ขออนุญาตคุณสุทธิชัย หยุ่น กรุงเทพธุรกิจรายวัน นำเนื้อหาต่อไปนี้มารวบรวมไว้เพื่อการศึกษา
ที่ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่สองต่อพันธมิตร ผมเห็นภาพชุดผู้นำเอเซียที่ปรากฏในบทความในเว็บไซท์ The Diplomat เมื่อเร็ว ๆ นี้
ทำให้ผมมองย้อนกลับไปถึงสีสันทางการเมืองของผู้นำเหล่านี้อย่างน่าสนใจยิ่ง
วันที่สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงนั้นมีความหมายต่อคนเอเซียหลายมิติ
เพราะวันเดียวกับที่ญี่ปุ่นยอมยกธงขาวก็เป็นวันที่คนจีนกว่า 400 ล้านคน
ขณะนั้นหายใจโล่งอกเพราะเป็นการสิ้นสุดของสงครามที่ญี่ปุ่นเข้ายึดจีน 8 ปีเต็ม ๆ
ที่เริ่มด้วยกองกำลังทหารญี่ปุ่นบุกภาคเหนือของจีนเมื่อเดือนกรกฎาคม 1937
แต่ขณะเดียวกันก็เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามกลางเมืองรอบใหม่ของจีน
ระหว่างคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตุงและจีนคณะชาติของเจียงไคเช็ค
และจบลงในอีก 4 ปีต่อมาด้วยชัยชนะของเหมาบนผืนแผ่นดินใหญ่
และในจังหวะเดียวกันนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของประเทศต่าง ๆ ในย่านนี้
ที่ต้องต่อสู้เพื่อเอกราชจากจักรวรรดินิยมตะวันตกอังกฤษ, ฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์
อีกทั้งเป็นจุดเริ่มต้นของลัทธิคอมมิวนิสม์ท่ามกลางกระแสสังคมนิยมที่ยืนอยู่คนละข้าง
กับระบบทุนนิยม
แต่ละบทของประวัติศาสตร์เอเซียต้องเขียนด้วยเลือด, น้ำตาและหยาดเหงื่อ
ของเพื่อนร่วมชาติทั้งสิ้น
ผู้นำยุคหลังสงครามที่โดดเด่นและสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง
ต่อการเมืองเอเซียและทั้งโลก เช่น
เหมาเจ๋อตุงแห่งจีน, เยาวหราล เนรูห์แห่งอินเดีย, ซูการ์โนแห่งอินโดนีเซีย
, โฮจิมินห์แห่งเวียดนาม, คิมอิลซุงแห่งเกาหลีเหนือ, ลีกวนยิวแห่งสิงคโปร์
, มหาธีร์ โมหะหมัดแห่งมาเลเซียล้วนทิ้งมรดกการเมืองอย่างลุ่มลึกถึงทุกวันนี้
สงครามร้อนสิ้นสุดลงไม่ได้แปลว่าสันติภาพจะกลับคืนมาโดยอัตโนมัติ
เพราะสิ้นเสียงปืนไม่นาน การยื้อแย่งอำนาจและอิทธิพลระหว่างมหาอำนาจ
ก็ระเบิดขึ้นเป็นสงครามเย็นที่สู้กันด้วยอุดมการณ์ทางการเมือง
แบ่งเป็นค่าย โลกเสรี มีสหรัฐฯเป็นแกนนำ และ คอมมิวนิสต์
สหภาพโซเวียตเป็นหัวหน้าโต้โผใหญ่
การแตกกระจายของสหภาพโซเวียตและการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลินเมื่อ 1989
เป็นจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดสงครามเย็น แต่นั่นก็มิใช่การ
สิ้นสุดแห่งประวัติศาสตร์ อย่างที่นักวิเคราะห์ตะวันตกบางคน
ประกาศเป็นทฤษฎีใหม่ เพราะตราบเท่าที่ผลประโยชน์ของมหาอำนาจไม่ลงตัว
การแก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์ก็ดำเนินต่อไป เพียงเปลี่ยนรูปแบบ
ของการเผชิญหน้าเท่านั้น
วันนี้เราจึงได้ยินคำประกาศ ปักหมุดเอเซีย
หรือ Pivot to Asia ของอเมริกา และ
ความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ของประเทศใหญ่ ๆ
จากปักกิ่ง ท่ามกลางความขัดแย้งในทะเลจีนใต้และทะเลจีนตะวันออก
และการประดาบกันผ่านโลกไซเบอร์ที่ไร้ขอบเขต
และอำนาจการทำลายที่สูงกว่าอาวุธนิวเคลียร์ด้วยซ้ำ!/จบ
...............................................................................................................................
ขออนุญาตกรุงเทพธุรกิจรายวันนำเนื้อหาต่อไปนี้ มารวบรวมไว้เพื่อการศึกษา
พิราบกับเหยี่ยวญี่ปุ่น ปะทะตั้งรับมังกรจีน
//www.bangkokbiznews.com/blog/detail/635559#sthash.wKQf06E7.dpuf
ภาพประท้วงของคนญี่ปุ่นต่อต้านกฎหมาย ความมั่นคง ใหม่ของนายกรัฐมนตรีชินโซะ อาเบะ เมื่อเร็ว ๆ นี้
เป็นการตอกย้ำความกลัวของชาวอาทิตย์อุทัย ที่จะต้องทำสงครามอีกรอบหนึ่ง
ยิ่งปีนี้ครบรอบ 70 ปีของการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่สอง ที่เป็นตราบาปของคนญี่ปุ่นเพราะสร้างบาปสร้างกรรมเอาไว้ ก็ยิ่งทำให้คนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อย ไม่ต้องการให้นักการเมืองแก้กฎหมาย เพื่อให้ทหารญี่ปุ่นติดอาวุธพร้อมรบอีกครั้งหนึ่ง
เพราะรัฐธรรมนูญที่สหรัฐ เขียนให้ใช้หลังญี่ปุ่นกลายเป็นผู้แพ้สงครามกำหนดไว้ชัด ๆ ว่าห้ามมีกองทัพของตนเองเพราะเคยก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้มาก
จนทุกวันนี้ก็ยังไม่เรียกว่าเป็นกองทัพ (armed forces) แต่เรียกเป็น กองกำลังป้องกันตนเอง (self-defence force)
เรื่องความมั่นคงของญี่ปุ่นจึงอยู่ใต้ ร่มเงา ของสหรัฐมาตลอด
กฎหมายสูงสุดของญี่ปุ่นจึงถูกขนานนามเป็น รัฐธรรมนูญสันติภาพ หรือ Pacifist Constitution มาตลอด
แต่เมื่อเหตุการณ์เปลี่ยน แนวคิดก็เปลี่ยน ญี่ปุ่นมีปัญหาขัดแย้งกับจีนในทะเลจีนตะวันออก จีนสร้างแสนยานุภาพทางทหารต่อเนื่อง สหรัฐไม่อาจจะปกป้องญี่ปุ่นทางด้านทหารทั้งหมด เพราะงบประมาณจำกัดและวอชิงตันต้องการพันธมิตรในเอเชียเพื่อสะกัดการเติบใหญ่ของอิทธิพลจีน
ที่ญี่ปุ่นกังวลไม่น้อยกว่าจีนก็คือ เกาหลีเหนือซึ่งอาจจะก่อให้เกิดสงครามเมื่อไหร่ก็ได้โดยไม่ต้องแจ้งเตือน เพราะที่ผ่านมาเปียงยางก็ยิงจรวดไปยังเป้าหมายใกล้ ๆ ญี่ปุ่นเป็นประจำอยู่แล้ว
จึงเป็นเหตุผลที่นายกฯอาเบะ เสนอแก้กฎหมายเพื่อสามารถส่งทหารไปนอกประเทศภายใต้เงื่อนไข 3 ข้อคือ
1. ในกรณีที่ญี่ปุ่นถูกโจมตี หรือเมื่อพันธมิตรใกล้ชิดถูกโจมตี และผลที่ตามมาคุกคามความอยู่รอดของญี่ปุ่น และมีสิ่งบอกเหตุชัดเจนว่าสถานการณ์นั้น ๆ จะเป็นอันตรายต่อประชาชนคนญี่ปุ่น
2. เมื่อไม่มีวิธีการอย่างอื่นที่เหมาะสมเพื่อหยุดยั้งการโจมตี และรับรองความอยู่รอดของญี่ปุ่น และปกป้องประชาชน
3. การใช้กำลังจะต้องจำกัดให้อยู่ในระดับที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น
แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะตีกรอบให้กองกำลังของญี่ปุ่นมีหน้าที่เพื่อ ป้องกันตัวเอง เป็นหลัก แต่ทุกวันนี้อาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพญี่ปุ่นก็ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นทางบก อากาศ หรือทะเล อีกทั้งยังมีแผนการเสริมสร้างแสนยานุภาพอย่างต่อเนื่อง
กองกำลังทหารของญี่ปุ่นมีอยู่ประมาณ 150,000 คน ซึ่งไม่ถือว่าใหญ่เมื่อเทียบกับจีนแต่ก็มีอาวุธ เครื่องบินและเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์พร้อมทำศึกไม่น้อย
ที่ผ่านมา เรือรบและเครื่องบินลาดตระเวนญี่ปุ่น ได้ไปร่วมปฏิบัติปราบโจรสลัดแถวน่านน้ำแอฟริกาและจุดอื่น ๆ ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความพร้อมทางด้านบุคลากร และอาวุธยุทโธปกรณ์หากเกิดความจำเป็นในภาวะฉุกเฉิน
นายกฯอาเบะ เป็น เหยี่ยว ที่ต้องการจะปลุกระดมความรู้สึกชาตินิยมกลับมา ให้สามารถเผชิญหน้ากับจีนในโลกสมัยใหม่นี้ให้ได้ไม่ว่าในแง่เศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคง
แต่คนรุ่นใหม่และคนทำงานที่ไม่ต้องการเห็นญี่ปุ่นเล่นบทบู๊ เพราะเจ็บปวดจากความพ่ายแพ้ในสมรภูมิโลกมาแล้ว ก็ไม่ยอมให้นักการเมืองสายเหยี่ยวกำหนดวาระแห่งชาติอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้
การต่อสู้ทางความคิดเรื่องทหารกับการเมือง ความมั่นคงกับเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ของญี่ปุ่นกับมหาอำนาจอื่น ๆ ทั่วโลกจึงร้อนแรงขึ้นมาอีกรอบหนึ่ง/จบ
.................................................................................................................................