เมื่ออ่านร่างรัฐธรรมนูญโดยมองภาพรวมของเนื้อหาส่วนต่างๆที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบแล้ว
ไม่อาจรับร่างรัฐธรรมนูญนี้ด้วยเหตุผลดังนี้ :
1. ทำให้การเลือกตั้งไร้ความหมาย รัฐบาลหลังการเลือกตั้งจะไม่สามารถบริหารประเทศ
ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้
2. ทำให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอยู่ในสภาพอ่อนแอ ไม่มีเสถียรภาพและจะถูกล้มไปได้โดยง่าย
3. เป็นระบบที่ออกแบบไว้เพื่อเปิดทางและเอื้ออำนวยให้คนนอกมาเป็นนายกรัฐมนตรี
ซึ่งจะเข้ากันได้กับกลไกของรัฐธรรมนูญนี้มากกว่า
4. มีระบบการถอดถอนที่ทำลายหลักการของการตรวจสอบถ่วงดุลคือ ให้สว.
ที่มาจากการลากตั้งมีอำนาจถอดถอนทุกฝ่ายและให้สส.ฝ่ายรัฐบาลมีอำนาจถอดถอนสส.
ฝ่ายค้านได้
5. ไม่มีการแก้ไขปรับปรุงองค์กรตรวจสอบทั้งหลายจากการเลือกปฏิบัติและปราศจาก
การตรวจสอบถ่วงดุลโดยองค์กรอื่นหรือโดยประชาชน
ทั้งยังมีการเพิ่มเติมองค์กรลักษณะเดียวกันอีกจำนวนมาก
6. เป็นการวางระบบการสืบทอดอำนาจของคสช.และกองทัพ
โดยอาศัยคณะกรรมการยุทธศาสตร์ปฏิรูปฯควบคุมกำกับการทำงานของรัฐบาล
และรัฐสภาต่อไปอีกยาวนาน
7. เปิดช่องให้มีการสร้างเงื่อนไขสำหรับการนำระบบเผด็จการเบ็ดเสร็จเต็มรูปแบบ
เช่นเดียวกับการปกครองโดยคสช.มาใช้อย่างง่ายดาย ซึ่งก็คือ
การทำรัฐประหารโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
8. รัฐธรรมนูญนี้เมื่อประกาศใช้แล้ว ไม่อาจแก้ไขได้อีก
ทำให้เกิดความขัดแย้งในสังคมมากยิ่งขึ้นโดยไม่มีทางออกตามกติกา
ในระหว่างที่คณะกรรมาธิการฯกำลังยกร่างอยู่นั้น เมื่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากๆ
ก็มักมีการชี้แจงว่า ที่วิจารณ์กันนั้นเกิดจากการไม่ทราบข้อเท็จจริงที่ยังไม่มีการเปิดเผย
แต่เมื่อเปิดเผยออกมาแล้ว กลับพบว่าร่างนี้มีเนื้อหาที่เลวร้ายกว่าที่เคยมีการวิพากษ์วิจารณ์กันเสียอีก
เพราะนอกจากจะคงเนื้อหาที่เป็นปัญหาทั้งหลายไว้เป็นส่วนใหญ่แล้ว
ยังมีการหมกเม็ดบางเรื่องไว้ด้วยการบัญญัติไว้ในบทเฉพาะกาลและอีกหลายเรื่องกำหนดว่า
จะไปบัญญัติไว้ในพรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญโดยสนช.
ซึ่งหมายความว่ายังอาจจะเลวร้ายยิ่งไปกว่านี้อีกด้วย
อ่านร่างรัฐธรรมนูญนี้แล้ว ยังไงก็ไม่อาจเปรียบเทียบกับนางงาม
แต่เป็นอะไรที่อัปลักษณ์และอันตราย คนสมัยก่อนอาจนึกถึง ซีอุย
ในขณะที่คนสมัยนี้ที่ชอบดูหนังซีรีส์ฝรั่งก็อาจนึกถึง ฮันนิบาล เสียมากกว่า/จบ
...................................................................................................................................
