กระแตไต่ไม้ (Drynaria quercifolia)
https://is.gd/gdBsEF ชื่อวิทยาศาสตร์ : Drynaria quercifolia (L.) J. Sm.ชื่อวงศ์ : POLYPODIACEAEชื่อสามัญ : Oak-leaf Fernชื่อพื้นเมือง : กระแตไต่ไม้ (ภาคกลาง), กระปรอก (จันทบุรี), กระปรอกว่าว (ประจวบคีรีขันธ์, ปราจีนบุรี), กูดขาฮอก เช้าวะนะ พุดองแคะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), เดาน์กาโละ (มลายู-ปัตตานี), ใบหูช้าง สไบนาง (กาญจนบุรี), สะโมง (ส่วย-สุรินทร์), หัวว่าว (ประจวบคีรีขันธ์) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นเฟิร์นอิงอาศัย เหง้าทอดยาว เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 - 4 ซม. ยาวได้ถึง 1 ม. หรือมากกว่า มีเกล็ดสีน้ำตาลแดง เกล็ดแคบ กว้างประมาณ 1 มม. ยาวประมาณ 1.8 ซม. ปลายเรียวยาว มีราก ขนอ่อนสีน้ำตาล มักพบเกาะอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ หรือโขดหินที่ชุ่มชื้น ในป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง ป่าชายเลน ลักษณะทั่วไปของเฟิร์นสกุลนี้ มีเหง้าอวบอ้วนและสั้น ไม่มีข้อปล้อง ปีนเกาะกับสิ่งที่ยึดเกาะ เหง้ามีขนหรือเกล็ดเป็นเส้นสีน้ำตาลแดงปกคลุมทั่ว และมีรากอยู่หนาแน่นด้านล่างเหง้า ใต้เหง้ามีรากสีน้ำตาล ทำหน้าที่ยึดเกาะและหาอาหาร ใบมี 2 แบบ คือ ใบกาบหรือใบตะกร้า (base frond หรือ nest-leaves ) ใบกาบ ไม่มีก้าน รูปไข่ ปลายแหลม โคนมน ขอบใบหยัก ตื้น ปลายมน ใบกาบจะผลิออกมา ในช่วงฤดูฝน เป็นสีเขียวอ่อน เมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูแล้ง จะแห้งเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลติดอยู่กับเหง้า ทำหน้าที่เก็บสะสมเศษซากอินทรีย์วัตถุ ใบแก่จะไม่หลุดทิ้งจากต้น จะอยู่ติดไปตลอดจนเปื่อยผุพังhttps://e-learning.yru.ac.th/dbscience/index.php ใบอีกชนิด ใบจริง หรือใบที่สร้างสปอร์ (foliage-leaves หรือ fertile frond) มีก้านยาว ขอบใบหยักเป็นพูลึก โคนใบย่อยติดกัน ดูคล้ายใบประกอบขนนก หรือเป็นใบประกอบแบบขนนก เส้นใบเป็นร่างแห อับสปอร์มีขนาดเล็ก เรียงเป็นแถวเดี่ยว หรือ 2 แถว ขนานไปตามแนว เส้นกลางใบ ไม่มีเยื่อปิดกลุ่มอับสปอร์ (indusium)https://www.siamensis.org/node/2576/revisions/3957 เฟิร์นสกุลนี้มักพักตัวในหน้าหนาว ตั้งแต่เดือน พ.ย. โดยใบกาบจะเริ่มแห้งเป็นสีน้ำตาลติดอยู่กับเหง้า และจะติดตลอดไปจนกว่าจะผุพังเพื่อเป็นอาหารเลี้ยงต้น ส่วนใบสปอร์จะอยู่กับต้นไปอีกระยะหนึ่ง จนกระทั่งใบแก่และหลุดร่วงตามหลัง ราวเดือน ม.ค. โดยเหลือทิ้งก้านติดเหง้าไว้ ทำให้ดูเหมือนมันตายแล้ว เมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อน เดือน มี.ค. ใบสปอร์ชุดใหม่จะเริ่มผลิออกมา และสร้างสปอร์เตรียมไว้ เพื่อกระจายสปอร์ออกไปก่อนฤดูฝน จนเมื่อฝนเริ่มตก ราวเดือน พ.ค. ใบกาบจะเริ่มผลิออกมาใหม่ พร้อมกับปลายยอดเหง้าเจริญเติบโตเลื้อยยาวออกไปกระจายพันธุ์ อยู่ตามป่าเขตร้อน ตั้งแต่อาฟริกาไปถึงเอเซีย จีนตอนเหนือถึงตอนใต้ของออสเตรเลีย หมู่เกาะแปซิฟิค มีจำนวนราว 20 ชนิด ในออสเตรเลียมี 3 ชนิด ในบ้านเรามี 7 ชนิดขยายพันธุ์ : โดยการเพาะสปอร์ แยกหน่อ สรรพคุณ : ส่วนหัวของกระแตไต่ไม้ - ปรุงเป็นยาต้มรับประทานเป็นยาขับปัสสาวะ แก้นิ่ว แก้ปัสสาวะพิการและกระปริบกระปรอย - ขับระดูขาว - แก้เบาหวาน - แก้ไตพิการ - เป็นยาคุมธาตุ - เป็นยาเบื่อพยาธิวิธีใช้ : ใบ - ตำพอกแผล แก้แผลเรื้อรังและแผลพุพอง ส่วนหัวของกระแตไต่ไม้ -ใช้ต้มรับประทาน ในมาเลเซียใช้เป็นสมุนไพร นำเหง้ามาบดพอกแก้บวมhttps://www.sv-spicy2010.com/index.php?topic=2497.0 อ้างอิง : https://www.212cafe.com/freewebboard/view.php? https://www.sv-spicy2010.com/index.php? https://huaikumboard.ob.tc/-View.php?N ღ ♥ .* Peace and Love *.♥ ღ
Create Date : 05 มีนาคม 2555
54 comments
Last Update : 17 มกราคม 2564 18:07:45 น.
Counter : 11354 Pageviews.
มีความสุข เบิกบานกับวันทำงานนะค่ะ..^^