจากนั้นไม่นานพี่เค้าก้อกลับเมืองไทยไป แต่ก้อยังติดต่อกันบ้างนานๆทีทางอีเมล์หรือ sms เพราะต่างคนต่างยุ่ง แต่ทุกครั้งที่กลับไปเมืองไทย พี่เค้าจะต้องหาเวลามาพบเด็กที่รอคอยให้ได้ซักครั้ง มีอยู่ทีนึงที่ขนาดลงทุนโดดงานเลยวันนึงเพื่อที่จะอยู่ด้วยกันทั้งวัน ซูฮกจริงๆ! ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ คำพูดของหลินฮุ่ยที่เคยพูดไว้ว่า โชคชะตา เป็นเพียงหนทางที่จะเปิดตัวเราเองเพื่อให้ใครสักคนเข้ามาสัมผัสกับวิญญาณและตัวตนของเราเท่านั้น แต่หัวใจเราต่างหากที่จะเป็นผู้เลือกที่จะผูกพันอย่างลึกๆกับใครคนนั้น ... เด็กที่รอคอยก้อคิดว่า ... คงจะจริงอย่างที่เขาพูดเหมือนกันนะ ... เช้านี้พี่เค้าโทรมาพูดประโยคสั้นๆ... "พี่จะบอกว่า คิดถึง เท่านั้นแหละจ้า! เมื่อคืนเรามาเข้าฝันพี่น่ะ แล้วคุยกันใหม่นะวันนี้แค่นี้แหละ คิดถึงจ้า!" ปล่อยเด็กที่รอคอยอึ้งอยู่บนเตียง ...เฮ่ย แค่นี้เองเรอะ แล้วก้อมาชิ่งวางหูไปง่ายๆแบบเนี้ย?! โอ๊ยยย ตรู.. อยากจะเอาหัวโขกหมอน... ทีหลังไม่ต้องบอกแล้ว ป้าแก่เอ๊ยยยย!! ของมันรู้อยู่แล้วเพราะอ้อนก้อคิดถึงพี่เหมือนกัน ...
Create Date : 05 พฤศจิกายน 2548
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2548 4:37:12 น.
10 comments
Counter : 1022 Pageviews.
โดย: เอริ...จัง (เอริ...จัง ) วันที่: 5 พฤศจิกายน 2548 เวลา:4:23:43 น.
โดย: เปาหมู (salapaomoo ) วันที่: 5 พฤศจิกายน 2548 เวลา:19:19:55 น.
โดย: la-la-bell วันที่: 5 พฤศจิกายน 2548 เวลา:21:22:27 น.
โดย: bowbow (thingummy ) วันที่: 6 พฤศจิกายน 2548 เวลา:15:38:04 น.
โดย: เพราะโลกนี้หมุนเราจึงมาพบกัน IP: 58.10.216.181 วันที่: 6 พฤศจิกายน 2548 เวลา:22:40:18 น.
โดย: เพราะโลกใบนี้หมุนเราจึงมาพบกัน IP: 203.146.245.253 วันที่: 7 พฤศจิกายน 2548 เวลา:13:41:31 น.
โดย: too IP: 130.88.164.77 วันที่: 7 พฤศจิกายน 2548 เวลา:18:53:57 น.
โดย: ลูกสาวอีฟ IP: 203.188.50.208 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2548 เวลา:12:21:13 น.
โดย: vee vee' วันที่: 8 พฤศจิกายน 2548 เวลา:21:27:30 น.
Location :
กรุงเทพ Australia
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [? ]
จะเป็นกรวดหรือเพชร ถ้าไปนึกรักมันเข้าแล้วหายไปเมื่อไรก็เสียดาย ยิ่งรักมากก็ยิ่งเสียดายมาก บางคนถึงกับเสียคนไปก็มี "ถ้าเราไม่อยากทุกข์มากไม่อยากเสียคน ก็อย่าไปรักอะไรให้มากนัก ถึงจะรักก็ต้องรู้กำพืดว่ามันเป็นเพชร หรือเป็นกรวด" ถ้ารู้ราคาจริงๆของมันเสียแล้วถึงมันจะหายไป เราก็จะไม่เสียดายมากนัก (จาก "สี่แผ่นดิน" โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช) สงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามมิให้นำไปเผยแพร่และอ้างอิง ส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดของข้อความ ในสื่อคอมพิวเตอร์แห่งนี้เพื่อการค้า โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร ผู้ละเมิดจะถูกดำเนินคดี ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด