explose date: 23/JUL/05 ความเดิม ตอนที่แล้ว กั๊บ...
อะแฮ่ม..มาเล่าฉ่ำๆ ต่อครับ : ) จากตอนที่แล้ว ออกจากเขาวัง เราก็ออกเดินทางมุ่งสู่ร้านอาหาร ชมทะเล เพื่อกินข้าวเที่ยง ซึ่งขับรถออกมาได้หน่อยฝนก็ลงเม็ดพอดี (โชคดีอีกแล้ว หุ หุ)
อาจจะสงสัยกันว่าทำไมต้องไปกินร้านนี้ เหตุผลที่พวกผมเจาะจงไปกินร้าน 'ชมทะเล' นี่มีที่มาที่ไปนะครับ ไม่ได้มั่ว คือก่อนมาเนี่ย ผมได้หาและปริ๊นต์ลิสต์ร้านอาหารในเพชรบุรีจากเน็ต แล้วชื่อร้าน 'ชมทะเล' อยู่เป็นอันดับแรก ซึ่งจาก นอน..เอ๊ย คอมมอนเซนส์ (ของผม) แล้ว อยู่อันดับแรก ถ้าไม่ใช่เพราะเรียงลำดับชื่อ ก็หมายถึงน่าจะอร่อย และดีที่สุด (มีเหตุผลดีม่ะ อิอิ) ส่วนร้านอยู่ตรงไหน ไม่เป็นไรเดี๋ยวไปมั่วเอาข้างหน้า โดยกะกันว่าไปหาดชะอำเอาไว้ก่อน แล้วค่อยถามคนแถวนั้นเอา
แต่พอขับไปได้ไม่นาน ก็เจอป้าย 'ร้านชมทะเล' พร้อมลูกศรบอกให้ตรงไป ทำมาอย่างดีเลย (ลักษณะเหมือนป้ายบอกทางของราชการเลย) ซึ่งย้ำความมั่นใจว่าร้านนี้ดีแน่ให้แก่พวกเราไปใหญ่ ถึงไม่บอกระยะทาง แต่ป้ายมีแทบจะทุก 500 เมตร คราวนี้สบายล่ะ ขับตามป้ายไปเรื่อยๆ ก็คงถึงร้านสบายๆ
ระหว่างทางเราก็ขับผ่าน พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ซึ่งเป็นเป้าหมายในการเที่ยวช่วงบ่ายของเราด้วย และแล้วในที่สุด หลังจากที่ต้องทนฟังเสียงบ่นว่า ท้องกิ่วแล้ว ไส้จะขาดแล้ว มาตลอดทางเราก็มาถึงร้านชมทะเลจนได้
ร้านอยู่ติดทะเล ก็บรรยากาศดี สวยงามในระดับนึงครับ (ถ้าฝนไม่ตก ก็คงจะสวยกว่านี้) แต่คนรอคิวอยู่เยอะมากๆ คงเพราะฝนที่ตกทำให้โต๊ะกลางแจ้งด้านนอกที่ติดทะเล เปียกนั่งไม่ได้ คนเลยต้องมาอัดกันอยู่ในร่ม ผมเลยเกิดอาการเซ็งเล็กน้อยที่จะต้องมารอ สาวๆเริ่มโมโหหิว แต่จะให้ทำไงได้ (ฟ่ะ) ดั้นด้นมาแล้วนี่ ก็ต้องทนรอต่อไป
แต่ผิดคาดแฮะ รอคิวแป้บนึง เราก็ได้นั่งเพราะจำนวนคนน้อย ไอ้พวกคนเยอะๆ ที่มารออยู่ก่อนปรากฏว่ามาเป็นกรุ๊ปทัวร์ แล้วอยากกินรวมกันที่โต๊ะใหญ่ ผมเลยได้ลัดคิวกินก่อน (โฮะ โฮะ) ก็เอาล่ะ...ได้กินข้าวซะที (โว้ย)
จากที่จอดรถต้องเดินข้ามสะพานข้ามสระน้ำไปยังตัวร้าน
ด้านหน้าร้าน เอาดอกลั่นทมใส่อ่างมาวางต้อนรับ ก็เก๋ดีอ่ะ
อาหารก็โอเคในระดับหนึ่งครับ ไม่ใช่ขนาดอร่อยมากอะไร แต่ราคาแพงใช้ได้เลย -_-" ก็ยังดีที่ห้องน้ำสวย แต่ถ้ามากินตอนเย็นๆ จนค่ำ ฝนไม่ตก ที่โต๊ะริมทะเล จุดเทียนซักเล็กน้อยก็คงโรแมนติคดีเหมือนกัน
