อย่าให้ชะตาชีวิตมากำหนดเส้นทางให้คุณเดิน สร้างชีวิตและเส้นทางให้โชคชะตาเดินตามคุณ

<<
พฤศจิกายน 2549
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
5 พฤศจิกายน 2549
 

“ประชาธิปไตย” (สุดท้าย) ก็แค่คำโฆษณา

ถ้าเปรียบ ประชาธิปไตยเป็นสินค้าชนิดหนึ่ง ประชาชนผู้ซึ่งมีความรู้มากขึ้น เพราะผลจากการขัดกล่อมของสื่อมวลชน ทั้งของรัฐ ของฝ่ายตรงข้าม และจากปากของนักการเมืองหลากสายพันธุ์ ก็ทำให้ “สัตว์ภาษี” อย่างพวกผมชักสงสัยในคุณสมบัติของตัวสินค้าซะแล้วซิว่า มันจะสามารถ ทำได้จริงอย่างที่โฆษณาไว้ รึเปล่า

ราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายของคำว่า "ประชาธิปไตย" ไว้ในหนังสือพจนานุกรมของทางราชการว่า "แบบการปกครองที่ถือมติปวงชนเป็นใหญ่" อดีตประธานาธิบดี ลินคอนของสหรัฐอเมริกาก็เคยกล่าวไว้เป็นเสมือนคำคมว่า "รัฐบาลประชาธิปไตย คือ รัฐบาลของประชาชน เพื่อประชาชน และโดยประชาชน” ซึ่งหมายถึงระบบการปกครอง ที่รัฐบาลในระบบประชาธิปไตยจะให้โอกาสอันเท่าเทียมกันในการดำรงชีวิต การแสวงหา ความสุข เป็นต้น

และที่ประชาธิปไตยได้สัญญาอะไรไว้กับประชาชนว่า ประชาชนทุกคนต้องมี สิทธิ เสรีภาพ และภราดรภาพ แต่พอกลายเป็นรัฐธรรมนูญ ก็มีการเพิ่มเติมเข้าไปว่า “ตามที่กฎหมายบัญญัติ” ซึ่งก็ทำให้มันไม่แตกต่างไป กับสินค้าที่วางขายอยู่ทั่วไป ตามห้างค้าปลีกต่างชาติ ซึ่งไม่ได้มีกำไรจากการขายสินค้า แต่มีกำไรจากการกัดกร่อนวัฒนธรรมของผู้คนในท้องถิ่น จะไปโทษประชาธิปไตยก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องของ “อุดมคติ” คือไม่มีอยู่จริง และเป็นเพราะธรรมชาติของมันอยู่แล้วที่ ทุกระบบย่อมมีจุดอ่อน

และนี่ไงที่ทำไมระบบทุนนิยมถึงเข้าขากันดีนัก กับประชาธิปไตย เพราะมีกลไกการทำงาน (มือที่มองไม่เห็น) ที่หลอกลวงประชาชนเหมือนกันนั่นเอง บอกแต่สิ่งดีๆ ของสินค้า ว่าจะช่วยแก้ปัญหานู่น ปัญหานี่ ไม่เคยบอกข้อบกพร่อง ต้องรอจนกว่าผู้ใช้จะพบด้วยตนเอง หรือถ้าโชคดี สินค้าก็พังเสียก่อนที่จะพบข้อบกพร่อง แต่ที่ผ่านมามันพังเพราะจุดบกพร่องที่ตั้งใจวางกันไว้ เพราะคนที่ดูแลประชาธิปไตยอยู่ หรือที่อาจเรียกว่า "นักการตลาดประชาธิปไตย" ร่างคู่มือการใช้แบบมีวัตถุประสงค์แอบแฝง ทำนองที่ว่า ข้อที่หนึ่งฉันไม่ผิด ข้อที่สองถ้าฉันผิดให้ดูข้อที่หนึ่ง ผู้จัดการประชาธิปไตย ก็ยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ เสวยอำนาจกันจนพุงปลิ้น

ประเทศไทยเป็นประเทศกสิกรรม มีชาวนาเป็นล้านๆ คน และการเปิดโอกาสให้มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นในภาคอุตสาหกรรม ก็เลยมี กรรมกรโรงงาน เพิ่มขึ้นมาอีกเป็นล้านๆ คน รวมทั้งชาวนาและกรรมกร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอีสาน รวมทั้งหมดก็แค่เกือบค่อนประเทศ แต่รายชื่อสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติทั้ง 242 คนนั้น หาไม่เจอเลย คณะสมัชชาแห่งชาติ และสภาร่างรัฐธรรมนูญก็คงไม่แตกต่างกัน ชาวนาและกรรมกรไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ คนกรุงเทพฯ ไม่รู้บ้างเลยหรือว่า ทำไมผู้นำของเราต้องไปเยือนอีสานก่อนอื่น ไปที่ศูนย์กลางรัฐอีสาน ก็คงเป็นเพราะที่นั่น มีแรงงานชาวนา และกรรมกร มากที่สุดในประเทศ กว่า 10 ล้านคน กระมัง หรือไปหา "ค้อนกับเคียว" แล้วบอกว่า กรุณาอย่าเพิ่งหยิบ

