...........พระองค์เป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจและคุณธรรมของคนไทย
ทั้งชาติอีกทั้งยังเป็นธุระศึกษาปัญหาต่างๆ
อย่างลึกซึ่งลงไปถึงต้นเหตุอย่างไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน ดังพระราชดำริที่ว่า
"ในการทำงานช่วยเหลือประชาชนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จักคน
ที่จะช่วยเหลือเป็นอย่างดี8"
"อย่ามาพูดกันดีกว่า เพราะว่าเพราะว่าถ้าทรรศนะของคนหนึ่งมีอย่างหนึ่ง
และทรรศนะของอีกคนหนึ่งมีอีกอย่างหนึ่ง
โดยไม่พยายามปรองดองกัน โดยไม่พยายามหาทางออกที่เหมาะสม
ยิ่งพูดก็ยิ่งยุ่ง ยิ่งทำให้คนอื่นที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่
ดูแล้วขวัญเสีย เด๋ยวนี้พูดกัน เถียงกันอย่าง
ทำให้ประชาชนทั่วไปขวัญเสียไม่ทราบว่าอะไรกันแน่
พื้นฐานของความคิดนั้นมันคนละอย่างทีเดียวแล้วมาเถียงกัน มันเข้ากันไม่ได้
มันคนละเรื่องพุดอย่างทีเขาเรียกกัน
ว่า "พูดกันคนละเรื่องเดียวกัน" ไอ้คำ "พูดกันคนละเรื่องเดียวกัน"
นี้ว่าเหมือนเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ พูดกันคนละเรื่อง
มันไม่มีทางออกไม่มีผล"9
"สำคัญที่สุด ก็จะได้เห็นว่า การพัฒนาประเทศก็ตามพัฒนาตัวเองก็ตาม
จำเป็นที่จะต้องใช้ความร่วมมือ"10
และ "ต้องทำอะไรตามที่ควร"11
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงส่งเสริมการพัฒนาประเทศแบบค่อยเป็นค่อยไป
ด้วยการทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราษฎรด้วยพระองค์เอง
ในการพระราชทานสัมภาษณ์แก่ เดนิสเกรย์ และบาร์ต แมคเดาเวิลล์
เพื่ออัญเชิญไปลงพิมพ์
ในนิตยสารชื่อ แนทซันเนิล จีโอกราฟฟิก
มีพระราชดำรัสว่าแนวพระราชปฏิบัติของพระองค์ยึดมั่นในประเพณีที่มีมาตั้แต่ดังเดิม
"วิวัฒนาการแบบค่อยเป็นค่อยไป เลือกสรรประเพณีที่ดีงามในอดีต
สืบสานและเปลี่ยนแปลงบ้างเป็นบทเรียน
เรานำประเพณีเก่าแก่มาดัดแปลงให้ใช้ในปัจจุบันและต่อไปในอนาคต"12
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ
ซึ่งมิได้มีอำนาจทางการเมือง และการทหารแต่อย่างใด
และผู้ที่ได้รับพระราชทานกระแสรับสั่งจะไม่ปฏิบัติตามก็ได้
อีกทั้งยังไม่ได้มีพระราชประสงค์ที่จะทรงมีบทบาททางการเมือง
แต่ในยามที่ประเทศไทยอยู่ในยามวิกฤติ
รัฐบาลก็มักจะหันไปพึ่งพระบารมีทั้งอาจเป็นเพราะไม่มีผู้ใดที่จะแก้ไขสถานการณได้
ไม่เพียงแต่รัฐบาลเท่านั้นที่พึ่งบารมี พระองค์ยังเป็นศูนย์รวมใจให้ประชาชนมีความอันหนึ่งอันเดียวกัน
ดังเรื่องราววิกฤติทางการเมืองครั้งสำคัญสองครั้งในปีพุทธศักราช 2516
และ 2534 ของประเทศไทย
ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวประชาชนหันไปพึ่งพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงชี้ทางออกประการอบ่างละมุนละม่อม
แต่ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจ ก่อให้เกิดผลดีแก่ประเทศชาติ
จนถึงขั้นพลิกประวัติศาสตร์เลยทีเดียว
พระองค์ทรงตั้งหมั่นในความมั่นเพียร ปฏิบัติพระราชกิจทุกเรื่องอย่างเติมกำลัง
ไม่ทรงท้อถอยทรงดำรงพระชนมชีพ อย่างเรียบง่ายในขันติธรรมทรงอดทนต่อสิ่งทั้งปวง
และไม่ทรงขัดขวางความปรารถนาของปวงชน
แม้ว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย
จะดำเนินมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ทั้งประชาชน
และรัฐบาลก็ยังหวังพึ่งพระบารมีของพระมหากษัตริย์ในทุกๆ เรื่อง
มีความสำคัญระดับชาติและ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ยังทรงสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยอย่างเต็มที่
ดังพระราชดำรัส ตอนหนึ่งว่า
"คนไทยไม่จำเป็นต้องตามแบบอย่างประชาธิปไตยของชาติอื่น
แต่ควรจะสร้างประชาธิปไตยแบบไทย ๆ ของเราเอง
เพราะเรามีวัฒนธรรมประจำชาติและความเห็นเป็นของตัวเอง
สามารถใช้วิจารณญาณของเราเอง"13
"คนไทยเราไม่จำเป็นต้องตามอย่างประชาธิปไตยของชาติอื่น
แต่ควรจะพยายามสร้างประชาธิปไตยแบบไทยๆ ของเราเอง "
ด้วยพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านที่ทรงทุ่มเททำเพื่อราษฎรนั้นมีมากมาย
ผู้เขียนได้นำมารวบรวมไว้แค่บางตอนเท่านั้น ซึ่งล้วนบ่งบอกว่า
พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยที่ยิ่งใหญ่ จึงไม่น่าแปลกเลยว่า
"ทำไมคนไทยถึงรักและเทิดทูลพระเจ้าอยู่หัว หาที่เปรียบมิได้ "
วันเสาร์เจอกันที่งานนะคะ