1
2 3 4 5 6 7 8
9 10 11 12 13 14 15
16 17 18 19 20 21 22
23 24 25 26 27 28 29
30
รวมเพลงชาติของสยามประเทศ สามยุคสามสมัย พ.ศ. ๒๔๗๕, ๒๔๗๗ และ ๒๔๘๒ ครับ
บังเอิ้ญ บังเอิญไปเจอเพลงทรงคุณค่าเหล่านี้จากเวป พิพิธภัณฑ์เครื่องเล่นกระบอกเสียงและหีบเสียงไทย ครับ เลยขอเอามาใส่เพื่อเป็นเกียรติแก่บล็อคเล็กๆ นี้ และแบ่งปันให้เพื่อนๆ ที่ยังไม่เคยฟังได้ฟังกันด้วย (ทางเวปคงไม่ว่ากันเน้อ ของดีๆ อย่างนี้ไม่เผยแพร่มันน่าเสียดายครับ) ใครเคยฟังแล้วก็ขออภัยนะครับ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แปะเพลงชาติไทยแล้ว เลยว่าจะเก็บประวัติความเป็นมาของเพลงชาติไทยมาฝากด้วย แต่ค้นไปค้นมาแต่ละแหล่งข้อมูลก็มีประวัติที่หลากหลายแตกต่างกัน ผมเลยจับสรุปรวมๆ กันมา เอาเป็นว่า...ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแหล่ะครับ อ่านเล่นๆ พอเป็นความรู้รอบตัวละกันนะครับ...
ประวัติเพลงชาติไทย ปี พ.ศ. 2395 ในปลายรัชสมัย พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้มีนายทหารอังกฤษ 2 คนชื่อ ร้อยเอกอิมเปย์ (Impey) และ ร้อยเอกน๊อกซ์ (Thomas G. Knox) เข้ามาเป็นครูฝึกทหารเกณฑ์ ในวังหลวงและวังหน้า ได้ใช้เพลง 'God Save the Queen' ซึ่งเป็นเพลงประจำชาติของอังกฤษเป็นเพลงฝึกสำหรับทหารแตร ซึ่งในการฝึกทหารของไทยสมัยนั้น ใช้ตามแบบอย่างของประเทศอังกฤษทั้งหมด ดังนั้นเพลง 'God Save the Queen' จึงถูกใช้เป็นเพลงเกียรติยศสำหรับกองทหารไทยใช้ถวายความเคารพต่อพระมหากษัตริย์ด้วย และเรียกกันว่า 'เพลงสรรเสริญพระบารมีอังกฤษ' ต่อมา พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ได้ประพันธ์เนื้อร้องขึ้นมาใหม่ โดยใช้ทำนองของเพลง 'God Save the Queen' และตั้งชื่อเพลงขึ้นใหม่ว่า 'จอมราชจงเจริญ' และนี่นับเป็นเพลงชาติฉบับแรกของประเทศสยาม แต่ในปี พ.ศ. 2414 เมื่อ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จประพาสเมืองสิงคโปร์ ในขณะนั้นสิงคโปร์ยังเป็นเมืองขึ้นของประเทศอังกฤษอยู่ กองทหารดุริยางค์ สิงคโปร์ก็ได้บรรเลงเพลง 'God Save the Queen' เพื่อถวายความเคารพเช่นกัน พระองค์จึงทรงตระหนักว่าประเทศสยาม จำเป็นจะต้องมีเพลงชาติที่เป็นของตัวเองขึ้น เพื่อแสดงถึงความเป็นเอกราชของชาติ ครั้นเมื่อทรงเสด็จกลับถึงพระนคร จึงได้โปรดให้ตั้งคณะครูดนตรีไทยขึ้น เพื่อทรงปรึกษาหาเพลงชาติที่มีความเป็นไทยมาใช้แทนเพลง 'จอมราชจงเจริญ' และคณะครูดนตรีไทย ได้เลือก 'เพลงทรงพระสุบัน' หรือ 'เพลงบุหลันลอยเลื่อน' ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 โดยนำมาเรียบเรียงใหม่ ให้มีความเป็นสากลขึ้นโดย เฮวุดเซน (Heutsen ) ซึ่งก็นับเป็นเพลงชาติไทยฉบับที่สอง และใช้บรรเลงในระหว่างปี พ.ศ. 2414-2431 สำหรับ เพลงชาติไทยฉบับที่สาม คือ 'เพลงสรรเสริญพระบารมี' อย่างที่ยังได้ยินในปัจจุบันนั่นเอง ซึ่งเพลงนี้ประพันธ์โดย ปโยตร์ สชูโรฟสกี้ (Pyotr Schurovsky) นักประพันธ์ชาวรัสเซีย คำร้องเป็นพระนิพนธ์ของ สมเด็จฯ กรมพระนริศรานุวัตติวงศ์ ใช้บรรเลงเป็นเพลงชาติ ในระหว่างปี พ.ศ. 2431-2475 เพลงชาติไทยฉบับที่สี่ เกิดขึ้นภายหลังจากที่ประเทศสยามได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ซึ่งเพลงชาติฉบับนี้เป็นเพลงชาติฉบับชั่วคราว เนื่องจากคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้มีความต้องการที่จะสร้างเพลงชาติขึ้นมาใหม่อยู่แล้ว โดยได้มอบหมายให้ พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร หรือชื่อเดิม ปีเตอร์ ไฟท์ (Peter Feit) เป็นชาวต่างชาติ) เป็นผู้ประพันธ์ แต่ไม่สามารถเสร็จทันเวลาได้ ในระหว่างรอเพลงชาติจากพระเจนดุริยางค์อยู่นั้น คณะผู้ก่อการเลยนำเอาทำนองเพลงไทยเดิม คือ 'เพลงมหาชัย' มาใช้ก่อนเป็นการชั่วคราว โดยให้ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เสนาบดีกระทรวงธรรมการในสมัยนั้น เป็นผู้ประพันธ์เนื้อร้อง ซึ่งมีเนื้อหาปลุกใจให้คนไทยเกิดความรักชาติ และเกิดความสามัคคี ตลอดจนให้เลื่อมใสในรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีเนื้อร้องดังนี้
ยามอยู่คู่ฟ้าอย่าสงสัย เพราะชาติไทยเป็นไทยไปทุกเมื่อ ชาวสยามนำสยามเหมือนนำเรือ ผ่านแก่งเกาะเพราะเพื่อชาติพ้นภัย เราร่วมใจร่วมรักสมัครหนุน ธรรมนูญสถาปนาพรรษาใหม่ ยกสยามยิ่งยงธำรงชัย ให้คงไทยตราบสิ้นดินฟ้า แต่เพลงชาติฉบับ 'เพลงมหาชัย' นี้ก็ถูกใช้อยู่ไม่นาน เมื่อเพลงชาติไทยฉบับที่ห้า คือเพลงชาติฉบับที่พระเจนดุริยางค์เป็นผู้ประพันธ์ทำนองได้เสร็จสิ้นลงเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2475 และประพันธ์เนื้อร้องโดย ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์ ) โดยได้บรรเลงครั้งแรก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมเมื่อ วันที่ 7 กรกฎาคม 2475 ซึ่งทำนองของเพลงชาติไทยฉบับนี้ก็เป็นต้นแบบของเพลงชาติไทยมาจนปัจจุบัน ลองฟังกันดูครับ... เพลงชาติไทยสมัย พ.ศ. ๒๔๗๕ คำร้อง: ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) ทำนอง: พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) แผ่นดินสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง ไทยเข้าครองตั้งประเทศเขตแดนสง่า สืบชาติไทยดึกดำบรรพ์โบราณลงมา ร่วมรักษาเอกราษฎร์ชนชาติไทย บางสมัยศัตรูจู่มารบ ไทยสมทบสวนทัพเข้าขับไล่ ตลุยเลือดหมายมุ่งผดุงไทย สยามสมัยบุราณรอดตลอดมา อันดินสยามคือว่าเนื้อของเชื้อไทย น้ำรินไหลคือว่าเลือดของเชื้อข้า เอกราชคือกระดูกที่เราบูชา เราจะสามัคคีร่วมมีใจ ยึดอำนาจกุมสิทธิ์อิสระเสรี ใครย่ำยีเราจะไม่ละให้ เอาเลือดล้างให้สิ้นแผ่นดินไทย สถาปนาสยามให้เชิดชัย ชโย ส่วนกำเนิดของเพลงชาติฉบับที่ 6 นั้นมาจากในปี พ.ศ. 2477 รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาเพลงชาติขึ้น ซึ่งมีหน้าที่พิจารณาเกี่ยวกับเพลงชาติโดยเฉพาะ คณะกรรมการได้กำหนดให้มีเพลงชาติแบบไทยและแบบสากล อย่างละเพลงคือ แบบไทยได้แก่เพลงชาติของ จางวางทั่ว พาทยโกศล ที่แต่งขึ้นจากเพลงไทยเดิมชิ่อว่า 'ตระนิมิตร' ส่วนทางสากลได้แก่ เพลงชาติเดิมของพระเจนดุริยางค์ที่แต่งไว้แล้ว แต่ในเวลาต่อมาคณะกรรมการชุดนี้ ได้พิจารณาว่าเพลงชาตินั้นควรจะมีลักษณะที่บ่งบอกถึงความศักดิ์สิทธิ์ ถ้ามีสองเพลงอาจทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ลดลง จึงตกลงว่าให้มีเพลงเดียวคือ แบบทำนองสากลของพระเจนดุริยางค์ แต่ได้จัดให้มีการประกวดเนื้อร้องขึ้นใหม่ ซึ่งคณะกรรมการได้สรุปผลให้เนื้อร้องของ นายฉันท์ ขำวิไล และเนื้อร้องของขุนวิจิตรมาตรา ซึ่งแปลงจากเนื้อร้องเดิมของตนเล็กน้อยได้รับรางวัล และตัดสินให้เนื้อร้องของขุนวิจิตรมาตราได้รับรางวัลชนะเลิศในที่สุด เพลงชาติไทยสมัย พ.ศ. ๒๔๗๗ คำร้อง: ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) และนายฉันท์ ขำวิไล ทำนอง: พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) (เนื้อร้องของขุนวิจิตรมาตรา) แผ่นดินสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง ไทยเข้าครองตั้งประเทศเขตแดนสง่า สืบเผ่าไทยดึกดำบรรพ์โบราณลงมา ร่วมรักษาสามัคคีทวีไทย บางสมัยศัตรูจู่โจมตี ไทยพลีชีพร่วมรวมรุกไล่ เข้าลุยเลือดหมายมุ่งผดุงไทย สยามสมัยบุราณรอดตลอดมา อันดินสยามคือว่าเนื้อของเชื้อไทย น้ำรินไหลคือว่าเลือดของเชื้อข้า เอกราชคือเจดีย์ที่เราบูชา เราจะสามัคคีร่วมมีใจ รักษาชาติประเทศเอกราชจงดี ใครย่ำยีเราจะไม่ละให้ เอาเลือดล้างให้สิ้นแผ่นดินไทย สถาปนาสยามให้เทอดไทยไชโย (เนื้อร้องของนายฉันท์ ขำวิไล) เหล่าเราทั้งหลายขอน้อมกายถวายชีวิต รักษาสิทธิ์อิสระ ณ แดนสยาม ที่พ่อแม่สู้ยอมม้วยด้วยพยายาม ปราบเสี้ยนหนามให้พินาศสืบชาติมา แม้ถึงไทยด้อยจนย่อยยับ ยังสู้กลับคงคืนได้ชื่นหน้า ควรแก่นามงามสุดอยุธยา นั้นมิใช่ว่าจะขัดสนหมดคนดี เหล่าเราทั้งหลายเลือดและเนื้อเชื้อชาติไทย มิให้ใครเข้าย่ำขยำขยี้ ประคับประคองป้องสิทธิ์อิสระเสรี เมื่อภัยมีช่วยกันจนวันตาย จะสิ้นชีพไว้ชื่อให้ลือลั่น ว่าไทยนั้นรักชาติไม่ขาดสาย มีไมตรีดียิ่งทั้งหญิงชาย สยามมิวายผู้มุ่งหมายเชิดชัยไชโย และเพลงชาติไทยฉบับที่ 7 ในปี พ.ศ. 2482 มีการเปลี่ยนชื่อประเทศจากคำว่า 'สยาม' มาเป็น 'ไทย' ทำให้จำต้องแก้ไขเนื้อร้องในเพลงชาติด้วย รัฐบาลจึงได้จัดประกวดเนื้อร้องเพลงชาติไทยขึ้นใหม่ โดยใช้ทำนองเพลงชาติไทย ของพระเจนดุริยางค์ตามแบบเดิมซึ่งผู้ชนะการประกวดได้แก่ นายพันเอกหลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) และได้กลายมาเป็นเพลงชาติฉบับที่ 7 ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศใช้เพลงชาติไทยฉบับที่ 7 นี้ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2482 และเป็นฉบับที่ถูกใช้มาจนปัจจุบันนี้ครับ เพลงชาติไทยสมัย พ.ศ. ๒๔๘๒ คำร้อง: นายพันเอกหลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) ทำนอง: พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย เป็นประชารัฐไผทของไทยทุกส่วน อยู่ดำรงคงไว้ได้ทั้งมวล ด้วยไทยล้วนหมายรักสามัคคี ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่ สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี เถลิงประเทศชาติไทยทวีมีชัยชโย แผ่นเพลงชาติไทยตราโอเดียน ขอขอบคุณที่มา เวปพิพิธภัณฑ์เครื่องเล่นกระบอกเสียงและหีบเสียงไทย , เวปชมรมดนตรีไทย เกษตรศาสตร์ กำแพงแสน