และเมื่ออิ่มท้องจนพุงปลิ้นแล้ว ก็ได้เวลาพเนจรกันต่อ (ตอนนี้ฝนหยุดแล้ว) แล้วเราก็มาถึง 'พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน' ตอนเกือบๆ บ่าย 3 โมง เดี๋ยวนี้เค้าทำดีนะ ตรงที่ซื้อตั๋วเข้าชม มีจักรยานให้เช่าปั่นเล่นด้วย ตอนแรกก็กะจะเช่าอยู่เหมือนกันครับ แต่เราเห็นว่า พระราชนิเวศน์ฯ ใกล้จะปิดแล้ว (ปิด 4 โมงครึ่ง) แค่เดินชมก็คงหมดเวลาแล้ว ก็เลยไม่เช่าดีกว่า (จะได้เดินย่อยอาหารด้วย)
โคมไฟบริเวณห้องโถง ที่มีประวัติ และรูปถ่ายเก่าๆ ร.6 และราชินีของพระองค์ให้ศึกษา
บันไดโค้งขึ้นสู่ชั้นสอง เพื่อชมห้องหับต่างๆ
เข้ามาถึงภายในตัวพระราชนิเวศน์ฯ ก็เพิ่งรู้ว่าเค้าเปิดให้ดูต้องห้องต่างๆ ด้วย ก็ตกแต่งแบบโล่งๆ โปร่งๆ สวยดีครับ กับสีพาสเทลสบายตา
อันที่จริงผมก็เคยมาที่นี่ครั้งนึง (ประมาณชาติที่แล้ว) มาวาดรูปนอกสถานที่ตั้งแต่ตอนสมัยเรียน แต่ทำไมถึงจำไม่ได้ (ฟ่ะ) ว่าเค้าเปิดห้องให้ดูด้วยนะ ไม่รู้ว่าตอนนั้นเค้ายังไม่เปิดให้ดู หรือผมมัวแต่วาดรูป (มั่วๆ) กะเหล่สาวๆ เพลินก็ไม่รู้ (น่าจะเป็นอย่างหลัง อิอิ) มาคราวนี้เลยเหมือนมาครั้งแรกเลย...
ห้องบรรทมครับ เตียงสี่เสาโบราณแบบนี่ กลับอินเทรนด์เมื่อปี-สองปีก่อนเลยนะนี่
ห้องทำงาน ก็ดูขลังไปอีกแบบ
เล่าเกร็ดซักเล็กน้อยครับ เดี๋ยวจะหาว่าพาเที่ยวแบบไม่มีสาระเอาซะเลย (ที่จริงก๊อปเค้ามาจากในเนต ตอนหาข้อมูลนี่แหล่ะ ไม่ได้รู้เองหรอก อิอิ)
'พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน' (มฤคทายวัน เป็นชื่อที่ใช้เรียกสัตว์เนื้อทราย ซึ่งในอดีตมีอยู่มากในบริเวณนี้) พระราชนิเวศน์ฯ แห่งนี้ เคยเป็นสถานที่สำหรับแปรพระราชฐานและรักษาอาการประชวรของ ร.6 ซึ่งท่านทรงออกแบบแปลนราชนิเวศน์แห่งนี้ด้วยพระองค์เอง โดยการออกแบบทำให้สามารถรับลมทะเลได้อย่างเต็มที่ บรรยากาศร่มรื่น ตัวอาคารเป็นไม้สักทองทั้งหลัง ประกอบด้วยพระที่นั่ง 3 หลัง มีทางเดินเชื่อมติดกันโดยตลอด ชื่อพระที่นั่งคล้องจองกันเริ่มจาก พระที่นั่งสมุทรพิมาน, พระที่นั่งพิศาลสาคร และพระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์ (อันไหนเป็นไหนก็ไม่รู้..ไปดูกันเอาเองนะ)
ห้องน้ำครับ ใหญ่เท่าห้องนอนผมเลย -_-" โอเพ่นแอร์สุดฤทธิ์
ทางเดินไปศาลาริมทะเล ซึ่งตอนนี้ปิดไม่ให้เข้าเพราะทรุดโทรม
