เปิดมุมคิดและการทำงาน “นักภัณฑารักษ์” มิวเซียมสยาม “คุ้ยประเด็น-ตีความใหม่” สร้างนิทรรศการไฉไลโดนใจผ

คำว่า“ภัณฑารักษ์” ในแวดวงพิพิธภัณฑ์ไทยนั้นหมายถึงผู้ดูแลรักษาวัตถุโบราณล้ำค่าของชาติในขณะที่ “มิวเซียมสยาม” พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ต้นแบบในการสร้างการเรียนรู้อย่างเพลิดเพลิน ภัณฑารักษ์กลับมีภารกิจและหน้าที่แตกต่างไปอย่างน่าสนใจ

เพราะ“ภัณฑารักษ์” หรือ “นักจัดการความรู้” ในสังกัดของ สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติและ มิวเซียมสยาม นั้นเป็นทั้ง “นักวิชาการ” และ “นักคิด” ที่ต้องผสมผสานระหว่างความคิดสร้างสรรค์ข้อมูลเชิงวิชาการ มุมมองทางสังคมศาสตร์ หลักฐานทางมานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์มุมมองด้านวิทยาศาสตร์ หรือแม้กระทั่งเรื่องราวทางไสยศาสตร์ โดยนำประเด็นหรือเรื่องราวที่น่าสนใจมา“ตีความ” ในมุมมองที่แปลกใหม่ สร้างสรรค์เป็นนิทรรศการสุดเก๋และโดนใจ เพื่อเป็นเครื่องมือกระตุ้นให้เกิดการต่อยอดการเรียนรู้ให้กับผู้ชม

“พาฉัตรทิพทัส” นักจัดการความรู้อาวุโส สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติกล่าวว่าการผลิตนิทรรศการสักเรื่องหนึ่ง มีวิธีการทำงานที่ไม่แตกต่างไปจากการทำ Thesis หรืองานวิจัย ลักษณะคล้ายวิทยานิพนธ์ขนาดย่อม และที่สำคัญคือมิวเซียมสยามไม่ได้จัดแสดงวัตถุจัดแสดงหรือวัตถุโบราณเหมือนพิพิธภัณฑ์อื่นๆดังนั้นการนำเสนอจึงสร้างสรรค์ให้เกิดมุมมองในหลายมิติ

“เราไม่ได้แสดงวัตถุจัดแสดงเพราะว่าจริงๆ แล้วเราจัดแสดงเรื่องราวของวัตถุนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวหรือแง่มุมทางประวัติศาสตร์เชิงมานุษยวิทยา หรือเชิงวิทยาศาสตร์ นิทรรศการหลายๆเรื่องที่ผ่านมาอย่างนิทรรศหลงรัก ซึ่งเรามีวัตถุจัดแสดงที่มีคุณค่าแต่เราใช้วัตถุจัดแสดงเป็นเครื่องมือในการเล่าเรื่องในประเด็นที่เชื่อมโยงไปสู่เรื่องราวในด้านต่างๆมากกว่าการโชว์วัตถุชิ้นนั้นๆ”

“วรกานต์วงษ์สุวรรณ”นักจัดการความรู้อาวุโส สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติเล่าว่าการสร้างสรรค์นิทรรศการของมิวเซียมสยามแตกต่างไปจากพิพิธภัณฑ์ทั่วไปคือ ไม่ได้มีแนวคิดในการนำของโบราณที่มีอยู่แล้วมาตั้งจัดแสดงเพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่กลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ต้องการเข้ามาชม


“มิวเซียมสยามทำนิทรรศการเชิงประวัติศาสตร์หลายครั้งถ้าเป็นที่อื่นๆ ก็คงเอาของโบราณที่เกี่ยวข้องมาจัดแสดงแต่เราจะพยายามทำให้เรื่องราวในประวัติศาสตร์นั้นมาเชื่อมโยงกับเรื่องราวทางสังคมและเรื่องราวๆอื่นใกล้ตัว หรือแม้กระทั่งเรื่องของความเชื่อก็นำเอามาผนวกกับวิถีชีวิตของคนเพื่อให้ผู้ชมได้มองเห็นว่าเนื้อหาสำคัญของชุดนิทรรศการเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สามารถเข้าถึงและสัมผัสได้”

“ทวีศักดิ์วรฤทธิ์เรืองอุไร”นักจัดการความรู้อาวุโส สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติระบุว่าการที่จะทำนิทรรศการขึ้นมาสักเรื่องหนึ่ง การค้นหาข้อมูลจากในโลกออนไลน์แทบจะไม่เกิดประโยชน์ต้องค้นคว้าจากเอกสารอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ ตำรา หรืองานวิจัยต่างๆทั้งจากห้องสมุดในเมืองไทยหรือแม้แต่ในต่างประเทศเป็นหลัก

“เพราะว่าถ้าเราใช้สื่อออนไลน์หาข้อมูลคนอื่นๆ ก็หาได้ แล้วเขาก็รู้เหมือนกับเรา เมื่อทำออกมาเป็นนิทรรศการก็ไม่มีความน่าสนใจเพราะเขารู้กันอยู่แล้ว”

หลายครั้งที่เหล่าภัณฑารักษ์ได้รับ“โจทย์” ที่แค่ฟังหัวข้อก็น่าเบื่อแล้วเช่น เรื่องของภูมิปัญญาไทยไม่ว่าจะเป็นการปลูกข้าวหรือผ้าไหมไทยแต่เมื่อหัวข้อเหล่านี้ได้รับการ “ตีความ” เรื่องราวทั้งหมดเสียใหม่ ก็เกิดเป็นนิทรรศการที่ดึงดูดความสนใจให้ผู้คนเข้ามาซึมซับรับรู้เข้าใจภูมิปัญหาไทยได้อย่างไม่รู้ตัว

