|
เมื่อสมองร้องให้หยุดพัก ร่างจักเดินไปที่ๆใจบอก
บางครั้งทุกสิ่งทุกอย่างที่สมองเราสามารถรับรู้ เข้าใจ และคำนวณได้หมดถึงข้อดีข้อเสีย ความผิดความถูก ความควรความไม่ควร ... ก้อกลับไม่ใช่สิ่งที่ความรู้สึกยอมทำตามไปด้วย
เค้าเรียกว่า สมองสั่ง แต่ใจไม่ยอมฟัง ใช่มั้ยคะ
ด้วยความรู้สึกหม่นหมองในใจมานาน ประกอบกับเด็กที่รอคอยไปงานศพพ่อของเพื่อนมาเมื่อคืนนี้ รับรู้ได้ถึงความรู้สึกสูญเสียดังเช่นที่เมื่อก่อนนี้ตัวเราเองก้อเคยสูญเสีย แม้จะไม่ได้มีคำพูดใดๆปลอบใจให้เพื่อน เพียงแค่มองอยู่ห่างๆ แต่ในใจนั้นรู้ตัวเองดีว่า
ถึงเวลาที่เราจะต้องย้ายกลับเข้าโลกส่วนตัวของตัวเองอีกครั้งเสียแล้ว
เพราะว่าแท้จริงแล้วเด็กที่รอคอยไม่ได้เข้มแข็งอะไรเลย จะว่าขี้ขลาดก้อเอาเถิด... ถามว่าไปงานศพใครแล้วรู้สึกกระทบกระเทือนในจิตใจตัวเองมั้ย ... ก้อต้องตอบว่า ใช่ มันยังรู้สึกได้ถึงวันที่เราสูญเสีย แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ยอมออกมาโลกภายนอกอีกต่อไป
เพียงแค่มันยังเป็นภาพที่ติดตา จึงยังรู้สึกอยู่ในใจ
ในชีวิตนี้ เด็กที่รอคอยมั่นใจว่าผ่านความสูญเสียมาแล้วไม่น้อยหน้าใคร เพราะฉะนั้นในใจก้ออาจจะมีบาดแผลที่ทำให้รู้สึกเย็นชากับสรรพสิ่งในโลกบ้าง เลยอาจทำให้ดูเหมือนไม่แคร์ใครเพราะเราเชื่อในตัวเราว่าเรากระทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าอยากทำ
จะดีหรือไม่ดีบางทีก้อไม่ได้คิด เพราะรู้อยู่ว่าตัวเราเองก้อไม่ใช่คนดีวิเศษวิโสอะไร ที่ทำไปก้อเพราะสัญชาตญาณและความรู้สึกถึงบุญและบาป ได้แต่บอกและเตือนตัวเองว่า อย่ากระทำบาปเพิ่มถ้าหากเป็นไปได้ เพราะที่ได้สร้างไว้ มันก้อมากพอแล้ว
ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นคนแข็งแกร่งใดๆเลย ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไปว่าตัวเองแสดงออกว่าตัวเองเป็นคนยังไงจึงทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด (ไม่เกี่ยวกะพี่ปุ๋ยนะ เด็กที่รอคอยรู้ว่าพี่แกรู้ดีอยู่แล้ว ป่านนี้แล้วแกเข้าใจปรุโปร่งเลย ไม่มีเข้าใจผิดแล้ว ก๊ากกกก) ไม่ได้ไประรานใครก่อน แต่ใครมาทำเรา เราจึงตอบกลับไปบ้าง ... แต่ก้อไม่ได้ไปทำชั้นเชิงอะไร คิดยังไงก้อพูดไปอย่างนั้น
หรือไอ้ความเป็นคนตรงไปตรงมาของเรานี่ล่ะมั้งที่ทำให้เดือดร้อนอยู่เสมอ
แต่ก้อเอาเถิด ไม่ว่าใครจะคิดยังไงกับเราว่าตัวตนที่แท้จริงเป็นเช่นไร ก้อไม่เกี่ยวหรือเป็นที่น่าสนใจกับเด็กที่รอคอยอีกแล้ว
เพราะคงจะกลับมาอยู่ในโลกของตัวเองอีกแล้วล่ะ