โอ้โห...ช่างมีประวัติยาวนานจริงๆ นะ เพลงชาติไทยของเรา (ดีใจจังที่นั่งค้น) ได้อ่านได้ฟังแล้วก็อดภูมิใจในเพลงชาติไทยของเราไม่ได้ แต่ฟังเนื้อหาแล้วไม่ว่าฉบับไหนก็พูดถึงเรื่องความสามัคคีเน๊อะ ทำให้คิดถึงบ้านเมืองตอนนี้ที่รุนแรงเลวร้ายขึ้นทุกที แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันซะ ที่จริงจะรักใครเกลียดใคร ก็น่าจะแสดงออกกันด้วยความคิดความเห็นเน๊าะ จะประท้วง รึไม่ประท้วงก็ว่ากันไป แต่ก็ไม่เห็นต้องใช้กำลังกันเลย อย่างน้อยก็คนไทยด้วยกัน อยู่บนแผ่นดินเดียวกัน ร้องเพลงชาติไทยเพลงเดียวกัน เป็นลูกพ่อของแผ่นดินเหมือนๆ กัน ไม่รู้จะใช้กำลังกันไปทำไม เดี๋ยวจะเหมือนที่เค้าว่ากันเน้อ...แล้วเราจะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง
...จบซีเรียสไปหน่อย ต้องขออภัย แฮ่ๆ ยังไงก็ขอบคุณนะครับที่แวะมา
Create Date : 01 เมษายน 2549
30 comments
Last Update : 25 กรกฎาคม 2551 1:39:06 น.
Counter : 1563 Pageviews.
โดย: zaesun 1 เมษายน 2549 4:04:02 น.
โดย: ๛tum๛ IP: 61.47.124.63 1 เมษายน 2549 9:55:19 น.
โดย: JewNid 1 เมษายน 2549 11:18:31 น.
โดย: ป่ามืด IP: 124.120.48.83 1 เมษายน 2549 11:19:29 น.
โดย: rebel 1 เมษายน 2549 11:21:37 น.
โดย: หมึกซึม. IP: 124.120.188.180 1 เมษายน 2549 22:41:26 น.
โดย: cb IP: 58.136.99.155 10 เมษายน 2549 21:30:12 น.
โดย: อู๋ IP: 203.114.103.242 19 เมษายน 2549 15:14:24 น.
โดย: numta2003 IP: 83.250.27.122 3 กรกฎาคม 2549 1:12:10 น.
โดย: The Happiness IP: 58.8.182.62 6 ตุลาคม 2549 14:54:13 น.
โดย: ~ Oneko ~ IP: 61.90.147.248 6 ตุลาคม 2549 15:41:47 น.
โดย: ตาโต IP: 58.9.198.233 27 ธันวาคม 2549 0:39:35 น.
โดย: mirumo_jung IP: 222.123.128.158 26 มกราคม 2550 10:01:30 น.
โดย: mirumo_jung2 IP: 222.123.128.158 26 มกราคม 2550 10:04:11 น.
โดย: แพน IP: 124.157.182.201 18 มิถุนายน 2550 18:19:42 น.
โดย: แพน IP: 124.157.182.201 18 มิถุนายน 2550 18:26:38 น.
โดย: ด.ช.แอ IP: 203.113.17.157 9 กรกฎาคม 2550 10:56:54 น.
โดย: กุ้ง IP: 203.113.17.157 9 กรกฎาคม 2550 11:00:32 น.
โดย: เด็ก พญาราม IP: 203.113.17.157 9 กรกฎาคม 2550 11:31:26 น.
โดย: ด.ชวัชระ IP: 125.24.169.163 24 กรกฎาคม 2550 16:36:44 น.
โดย: natdanai IP: 125.24.50.132 25 กันยายน 2550 8:13:43 น.
โดย: จินนี่ IP: 118.172.123.222 9 กุมภาพันธ์ 2552 8:54:36 น.
โดย: hellojaae IP: 124.120.150.36 15 กุมภาพันธ์ 2552 22:34:01 น.
โดย: พรเทพ IP: 125.27.251.215 6 สิงหาคม 2553 22:33:43 น.
เค้าบอกว่าเป็นฉบับปี 2475 แต่ผมอ่านจากประวัติ เทียบเนื้อร้องแล้วเป็นของปี 2477 ครับ
แต่ขี้เกียจแก้ชื่อไฟล์อ่ะ แหะๆ
อ้อ..ถ้าผิดพลาดตรงไหนก็ขออภัยด้วยนะครับ