คำถามก็คือจะช่วยได้จริงหรือ?
มีคำอธิบายจากผู้อำนวยการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันประเทศไทย
ดร.มานะ นิมิตมงคล (ให้สัมภาษณ์ทางวิทยุจุฬาฯ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา) ว่า
แต่ก่อนนี้ใครจะประมูลงานราชการก็จะเขียนตัวเลขที่เสนอใส่กระดาษ
หรือเอกสารที่ทางราชการกำหนดมาใส่ซอง
ประมาณ 8-9 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลเปลี่ยนเป็น e-auction
อันเป็นวิธีการประมูลผ่านทางอินเทอร์เน็ต
ใครจะเข้าประมูลก็ไปที่สถานที่ที่ทางราชการกำหนด
นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ กดตัวเลขที่ผู้ประมูลพร้อมจะรับงาน
เพื่อแข่งขันกับรายอื่น ๆ ที่เสนอราคามาเช่นกัน
ผู้เคาะราคารายต่าง ๆ ที่เข้าประมูลไม่เห็นหน้ากัน
แต่วิธีนี้ไม่อาจจะป้องกันคอร์รัปชันได้
เพราะพบว่าก่อนที่จะไปนั่งเคาะราคาหน้าจอคอมพิวเตอร์
ผู้เข้าร่วมประมูลมีการ ฮั้วราคา กันมาเรียบร้อยแล้ว
ดังนั้น เมื่อมาเคาะแข่งกันจริง ๆ มีการลดราคากันเพียงเล็กน้อย
บางครั้งงานเป็นพันล้านบาท มีการตัดราคากันเพียงหลักแสนบาทเท่านั้น
เพราะต่างฝ่ายต่างตกลงราคากันมาก่อนแล้ว
นั่นคือเหตุผลที่เปลี่ยนมาเป็น e-marketing และ e-bidding
E-market หรือ ตลาดอิเล็กทรอนิกส์
หมายถึงในกรณีที่เป็นสินค้าพื้น ๆ
เช่นโต๊ะ, เก้าอี้หรือปากกาดินสอ ใครมีสินค้าอะไรก็เข้าไปแจ้งว่า
สินค้าของตนเองมีสเปคอย่างไร จะขายราคาเท่าไหร่ต่อหน่วย
คอมพิวเตอร์ก็จะทำการประมวลและแยกสินค้าเป็นประเภท
จัดลำดับราคาที่เสนอขาย โดยที่ใครเข้าไปดูก็จะเห็นข้อมูล
เหมือนกันหมด หน่วยราชการไหนต้องการจะซื้ออะไร ราคาเท่าไหร่
ก็เข้าไปประเมินกลุ่มสินค้าราคาช่วงไหนอย่างไรที่สมเหตุสมผล
เพื่อจะได้ตัดสินว่าจะซื้อจากบริษัทที่เข้ามาประมูลรายไหน
ที่ใกล้เคียงกับราคากลางที่มีการเสนอผ่าน e-market นี้
ส่วน e-bidding จะป้องกันไม่ให้ผู้ประมูลรู้ล่วงหน้าว่า
มีใครมาซื้อซองบ้าง รู้ล่วงหน้าว่าใครเป็นใคร
ซึ่งจะทำให้เกิดการ ฮั้ว กันขึ้นได้
ด้วยการไม่ให้คนประมูลรู้ว่าใครมาร่วมแข่งขันด้วย
เมื่อหน่วยราชการประกาศทางอินเทอร์เน็ทว่า
จะจัดซื้อจัดจ้างอะไร ใครสนใจเข้าร่วมแข่งขันก็ให้ไปที่ธนาคารใกล้บ้านตนเอง
จ่ายเงินค่าซองประมูลที่นั่น ระบบคอมพิวเตอร์จะตอบรับกลับมาว่า
ผู้ซื้อซองมีคุณสมบัติครบที่จะเข้าประมูลหรือไม่อย่างไร
และหากอนุมัติก็จะมีรหัสเฉพาะราย
เมื่อได้รหัสมาแล้ว ผู้ประมูลก็สามารถไป download
ข้อมูลของการประมูลนั้น ๆ และการยื่นประมูล