ขออนุญาตนำข้อมูลจากกรุงเทพธุรกิจมารวบรวมไว้เพื่อการศึกษา ดังนี้
เปิดสาระร่างรธน.ฉบับที่เสนอขอความเห็นชอบจากสปช. ตัดสิทธิ"ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์"
ชั่วชีวิตในทางการเมือง กรรมการยุทธศาสตร์อำนาจล้น
ผู้สื่อข่าวรายงานถึงสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ฉบับที่เสนอสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เพื่อลงมติให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ
ทั้งฉบับนั้น ปรากฏว่ามียอดรวมทั้งสิ้น285มาตรา ซึ่งได้ลดลงจากร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่เสนอ
เพื่อขอความเห็นของสปช. และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ม315มาตรา ถึง 30 มาตรา
ซึ่งมีสาระที่เป็นบทแก้ไขและเปลี่ยนแปลงจากโครงร่างรัฐธรรมนูญที่เสนอเพื่อขอความเห็น ดังนี้
1.ประเด็นการมีส่วนร่วมของประชาชนในการดำเนินงานของรัฐกำหนดให้เป็นกระบวนการ
ที่ประชาชนสามารถดำเนนิการได้ภายใต้สมัชชาพลเมืองระดับพื้นที่และระดับอื่น
เพื่อร่วมจัดการชุมชน บริหารท้องถิ่น และท้องที่ ได้
ทั้งนี้ได้มีการแก้ไขโดยการตัดสิทธิบุคคลต่อกระบวนการมีส่วนร่วมยกร่างกฎหมาย กฎ
โครงการ กิจกรรมที่มีผลกระทบต่อวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ คุณภาพสิ่งแวดล้อม
ทัพยากรธรรมชาติ สุขภาพ ที่เขียนไว้ในร่างรัฐธรรมนูญออก
ส่วนการมีส่วนรวมของการออกเสียงประชามติในกิจการที่มีผลกระทบต่อประชาชนนั้นยังคงไว้
แต่ได้ตัดประเด็นการใช้เสียงข้างมากของผู้มาออกเสียงประชามติเป็นสิ่งที่ยุติปัญหา
ที่จัดให้มีการออกเสียงประชามติออก ขณะนี้การมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบ
ได้เพิ่มบทบัญญัติให้บุคคลมีสิทธิเฝ้าระวัง ติดตาม ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐได้
2.การสร้างความโปร่งใสของกิจการสื่อมวลชนต่อการรับเงินสนับสนุนจากรัฐ
กำหนดให้มีการเปิดเผยการจัดสรรงบประมาณของรัฐที่ให้กับสื่อมวลชนทุกรายด้วย
ขณะที่สิทธิความเป็นเจ้าของกิจการสื่อมวลชน ได้ยืนให้สิทธิดังกล่าวเป็นของบุคคลสัญชาติไทย
แม้จะมีการบังคับเป็นอย่างอื่นตามหนังสือสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการเปิดเสรีทางการค้า
หรือการลงทุนภายใต้กรอบองค์กรการค้าโลกหรือการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ
3.บทว่าด้วยการตรวจสอบผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้เพิ่มบทที่ครอบคลุมไปถึงบุคคล
ที่เข้ารับการสรรหาให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุกประเภท และกำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่ง
ทางการเมืองทุกประเภทต้องยื่นแสดงสำเนาแบบรายการเสียภาษีย้อนหลัง3ปี
ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการตรวจสอบ พร้อมกำหนดให้อำนาจคณะกรรมการป้องกัน
และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีอำนาจในการขอให้กรมสรรพากรตรวจสอบ
การเสียภาษีเงินได้ของผู้ได้รับเลือกตั้งหรือรับการสรรหาให้ดำรงตำแหน่งได้
พร้อมกำหนดบทลงโทษตามกฎหมายป.ป.ช. ต่อผู้ที่ไม่ยื่นหรือยื่นแจ้งสำเนาแบบแสดงรายการเ
สียภาษีอันเป็นเท็จ, จงใจไม่ยื่นภาษี หรือจงใจเสียภาษีที่ไม่ถูกต้อง ส่
วนการกำกับการทำกิจกรรมของพรรคการเมือง ได้เขียนข้อกำหนดที่ต้องไม่ยอมให้บุคคลใด
หรือกลุ่มบุคคลเข้ามาครอบงำหรือชี้นำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
4.ประเด็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 450 470 คนนั้นได้ปรับให้มีส.ส.เขต
จำนวน300คนและมีส.ส.บัญชีรายชื่อ150- 170คน โดยยังยึดระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม
สำหรับคุณสมบัติของผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง มีบทบัญญัติเพิ่มใหม่ คือ
ห้ามผู้ที่หลบหนีคดีอยู่ในระหว่างพิจาณา หรือหลบหนีคดีที่มีโทษตามคำพิพากษา
หรือกระทำการดังกล่าวจนขาดอายุความดำเนินคดีหรืออายุความลงโทษแล้วห้ามลงเลือกตั้ง
และรวมถึงบุคคลที่ถูกถอดถอนเพราะส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติ
แห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวจะมีผลทำให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่หลบหนีคดี
ที่ศาลฎีกานักการเมืองพิพากษาให้จำคุก2ปี จากกคดีทุจริตซื้อที่ดินรัชดา
และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ถูกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
ถอดถอนออกจากตำแหน่ง เนื่องจากมีพฤติกรรมส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ละเลยการกำกับจนทำให้เกิดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง
หรือเป็นรัฐมนตรี หรือนายกฯ ได้อีก
5.ประเด็นของสมาชิกวุฒิสภา จำนวนไม่เกิน200คน ที่มาจากการเลือกตั้ง77จังหวัด
จำนวน77คน และมาจากการสรรหา จำนวน123คน กำหนดข้อห้ามในส่วนของส.ว.
ต้องไม่เป็นบุพการี คู่สมรส หรือบุตรของผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ส.ส. ส.ว.
ข้าราชการการเมือง หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พร้อมกำหนดไม่ให้
อดีต ส.ส. อดีตส.ว. และอดีตรัฐมนตรี ที่พ้นจากตำแหน่ง ส.ส. ไม่ถึง5ปีลงสมัครเข้ารับ
การสรรหาหรือลงสมัครเป็นส.ว. ทั้งนี้ได้ตัดสิทธิส.ว.ในการตรวจสอบประวัติของผู้ที่ได้รับ
การเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรี
6.ประเด็นรัฐมนตรี ยังคงบทบัญญัติของผู้ที่ไม่ได้เป็นส.ส. ให้ได้รับการเสนอชื่อ
และลงมติเลือกให้เป็นนายกฯ ได้ ด้วยเสียงไม่น้อยกว่า2ใน3ของจำนวนสมาชิกฯ
แต่หากเสียงเห็นชอบไม่ถึงเกณฑ์จะหมดสิทธิการได้รับการเสนอชื่อทูลเกล้าฯ เป็นนายกฯ
นอกจากนั้นแล้วยังเขียนข้อความด้วยว่ากรณีที่เมื่อพ้นเวลา30วันนับแต่วันเลือกนายกฯ
แล้วไม่มีผู้ใดได้รับความเห็นชอบ ให้สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุและให้มีการเลือกตั้งใหม่
ภายใน45วัน อย่างไรก็ตามบทบัญญัติเกี่ยวกับคุณสมบัติของรัฐมนตรีและนายกฯ นั้น
จะนำบทบัญญัติของคุณสมบัติของผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งมากำกับด้วย
7.คณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ โดย กรรมการยุทธศาสตร์
และการปรองดองแห่งชาติ จะมี 23 คน คน แบ่งเป็นสามกลุ่ม ประกอบด้วย
1.กรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ นายกฯ ,ประธานรัฐสภา, ประธานวุฒิสภา ,ผบ.สส. , ผบ.ทบ. , ผบ.ทร., ผบ.ทอ. และ ผบ.ตร. โดยกลุ่มนี้จะเป็นผู้เลือกผู้ที่เหมาะสมเป็นประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ
กลุ่มที่ 2 ได้แก่ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งแต่งตั้งจากผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภา นายกฯ ประธานศาลฎีกา ซึ่งเลือกกันเองในแต่ละประเภทประเภทละ 1 คน
และกลุ่มที่ 3 ได้แก่ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวนไม่เกิน 11 คน แต่งตั้งตามมติรัฐสภาจากผู้ที่เชี่ยวชาญในการปฏิรูปด้านต่างๆ และการสร้างความปรองดอง
ทั้งนี้ได้มีการกำหนดอำนาจหน้าที่ไว้ 11 หัวข้อประกอบด้วย
1.แต่งตั้งกรรมการปฏฺิรูปด้านต่างๆและคณะกรรมการอิสระเสริมสร้างความปรองดองเพื่อเสนอแนะเรื่องการฏิรูปและสร้างความปรองดองต่อคณะกรรมการยุทธศาตร์
2.ขับเคลื่อนนโยบายปฏิรูป รวมทั้งทำข้อเสนอจัสรรงบประมาณที่จำเป็นต่อรัฐสภาและ ครม. หรือหนวยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อการพัฒนาประเทศลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรม
3.นำข้อเสนอของ สปช. และแผนงานยุทธศาสตร์การปฏิรูปของทุกภาคส่วนมาบูรณาการเพื่อให้สามารถพัฒนาประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำแะสร้างความเป็นธรรมอย่างต่อเนื่องและยั่งยืรน รวมทั้งปรับแผนได้ตามความเหมาะสม
4.ดำเนินการที่จำเป็นเพื่อสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ระหว่างคู่ขัดแย้ง แบะสร้างความปรองดองในหมู่ประชาชนตามหลักความยุติธรรมเปลี่ยนผ่าน
5.ดำเนินการหรือสั่งให้ดำเนินการที่จำเป็นเพื่อป้องกันและระงับความขัดแย้งหรือความรุนแรงและระงับยับยั้งการกระทำที่มีผลเป็นการขัดขวางการปฏิรูปหรือสร้างความปรองดอง
6.ตรวจสอบและไต่สวนการไม่ปฏฺิบัติตามแผนงานหรือขั้นตอนที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์กำหนด 7.เสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหากพบว่าไม่มีการปฏิบัติตามแผนงานที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์กำหนด หรือในกรณีกรณีมีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ ส.ส ส.ว. รัฐสภา ครม. องค์กรตามรธน, หรือในกรณีมีปัญหากับอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา ครมหรือคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ
8.ส่งเสริมการวิจัยการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการปฏิรูปและการปรองดอง 9.ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของประชาชนเพื่อเป็นพลเมืองที่ดี 10.ติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการปฏิรูปที่สอดคล้องและเป็นไปตามบทบัญญัติ และ 11.ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติ
ทั้งนี้มีการระบุด้วยว่าเมื่อคณะรัฐมนตรีได้รับข้อเสนอของกรรมการยุทธศาสตร์ฯ แล้วไม่ดำเนินการตาม ต้องชี้แจงเหตุผลให้รัฐสภาและคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯทราบ ซึ่งหากคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯยืนยันด้วยเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ ให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการให้เป็นไปตามมติ
นอกจากนี้ในบทเฉพาะกาลยังระบุว่า หากภายในห้าปีนับแต่ใช้่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถ้ามีความจำเป็นเพื่อรักษาเอกราชของชาติ บูรณภาพแห่งดินแดนหรือเพื่อป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของชาติ ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือกรณีที่เกิดความขัดแย้งอันอาจนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงในประเทศ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายในหรือภายนอกราชอาณาจักร ทั้งการดำเนินการตามปกติของสถาบันทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญและคณะรัฐมนตรีไม่อาจดำเนินการเพื่อยุติกรณีดังกล่าวได้ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ ซึ่งมีมติด้วยคะแนนไม่น้อยกว่าสองในสามของกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ มีอำนาจใช้มาตรการที่จำเป็นสำหรับจัดการกับสถานการณ์ดังกล่าวแทนได้ ภายหลังจากที่ได้มีการปรึกษากับประธานศาลรัฐะรรมนูญและประธศานศาลปกครองสูงสุดแล้วทั้งนี้เพื่อให้สถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว
และเมื่อมีการดำเนินการตามวรรสองดังกล่าวแล้วให้ประธานกรรมการยุทธศาสตร์ฯโดยความเห็นชอบของกรรมการยุทธศาสร์ฯมีอำนาจสั่งการ ระงับ ยับยั้ง หรือกระทำการใดๆ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ หรือในทางบริหาร และให้ถือว่าคำสั่ง หรือการกระทำและการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวเป็นการกระทำที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายและเป็นที่สุด