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
อาบน้ำแต่งตัวเมื่อตอนใกล้เที่ยงวันนี้แล้วก้อโทรฯไปหาไอ้หมอ เพื่อถามทาง ... บางครั้งก้อไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันไม่ทำงานพิเศษเกี่ยวกับการจราจรในประเทศไทยเสียให้รู้แล้วรู้รอด เพราะเด็กที่รอคอยเดือดร้อนเรื่องทิศทางทีไร โทรไปหารายนี้มักไม่ค่อยผิดหวัง
มันจำทางเก่ง และมักจะบอกทางถูกเสมอ โทรไปทีไรถ้าเด็กที่รอคอยขึ้นต้นด้วย "ฮัลโหล...ที่รักเรอะคะ?" ล่ะก้อ คุณหมอเค้าจะทราบดีด้วยสัญชาตญาณเลยว่า "...อ่ะ วันนี้จะไปไหนล่ะหล่อน?" แล้วก้อเตรียมตัวฟังและคิดเส้นทางให้ได้เลย โค๊ดลับเฉพาะสองเราค่ะ
วันนี้ก้อเช่นกัน โทรไปถามตอนเที่ยงๆ คุณหมอ ...ผู้ซึ่งจริงๆแล้วอยู่ในแผนกบริหารและการสอนแล้ว ... กำลังนั่งโซ้ย เอ๊ย..! รับประทานมื้อกลางวันอยู่อย่างเมามันส์ เมื่อเจ๊อะกับประโยคเดิมว่า ที่รัก เธอก้อมีอันได้เงยหน้าจากชามข้าวเพื่อมาบอกทางให้เด็กที่รอคอยว่า
"เธอนั่งรถไฟฟ้าไปถึงหัวลำโพงให้ได้ก่อนค่อยไปหาแท๊กซี่เอาข้างหน้าเอาละกัน ไหว้พระซะมั่งก้อดี พระท่านจะได้ช่วยลดความมืดบอดให้ดวงตามั่ง" ... เด็กที่รอคอยจึงเรียนเชิญเธอกลับไปรับประทานต่อ หาไม่ จะลงทุนวิ่งไปถึงนครปฐมแล้วเอาชามข้าวประแทกปากเธอ
การจราจรไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ถึงวัดโดยสวัสดิภาพเอาตอนบ่าย... พูดก้อพูดเถอะ วันไหนเจอคนขับแท๊กซี่ที่คุยดีและขับดีนี่ถือได้ว่าเป็นโชคดีราวกับวันมงคลเลยนะ วันไหนเจอไม่ดีนี่ อื้อหือ ....!! แทบอยากจะซื้อคอนโดที่อยู่ติดสถานีรถไฟฟ้าทั้งใต้ดินและบนดินให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องไปนั่งแท๊กซี่นานๆอีก มันทรมานน่ะ!
วันนี้อากาศร้อนบรมเลยล่ะ เด็กที่รอคอยทาครีมกันแดดมาแล้วยังต้องทาทับอีกรอบเลย สังเกตว่าไม่ค่อยมีคนไทยเข้ามาดูเท่าไหร่(โชคดีชะมัด) ชาวต่างชาติหัวทองยังโอเคนะ ดูมีมารยาทมากกว่าคนเอเซียด้วยกันเสียอีก ข้ามประตูธรณีก้อเป็นด้วย
แต่พอเจอทัวร์คนจีนเข้าไปนี่... แม่โว้ยยยยย!! มันชนเรากระเด็นอย่างมิเกรงใจเลย เดินไปบ๊งเบ๊งกันไปให้ขวั่กแถมงัดกล้องถ่ายรูปมาถ่ายในที่ๆห้ามถ่ายอีก ดีนะที่เด็กที่รอคอยมีอันอยู่ในอารมณ์สงบของโลกส่วนตัว ไม่งั้นคงมีศึกข้ามชาติกันในวัดมั่งล่ะวะ (อ่า ... ยืนยันว่ารักสงบ และไม่ระรานใครค่ะ )
รูปปลากรอบ : วันนี้เด็กที่รอคอยลืมเอากล้องติดไปด้วย น่ามะโห... ถ่ายไว้ในมือถือก้อยังไม่ได้ซื้อสายมาต่อเครื่องเลย เอาไว้ไปเล่นที่ไหนที่มี wireless ค่อยโหลดให้ดูเนอะ?