ก็สามารถทำได้ทางอินเทอร์เน็ท ทำให้ผู้ประมูลทุกคน
ได้ข้อมูลจากภาครัฐเท่าเทียมกัน ไม่เหมือนในอดีตที่มีความ
ได้เปรียบเสียเปรียบของผู้เข้าประมูล แล้วแต่เส้นสาย
และความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่รัฐในการประมูลครั้งนั้น ๆ
ระบบนี้เพื่อไม่ให้มีการติดต่อระหว่างข้าราชการ
หรือ ขาใหญ่ ของวงการเพื่อ ฮั้ว กันก่อนการประมูล
เพราะจะไม่ต้องผ่านเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานนั้น ๆ
โดยที่ข้อมูลจะวิ่งไปที่ส่วนกลางที่กระทรวงการคลัง
แต่ต้องไม่ลืมว่านักธุรกิจไทยมีความเก่งกาจสามารถ
ในการหาช่องโหว่กฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยงการป้องกันการฉ้อฉลอย่างยิ่ง
จะออกกฎหมายอะไรหรือสรรหาวิธีการประมูลอย่างไรก็
เอาไม่อยู่ แต่ฝ่ายที่พยายามจะสกัดกั้นการโกงกิน
ก็ร่วมกันแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯของราชการ
เพื่อจะปิดรูรั่วเหล่านี้ในทุก ๆ วิถีทางเช่นกัน
ดร.มานะ อธิบายว่า ยกตัวอย่างว่าแต่ก่อน
กรมทางหลวงจะสร้างทาง ก็จะมีบัญชีผู้รับเหมาของตนเอง
ซึ่งก็จะแยกเป็นเกรด A, B, C ใครจะเลื่อนชั้นจาก B เป็น C
ต้องจ่ายตังค์ ใครจะเลื่อนจาก C เป็น B ก็ต้องจ่ายเงิน
แต่ละหน่วยงานที่ก่อสร้างถนนไม่ว่าจะเป็นกรมทางหลวง,
หรือกรมทางหลวงชนบท ต่างก็มีบัญชีผู้รับเหมาของตนเอง
เรียกว่ามุ้งใครมุ้งมัน แต่ภายใต้กฎใหม่ แต่ละหน่วยราชการจะสร้างก๊วน,
สร้างแก๊ง, สร้างมุ้งของตัวเองไม่ได้เพราะการขึ้นบัญชีผู้รับเหมา
จะทำโดยกรมบัญชีกลางเท่านั้น โครงการก่อสร้างที่กินกันมาก
เป็นพันเป็นหมื่นล้านจะเป็นประเภท turn-key หรือ design-and-build
คือออกแบบไปทำไป โดยเขาจะมีวงเงินในการก่อสร้างอยู่
และนั่นคือช่องทางคอร์รัปชันมหาศาล ตรวจสอบยากมาก
แต่กฎหมายใหม่ทำ design-and-build ไม่ได้
ถ้าคุณไม่มีแบบที่ชัดเจนคุณประมูลไม่ได้...เ
ราต้องใช้กลไกหลาย ๆ อย่างพร้อม ๆ กัน
จึงจะแก้ปัญหาคอร์รัปชันในระบบได้...
ถามว่าออกแบบกฎเกณฑ์ใหม่อย่างนี้แล้ว
จะหยุดยั้งคอร์รัปชันได้ทั้งหมดหรือไม่?
คำตอบคือไม่ แต่จะทำได้ยากขึ้น
และหากประชาชนช่วยกันแบบ ตาสับปะรด
และส่งเสริมให้มีการคุ้มครองคนวงในเปิดโปงความชั่วร้ายภายใต้
ที่เรียกว่า whistle-blower (คนเป่านกหวีดเตือนภัย) ได้,
อย่างน้อยก็จะทำให้เราจัดการกับความชั่วร้ายของสังคมได้อีกชั้นหนึ่งแน่นอน/จบ
..................................................................................................................................