“ภูมิปัญญาเป็นเรื่องที่วัยรุ่นฟังแล้วเบื่อเพราะมันเป็นคำที่ตายไปแล้ว คิดอะไรไม่ออกบอกไม่ถูกก็ใช้คำว่าภูมิปัญญาไว้ก่อนเราก็ตีความเสียใหม่อย่างเรื่องข้าวก็ตีความว่าชาวนาคือนักค้นคว้าหรือนักวิจัยแห่งท้องทุ่งการปลูกข้าวเป็นวิทยาศาสตร์มีทั้งวิชาเคมี ชีววิทยา และฟิสิกส์ เช่นเครื่องจักรกล 8 อย่าง เช่น รอก เฟือง คาน ที่เราเคยเรียนสมัยเด็กซึ่งลืมกันไปแล้ว เอาเรื่องนี้มาผสานกับเรื่องทางสังคมและนำภูมิปัญญามาอธิบายให้เป็นวิทยาศาสตร์”พาฉัตรกล่าว


“หรือการนำเสนอเรื่องไหมไทยก็ถูกตีความใหม่และนำเสนอเป็นนิทรรศการมองใหม่ด้ายไหม โดยมองให้กว้างขึ้นว่าไหมเป็นอะไรได้มากกว่าเสื้อผ้าเช่น ไหมเย็บแผล ที่คนโบราณเอามาใช้เย็บแผล เมื่อก่อนไม่มีใครรู้ว่าเพราะอะไรถึงนำสิ่งนี้มาใช้ก็บอกไปว่าเป็นภูมิปัญญา แต่ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์พบว่าเส้นไหมคือโปรตีนที่เข้ากันได้กับร่างกายมนุษย์เมื่อนำไปเย็บแผลแล้วจะช่วยป้องกันไม่ให้แผลอักเสบ นี่คือการตีความที่ทำให้เกิดมิติใหม่ในการมองเส้นไหมที่ไปไกลกว่าแค่เสื้อผ้า” ทวีศักดิ์อธิบายเสริม

ใช่ว่าจะมองและตีความเรื่องเก่าๆในมุมมองเชิงบวกเท่านั้น บางครั้งทีมภัณฑารักษ์ก็นำเสนอภูมิปัญญาเหล่านี้ในเชิงลบแต่สร้างสรรค์เช่นนิทรรศการเรื่อง “กินของเน่า” ที่สวนกระแสภาพลักษณ์อาหารไทยที่ต้องรสชาติดีมีประโยชน์และสวยงามแต่แท้ที่จริงแล้วอาจกำลังกินของเน่า เพราะวัตถุดิบบางอย่างก่อนจะนำมาปรุงเป็นอาหารต้องผ่านการเน่าเสียชนิดที่เรียกว่าเน่าจนเกินเน่า ซึ่งการนำเสนอแบบห่ามๆในครั้งนั้นได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้ชม

โดย“ภัณฑารักษ์” ทั้ง 3คนกล่าวถึงหัวใจในการสร้างสรรค์นิทรรศการให้ประสบความสำเร็จเป็นเสียงเดียวกันว่าทุกครั้งเมื่อเปิดนิทรรศการแล้วพวกเขาจะเข้าไปแอบดูผู้ชมตามจุดต่างๆ คอยฟังและดูพฤติกรรมของผู้ชม ว่าสนใจอะไร ดู อ่าน หยุด ตำหนิ หรือชื่นชมตรงจุดไหนเพื่อนำมาปรับปรุงรูปแบบและวิธีการนำเสนอในครั้งต่อไปให้สอดรับความพฤติกรรมและความต้องการของผู้ชมให้มากยิ่งขึ้น

“ภัณฑารักษ์เป็นอาชีพที่สอนกันไม่ได้เพราะการทำงานแต่ละครั้งไม่มีอะไรที่เหมือนเดิม มันเหมือนกับการทำงานวิจัยใหม่ทุกครั้งเบื้องหน้าย่อมดูสนุกและสวยงาม ในขณะที่เบื้องหลังค่อนข้างโหดร้าย ไม่ได้มีต้นแบบให้ใครสามารถทำตามได้เพราะหัวข้อมักเปลี่ยนตลอด แต่ทุกคนก็สามารถเรียนรู้ พัฒนาตนเอง และสะสมประสบการณ์ให้เพิ่มพูนที่สำคัญคือต้องลองผิดลองถูกและแก้ไข” พาฉัตรกล่าวถึงการเตรียมความพร้อมคนรุ่นใหม่ที่สนใจงานในสาขาอาชีพนี้

“นักจัดการความรู้” หรือ “ภัณฑารักษ์” นับว่าเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่มีความน่าสนใจ เพราะห้วงเวลานับต่อจากนี้พิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้หลายๆ แห่งทั่วประเทศกำลังยกระดับและพัฒนาตนเองให้ก้าวไปสู่การเป็นแหล่งเรียนรู้อย่างรื่นรมย์สำหรับผู้คนในสังคมทุกเพศวัย

MuseumCulture จะเกิดขึ้นในสังคมได้หรือไม่ค่านิยมหรือทัศนคติของคนไทยต่อพิพิธภัณฑ์จะเปลี่ยนไปมาน้อยแค่ไหน ส่วนหนึ่งคงต้องฝากความหวังไว้ที่“ภัณฑารักษ์” รุ่นใหม่นับจากนี้.




Create Date : 28 สิงหาคม 2558
Last Update : 28 สิงหาคม 2558 15:40:44 น.
Counter : 1899 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ควายน้อยดีใจได้ไปโรงเรียน
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ฉันเขียนภาษาไทย
สิงหาคม 2558

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
18
19
20
21
22
24
25
26
29
30
31
 
 
All Blog