ได้เดินเล่นคนเดียว ก้อสบายใจดีเหมือนกันนะคะ เอ่อ...แต่ปกติ ก้อเดินคนเดียวเสมออยู่แล้ว ก๊ากกกก แก้ข่าวนิ๊ดส์นึง ... เด็กที่รอคอยเดินเที่ยวแบบนี้คนเดียวเป็นประจำอยู่แล้ว เพราะมันเดินได้นานดี ไปกะคนที่เค้าไม่ได้อยากไปก้อทรมานกันเปล่าๆ ...
วันนี้ก้อเลยด้อมๆมองๆ ดูเค้าซ่อมแซมงานเขียนภาพผนังวัดอยู่พักใหญ่ๆ แล้วก้อเดินอ่านรามเกียรติ์ตั้งแต่ภาพแรก ไปจนถึงภาพที่เท่าไหร่ก้อไม่รู้ สนุกดีเหมือนกัน ถ้าไปกะคนอื่นคงจะไม่ได้มีโอกาสแบบนี้เพราะมันร้อนแล้วก้อคงไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่
ถามว่าอ่านรู้เรื่องมั้ย ... ก้อ รู้มั่ง ไม่รู้มั่งอ่ะ แต่ตอนอ่านนี่ทำท่าเก๊กว่าอ่านเข้าใจ ตอนเด็กๆนี่ เด็กที่รอคอยไม่เคยได้เรียนนะ เคยแต่ได้ยินเค้าเล่าขานกันมา ก้อจำได้แค่ หนุมาน พระรามพระลักษณ์ นางสีดา ทศกัณฑ์เนี่ยแหละ วันนี้ก้อได้รู้มาว่า เค้าเคยเขียนนามของหนุมาน ว่า หนุมาณ ตามภาษาเก่า และคำไทยหลายๆคำก้อเคยสะกดไม่เหมือนปัจจุบันนี้ ...
ส่วนตัวละครอื่นที่เพิ่มเติมมาวันนี้ก้อมี นางสุวรรณมัจฉา ลิ้นชิวหา สตบุษ อะไรนี่มั้ง... มีอีกสองสามชื่อ แต่ลืมไปละ
เดินไป ยิ้มให้ยักษ์ไป นั่งพักไป ไหว้พระไป ... แล้วก้อนั่งคิดอะไรไปเรื่อย จากที่เคยอยากรู้ว่ามันเป็นมายังไง มันควรจะไปในทิศทางไหน ... ก้อกลับเป็นนั่งทำความเข้าใจในสิ่งที่มันเป็นอยู่ และเริ่มปล่อยวางได้ จะเป็นยังไง ก้อเอาเถิดตามสบาย ... เมื่อก่อนเราอยู่มาได้ บัดนี้เราก้อต้องอยู่ต่อไปได้ ใครดีกับเราจงดีตอบ ใครร้ายกับเรา เลี่ยงได้ก้อเลี่ยงไปอโหสิให้แล้วปล่อยเค้าไปตามเวรตามกรรมของเค้า
อย่าเอาตัวเราเข้าไปเกี่ยวกับบ่วงกรรมของเค้าได้ ก้อจะเป็นการดีที่สุด ต้องหมั่นท่องไว้
ใครจะร้ายเพราะเคยโดนอะไรมาบ้าง และไม่คิดจะดีกับใครอีกเพราะความคิดของเค้าเปลี่ยนไป ก้อเอาเถิด...