8.ในประเด็นของบทเฉพาะกาล กำหนดให้สนช. อยู่ปฏิบัติหน้าที่ไปจนกว่าจะมีวุฒิสภาเข้าปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และกำหนดให้สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ที่แต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557แก้ไขเมเติม (ฉบับที่1) พ.ศ.2558ปฏิบัติหน้าที่จนถึงวันเปิดประชุมรัฐสภานัดแรก ยกเว้นนายกฯ จะประกาศให้สภาขับเคลื่อนฯ สิ้นสุดก่อนเวลาได้ นอกจากนั้นมีบทกำหนดห้ามกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรี, ส.ส. , ส.ว., ข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือ เจ้าหน้าที่หรือผู้ดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมือง ภายใน2ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง แต่ได้กำหนดให้กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็น สนช. อยู่ปฏิบัติหน้าที่สนช. ได้ต่อไปโดยได้กำหนดให้สภาขับเคลื่อน ร่วมยกร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นที่จำเป็น พร้อมได้ปรับระยะเวลาการทำกฎหมายสำคัญ คือ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. และการได้มาซึ่งส.ว. ,พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ทำให้เสร็จภายใน90วัน จากเดิมที่กำหนดให้ทำให้เสร็จภายใน60วัน
ส่วนข้อกำหนดให้จัดการเลือกตั้ง ส.ส. นั้น กำหนดให้จัดการให้แล้วเสร็จภายใน90วันนับตั้งแต่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. และการได้มาซึ่งส.ว. ,พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองแล้วเสร็จ โดยมีข้อยกเว้น ห้ามไม่ให้นำการหยั่งเสียงสมาชิกพรรคในเขตเลือกตั้งมาบังคับใช้ ขณะที่การเลือกตั้งและสรรหา ส.ว. นั้น กำหนดให้ทำภายใน150วันนับแต่วันที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ3ฉบับแล้วเสร็จ และเขียนให้สิทธิอดีต ส.ว. ที่พ้นสมาชิกสภาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550ให้ลงสมัครรับเลือกตั้งและสรรหาเป็นส.ว.ได้ ส่วนวาระของ คสช. และครม. นั้นกำหนดให้พ้นจากตำแหน่งเมื่อมี ครม.ชุดใหม่ปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งในระหว่างที่คสช. ปฏิบัติหน้าที่นั้น ให้คณะคสช. มีอำนาจตามที่ตามรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557และฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติม
ขณะที่ข้อกำหนดว่าด้วยกรรมการยุทธศาสตร์ฯ ในบทเฉพาะกาล เขียนให้ดำเนินการแต่งตั้งกรรมการฯ ได้ ยกเว้นตำแหน่งประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา และนายกฯ จนกว่าจะมีบุคคลที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ส่วนบทบัญญัตัติมาตราสุดท้าย ว่าด้วยการนิรโทษกรรมให้ คณะคสช. ได้เพิ่มบทบัญญัติวรรคสอง ที่รับรองประกาศ หรือคำสั่งของคสช. หรือหัวหน้าคสช. ที่มีอยู่ก่อนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้ ทั้งประกาศหรือคำสั่งที่มีผลบังคับทางรัฐธรรมนูญ ทางนิติบัญญัติ ทางบริหาร หรือทางตุลาการ ให้ถือเป็นประกาศหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายและชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และมีผลบังคับใช้โดยชอบตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หากจะมีการยกเลิก หรือเปลี่ยนแปลงประกาศหรือคำสั่งต้องตราเป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โดยพ.ร.บ.ดังกล่าวจะไม่มีผลกระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติงานของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ได้กระทำไปตามประกาศ หรือคำสั่ง และให้บุคคลหรือคณะบุคคลนั้นได้รับความคุ้มครอง ผู้ใดจะนำไปเป็นเหตุฟ้องร้องในทางใดไม่ได้/จบ
.................................................................................................................................