การที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ดันทุรังแต่งตั้ง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยอ้างความชอบธรรมนานับประการ โดยสรุปอย่างมีนัยยะ ก็เพื่อต่อสู้กับระบอบทักษิณ จึงถือเป็นนโยบายที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง เพราะแท้ที่จริงแล้ว เรากำลังต่อสู้กับระบบอำนาจนิยม ที่แฝงตัวมาในรูปแบบของความโลภ และการโกหกหลอกลวงมากกว่า กลายเป็นว่าในขณะนี้ รัฐไทยกำลังเปิดศึก 3 ด้าน ทั้งด้านทุนนิยมกระแสหลัก ทั้งด้านสาธารณะรัฐนิยม และด้านอำนาจนิยมเก่า และได้ทำให้ประชาชน เชื่อได้อย่างสนิทใจเลยว่า สิ่งที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่ก็เพียงแค่อีกด้านหนึ่งของเหรียญ สถานการณ์ที่ตึงเครียดกว่านี้กำลังรออยู่ รัฐบาลเก่าและรัฐบาลใหม่ ไม่มีอะไรที่แตกต่างกันมาก ก็แค่เลวก่อน กับเลวทีหลัง เท่านั้นเอง

ล่าสุด การออกมาเดินขบวนท้าทายกฎอัยการศึกของ "องค์กรภาค ประชาชน 70 องค์กร" เพื่อแสดงเจตนารมณ์เรื่องการมีส่วนร่วมภาคประชาชน 12 ข้อ โดยการร้องขอให้มี "สภาคู่ขนาน" ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ ประชาชน มองผ่านๆ แล้วอาจดูเหมือนไม่มีอะไร แต่แท้ที่จริงแล้ว มันเป็นการเสนอรูปแบบการปกครองแบบใหม่ ในแบบที่ประชาชนต้องการ แต่ไม่เคยได้รับมาก่อน

ประชาชนส่วนใหญ่ ชักจะรู้สึกเบื่อกับการปกครองแบบเก่าแล้ว เพราะคำมั่นสัญญาที่ไม่สามารถปฏิบัติได้ ถ้ารัฐธรรมนูญที่กำลังจะถูกเขียนออกมา ไม่ยอมลดแรงกดดันของสังคม โดยการให้ทางเลือกในการปกครองไว้ทั้งแบบเลือกตั้ง และแบบแต่งตั้ง แบบหนึ่งประเทศทุกระบบ ประกอบกับการยกเลิกกฎอัยการศึก รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็อาจจะกลายเป็นฉบับที่นองเลือดมากที่สุด อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์รัฐไทย เพราะฝ่ายสาธารณะรัฐก็ได้แอบปลูกเมล็ดพันธุ์ของตน ในรูปแบบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

มีคนบอกว่า"เพราะถ้าไพร่และทาสอย่างพวกเรา งอมืองอเท้าไม่ทำอะไร ความฝันของพวกเรา ก็ยากที่จะเป็นความจริง เราจึงต้องสร้างความฝันนั้นด้วยมือของเรา และอาวุธของเรา และเราจะไม่หวังพึ่งใครอีก" แล้วในที่สุดไดนาโมปั่นไฟให้แสงสว่าง บนทางเดินไปสู่สาธารณะรัฐก็เริ่มสว่างไสวขึ้นแล้ว เวลานี้ เป็นไดนาโมแบบสามเฟสซะด้วย ทุนนิยม อำนาจนิยม สาธารณะรัฐนิยม ที่มีรัฐบาลทั้งสองคณะเป็นผู้กันช่วยผลักดัน



Create Date : 05 พฤศจิกายน 2549
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2549 14:37:27 น. 2 comments
Counter : 425 Pageviews.  
 
 
 
 
จะเอาให้ทุกคนพอใจนั้นคงยาก ไม่ว่าจะระบอบอะไรก็เหอะ

ดูเหมือนคนที่จะพอใจและสบายใจที่สุดก็คือ คนที่ได้ประโยชน์จากเหตุการณ์ ณ ขณะนั้น นั่นแหละ
 
 

โดย: Plin, :-p วันที่: 5 พฤศจิกายน 2549 เวลา:20:47:20 น.  

 
 
 
ไปขับไล่มันกันเถอะ
 
 

โดย: หอมกร วันที่: 13 พฤศจิกายน 2549 เวลา:8:34:06 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

เหนือลิขิต
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีท่านที่หลงเข้ามาในเว็บบล๊อกแห่งนี้ทุกท่าน

อย่าเพิ่งแปลกใจที่ได้อ่านอะไรไปโดยที่ยังไม่ได้เห็นแม้เงาของผู้เขียน อยากจะบอกว่าผมเอง เป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย จนหลายคนอาจจะตกใจกับการปฏิบัติตน แนวความคิดของผม ไม่ถึงกับต่อต้านสังคม เพียงแต่อยากให้สังคมได้รับรู้ และมีทางเลือกในสิ่งที่ดีกว่า เพราะการมีโอกาสได้รู้ ได้เห็น ในสิ่งต่างๆ มามากพอควรแล้ว ต่อไปนี้จึงเป็นการลงมือทำ โดยเริ่มต้นด้วยการเขียน และสิ่งต่างๆที่เขียนก็ล้วนเป็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ในประเทศไทยของเรานี้

ขอทุกท่านจงโปรดช่วยชี้แนะ
[Add เหนือลิขิต's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com