แต่สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจที่สุดในการมาเที่ยวพระราชนิเวศน์มฤคทายวันครั้งนี้ ก็คือ กลุ่มสาวๆ 4 คน นุ่งขาสั้น ใส่เสื้อยืด สายเดี่ยว มาเดินเที่ยวด้วย (หมายถึงพวกเธอมาเดินเที่ยวที่นี่ด้วย ไม่ได้มาเดินเที่ยวกับผมด้วยแต่อย่างใด) แบบว่าน่าร้ากกก เกิร์ลลี่ เบอรี่ ยังไงยังงั้น อุอุ แต่เสียดายลืมแอบถ่ายมา มัวแต่มองขาเพลินไปหน่อย ฮี่ ฮี่ เลือดกำเดาไหล
ถ่ายบรรยากาศภายนอกบ้าง ฟ้าเริ่มครึ้มอีกแล้ว
ตอนที่แล้ว แอบถ่ายลิงแม่ลูกอ่อน คราวนี้เลยแอบถ่ายคนแม่ลูกอ่อนมั่ง อิอิ
หลังจากเดินชมกันซะเพลิน เราก็ออกจากพระราชนิเวศน์ฯ เอาก่อนใกล้ปิดพอดี เลยเปลี่ยนแผนไม่ไปทะเลชะอำล่ะ ไป หาดปึกเตียน ดีกว่า เมื่อขับรถผ่านเห็นป้ายบอกทางอยู่ ก็กะจะไปสำรวจ และกินข้าวที่รีสอร์ท ปึกเตียนคาบาน่า ด้วย ซึ่งตอนหาข้อมูล เห็นจากในเวปแล้วสวยดี แล้วเห็นเค้าว่ากันว่า หาดปึกเตียนสวยกว่าชะอำด้วย เผื่อมีโอกาสจะได้มาพักคราวหน้า
แต่โอ้โห..กว่าจะถึงไกลโคตรๆ 50-60 กิโล ได้มั้งจากพระราชนิเวศน์ฯ น่ะ เหล่านาวิเกเตอร์หลับแล้วหลับอีก หลังจากผ่านทางหลวง ทางใหญ่ ทางเล็ก ทางย่อย และฝูงวัวหนึ่งฝูง ผมก็(อุตส่าห์)มาถึงจุดหมายจนได้ -_-"
มาถึงที่นี่ ฝนก็ตกปรอยๆอีก และทะเลน้ำก็ขึ้นแล้วด้วย เลยไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่ที่แปลกคือ ที่ปึกเตียนนี่ก็มีรูปปั้นผีเสื้อสมุทร เหมือนที่ระยองเลย สงสัยว่ามาตามพระอภัยมณีถึงที่นี่เหรอเหรอเนี่ย อ้อมฝั่งทะเลจากอ่าวไทยมาอันดามันเลยนะเนี่ย โอ้ว..อานุภาพความรักนี่มันสุดยอดจริงๆ (อีตาพระอภัยฯ ก็มาแรดไกลจัง)
ส่วนรีสอร์ท ก็น่ารักดีครับ ทำเป็นบ้านเล็กๆ สไตล์บาหลี อยู่ติดทะเลเลย แต่น้องผมบอกว่า รีสอร์ทชื่อ 'กบาลทะมอ' (เขียนถูกป่าวหว่า) ที่หัวหิน ก็สไตล์เดียวกัน แต่สวยกว่า ก็เลยว่าคราวหน้าถ้าจะมาแถวนี้ก็จะไปพักที่ 'กบาลทะมอ' นั่นแหล่ะ (ใจง่ายอีกแล้ว) และจากที่กะว่าจะมากินข้าว ถามไปถามมาทุกคนยังอิ่มตื้ออยู่เลย เลยนั่งเล่นกินน้ำซักพัก แล้วเดินทางกลับกรุงเทพฯ
ก็นับว่าเป็นทริปที่เหนื่อยพอควร เพราะมามั่วๆ เอาซะเยอะ แต่การที่ได้ออกจากกรุงเทพฯ หนีรถติด หนีห้าง หนีเมเจอร์ อีจีวี มาต่างจังหวัด เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง แม้ฝนจะตก แต่การที่ได้สูดอากาศที่เปลี่ยนไปแค่วันเดียว แค่นี้ก็สุขใจแล้วจริงมั้ยครับ...
|