ขออนุญาตนำเนื้อหาจากกรุงเทพธุรกิจรายวันมารวบรวมไว้เพื่อการศึกษาต่อไป
'ฉัตรเฉลิม'ยันครบ7วัน ปล่อยตัว'พิชัย-เก่ง'
//www.bangkokbiznews.com/news/detail/665275
ฉัตรเฉลิม ยันทหารดูแล พิชัย-เก่ง อย่างดี พักบ้านพักรับรอง ไม่มีทำร้ายร่างกาย ย้ำครบ 7 วันปล่อยตัวแน่
พล.อ.ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข เสนาธิการทหารบก ในฐานะรองเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีที่เจ้าหน้าที่กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ของ คสช. ควบคุมตัวนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรมว.พลังงาน และนายการุณ โหสกุล หรือเก่ง อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย ปรับทัศนคติในค่ายทหารว่า ทั้งสองคนยังอยู่ดีเป็นปกติที่บ้านพักรับรองแห่งหนึ่งของทหาร โดยมีเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปพูดคุยด้วยทุกวัน เพื่อปรับทัศนคติ และขอร้องให้ทำตามกฎ กติกา หากรับปากก็จะดำเนินการปล่อยตัว ซึ่งก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะครั้งนี้ก็ไม่ได้เป็นครั้งแรกที่เชิญตัวมาทำความเข้าใจร่วมกัน
แต่ที่ผ่านมาทั้งสองคนยังพูดแสดงความคิดเห็นด้านลบต่อรัฐบาลและคสช.ที่อาจก่อให้เกิดความวุ่นวายหรือทำให้คนทะเลาะกันได้ เพราะการพูดในบางเรื่องนั้นอาจทำให้เกิดความแตกแยก แต่ถ้าเป็นการพูดแนะนำเชิงสร้างสรรค์ รัฐบาลและคสช.ก็ไม่มีปัญหา เพราะเราพยายามดำเนินการตามโรดแม็พ อย่างไรก็ตามยืนยันว่าทหารไม่ทำร้ายร่างกายทั้งสองคนอย่างแน่นอน
เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องควบคุมตัวทั้งสองคน เพื่อดำเนินการปรับทัศนคติตามกฎหมายเป็นเวลา 7 วัน ถ้าปล่อยตัวไปแล้วยังไม่พูดเพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวายอีก ทาง กกล.รส.ก็จะไปเชิญตัวมาปรับทัศนคติอีกเป็นเวลา 7 วัน เรื่อยๆ แต่หากยังไม่ยอมรับฟังกันก็จำเป็นต้องใช้กฎหมายเข้ามาดำเนินการ เนื่องจากถือว่า ขัดคำสั่งคสช. ทางรัฐบาลและคสช. ฟังทุกคน เรื่องความคิดนั้นทุกคนสามารถคิดแตกต่างได้ แต่ช่วยพูดแบบสร้างสรรค์ในเชิงแนะนำ ไม่ใช่การพูดติติง เปรียบเทียบ กล่าวหารัฐบาลและคสช. เพราะรัฐบาลและคสช.มีความหวังดี แต่ทุกเรื่องต้องใช้เวลา ซึ่งอาจช้าไปบ้าง พล.อ.ฉัตรเฉลิม กล่าว
เสนาธิการทหารบก ยังกล่าวถึงกรณีที่นายวัฒนา เมืองสุข อดีต ส.ส พรรคเพื่อไทย เรียกร้องให้คสช. ดูแลความปลอดภัย ภายหลังถูกชายฉกรรจ์ผมเกรียนทำร้ายร่างกายที่สนามซ้อมฟุตบอลเมืองทองธานี (12 ก.ย.) ที่ผ่านมา คาดว่า สาเหตุมาจากการเมืองว่า ทาง คสช.ดูแลความปลอดภัยให้กับทุกคนอยู่แล้ว ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุมาจากเรื่องการเมืองหรือไม่นั้นตนไม่ทราบ และยืนยันว่า ทหารไม่ทำร้ายร่างกายใครแน่นอน./จบ
..................................................................................................................................