เด็กที่รอคอยคงเป็นพวกชอบทำให้ตัวเองเดือดร้อน คงจะไม่มีทางเหมือนเค้าได้ คงจะเรียนรู้ แต่ก้อยังไม่รู้จักที่จะเปลี่ยนตัวเองไปตามโลก เรายังคงยืนยันที่จะเป็นตัวเราอย่างนี้ต่อไป ในวันนี้โลกได้หมุนไปเร็วจนรู้สึกว่า น้ำใจคนเน่าลงไปมาก เราเองไปอยู่ที่ไหนในโลกใบนี้มา? ในยามที่เราเจ็บปวด เราคงเพียงแค่หยุดอยู่เฉยๆ ให้โลกมันหมุนไปกระมัง
ก้อเสียเปรียบเค้านะ
แต่ก้อคงยินยอมที่จะเสียเปรียบ ... เพราะนี่คือธาตุแท้ของเรา อาจจะเพราะว่าคนบางคนเกิดมาเพื่อเสียเปรียบ บางครั้งที่พบกับเรื่องที่เจ็บปวด ก้อต้องปลอบใจตัวเอง นึกถึงคนอื่นๆที่เค้าอาจจะเจอเรื่องแบบเดียวกับเราแล้วผ่านพ้นมาได้ จากเดิมที่เคยทุกข์ทรมานแสนสาหัส บ้านไม่มีจะอยู่ เงินไม่มีในมือ ข้าวไม่มีจะกิน เพื่อนฝูงคนรู้จักไม่มีเหลือเลยสักคน ... ก้ออยู่มาได้ ถึงแม้จะล้มลุกคลุกคลาน ร้องไห้คร่ำครวญอยู่หลายครั้งหลายหน แต่ก้อไม่เคยจะย่อท้อต่อชีวิตอย่างแท้จริงสักครั้ง บางครั้งอยากโกรธแค้นโลกทั้งโลก ...แต่ก้อคิดเสมอว่า ยังมีความหวังในวันหน้า ถึงแม้วันนี้เศร้าโศกเสียใจ ร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหลออกมาแล้วก้อตาม
แต่วันที่ความสุขจะมาถึง ก้อน่าจะมีอยู่จริง เพราะฉะนั้น จึงไม่เคยคิดทอดทิ้งความหวัง ความทุกข์นี้คงจะอยู่กับเราชั่วขณะหนึ่ง ที่ถึงแม้จะยาวนานอยู่มิใช่น้อย
แต่มันก้อต้องผ่านพ้น ... เพราะโลกยังหมุนอยู่ ตามที่มันควรจะเป็น และ เพราะความหวัง คือสิ่งสุดท้ายสิ่งเดียวที่มนุษย์ทุกคนยังมีแอบเก็บเอาไว้ในมุมมืดของจิตใจ
นี่แหละ ... ที่ๆหัวใจบอกให้ไปในวันนี้ และที่ๆคงจะอาศัยอยู่ไปอีกระยะนึงอย่างไม่มีกำหนด
โลกของเด็กที่รอคอย
Create Date : 29 เมษายน 2549 |
Last Update : 29 เมษายน 2549 4:14:36 น. |
|
10 comments
|
Counter : 1106 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Xiaoling วันที่: 29 เมษายน 2549 เวลา:15:59:47 น. |
|
|
|
โดย: กฟพ IP: 58.8.103.204 วันที่: 2 พฤษภาคม 2549 เวลา:0:57:36 น. |
|
|
|
โดย: darknight IP: 58.8.103.204 วันที่: 2 พฤษภาคม 2549 เวลา:1:00:56 น. |
|
|
|
| |
|
|
Location :
กรุงเทพ Australia
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]
|
จะเป็นกรวดหรือเพชร ถ้าไปนึกรักมันเข้าแล้วหายไปเมื่อไรก็เสียดาย ยิ่งรักมากก็ยิ่งเสียดายมาก บางคนถึงกับเสียคนไปก็มี
"ถ้าเราไม่อยากทุกข์มากไม่อยากเสียคน ก็อย่าไปรักอะไรให้มากนัก ถึงจะรักก็ต้องรู้กำพืดว่ามันเป็นเพชร หรือเป็นกรวด"
ถ้ารู้ราคาจริงๆของมันเสียแล้วถึงมันจะหายไป เราก็จะไม่เสียดายมากนัก
(จาก "สี่แผ่นดิน" โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช)
สงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามมิให้นำไปเผยแพร่และอ้างอิง ส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดของข้อความ ในสื่อคอมพิวเตอร์แห่งนี้เพื่อการค้า โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร ผู้ละเมิดจะถูกดำเนินคดี ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด
|
|
|
|
|
|
|
|
ผมเคยเป็นเมื่อหลายปีก่อนนะ
ไปเรียนดำน้ำแล้วบินไปสิมิลันกะกรุ๊ปทัวร์ที่ผมไม่รู้จักใครซักคน
ขอให้ดทรคสบายใจเร็วๆ...จะได้เลี้ยงข้าวเพื่อนๆซะที