" การสร้างอัตลักษณ์ทางศาสนาของพุทธศาสนาเถรวาท ที่เป็นทางการของไทย ไม่ได้มีอิทธิพลในแง่สังคม วัฒนธรรม และการเมืองเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการบิดเบือนคุณค่าพุทธธรรม โดยพื้นฐานอีกด้วย
คำว่า "บิดเบือน" ในที่นี้ ไม่ใช่การพยายามจะตัดสินว่าอะไรคือพุทธแท้ หรือพุทธเทียม คำสอนใดถูกหรือคำสอนใดผิด ตรงตามพุทธวจนะ หรือพระไตรปิฎกหรือไม่ แต่การบิดเบือนพื้นฐาน คือการที่คำสอนพุทธศาสนาถูกนำใช้ไปในทาง เสริมสร้างตัวตน มากกว่า ขัดเกลาตัวตน อัตลักษณ์ไม่ว่าจะเป็นความเป็นชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ความเป็นไทย ประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ ประเพณีอันดีงาม ฯลฯ หากหล่อหลอมให้เชื่อกันอย่างเป็นทางการโดยปราศจากการตั้งคำถาม การเชิดชูอัตลักษณ์ดังกล่าวก็สามารถนำไปสู่การสร้าง "อัตตาร่วม" (หรืออวิชชาร่วม) อันทรงพลัง เมื่อเชื่ออย่างยึดมั่นถือมั่นว่าชาติ มีร่างกายเดียวกัน ศูนย์รวมใจเดียวกัน และความคิดแบบเดียวกัน (เท่านั้น) พลเมืองของรัฐจึงถูกปลูกฝังในความเชื่อที่ว่า "อัตตาที่เข้มแข็งสั่นคลอน ไม่ได้เป็นสิ่งดีต่อรัฐ (และศาสนา)" สัมพันธ์อยู่อย่างแนบแน่นกับการสมาทานอุดมการณ์สูงสุด เพื่อการรับใช้อำนาจสูงสุด ซึ่งไม่เคยเท่ากับอำนาจของประชาชน
หากศาสนาสอนเรื่องทำความดี ก็ไม่ใช่การทำเพื่อทำ หรือความดีที่ดีแก่ผู้กระทำเอง แต่เป็นการทำดีเพื่อความดีที่สูงกว่า ไม่ว่าจะเป็นทำเพื่อพ่อแม่ ทำเพื่อวงศ์ตระกูล หรือทำเพื่อหวังผลที่ดีกว่า
หากทำเพื่อคนอื่นก็ไม่ใช่การทำเพื่อประโยชน์ของมนุษย์คนอื่นที่มีเลือดเนื้อ แต่เป็นการทำเพื่อรับใช้อำนาจที่สูงกว่า รวมถึงการรับใช้ชาติ หรือรับใช้พระศาสนา การทำความดีจึงกลายเป็นการเสริมสร้างอัตตา เพื่อที่ว่าเมื่อทำดีแล้วจะได้ชื่อว่าเป็นคนดี ไม่ใช่ทำความดีเพื่อการให้ หรือเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น เพื่อเพื่อนมนุษย์ หรือเพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม อย่างที่ควรจะเป็นธรรมะที่ถูกสอนกันในสังคมที่ยึดถือศาสนาพุทธ เป็นอัตลักษณ์ทางสังคมอย่างสังคมไทย ไม่ใช่ธรรมะที่ส่งเสริมให้คนรู้จักตัวเอง เชื่อมั่นในตัวเอง และปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ อย่างที่เราจะไม่เคยได้ยินว่าพุทธศาสนาไทยสอนให้คนเป็นตัวของตัวเอง (แต่สอนให้คนเป็นคนดี) ธรรมะเต็มไปด้วยหลักการที่ "อธิบาย" มนุษย์ แต่ไม่ได้สะท้อนประสบการณ์ความเป็นมนุษย์ ธรรมะไม่ได้ถูกนำไปใช้ในการเสริมสร้างและปลดปล่อยความเป็นมนุษย์ แต่มนุษย์ต่างหากที่มีหน้าที่รับใช้ "ธรรมะ" ซึ่งหมายถึงการรับใช้อำนาจ
ยิ่งยึดมั่นในศาสนามาก ยิ่งคับแคบและเห็นแก่ตัว ยิ่งมีธรรมะมาก ยิ่งถือตัวในสถานะและอำนาจ แปลกแต่จริงที่สังคมพุทธอาจไม่ได้ หมายถึงสังคมที่ตื่น และสังคมที่มีธรรมะอาจไม่ใช่สังคมที่มี ความเป็นธรรมก็ได้
เชอเกียม ตรุงปะ ธรรมาจารย์ชาวทิเบต เรียกการบิดเบือนพื้นฐานนี้ว่า "วัตถุนิยมทางศาสนา" วัตถุนิยมในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการเป็นปฏิปักษ์ต่อโลกวัตถุนิยมหรือทุนนิยมแบบตะวันตกอย่างที่ชาวพุทธไทยฝังหัว แต่วัตถุนิยมทางศาสนาคือการใช้เทคนิคหรือคำสอนทางศาสนา เพื่อเสริมสร้างอัตตาตัวตน เป็นแนวโน้มของการมองศาสนธรรม ราวกับเป็นวัตถุ เรารับธรรมะเข้ามา สวมใส่ธรรมะ เสพธรรมะ ซื้อธรรมะ คาดหวังว่าตัวเองจะกลายเป็นคนดีขึ้น ได้รับการยอมรับมากขึ้น เราหวังจะ "ได้" อะไรจากการทำบุญ ฟังเทศน์ หรือปฏิบัติธรรม ราวกับเป็นการลงทุนแสวงหากำไรทางธุรกิจ เราหวังว่าธรรมะจะเข้ามา เปลี่ยนแปลงตัวเรา ทำให้เรากลายเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิม ชีวิตเราจะสมหวัง ราบรื่นไร้ปัญหา และปราศจากความทุกข์เมื่อเรามีธรรมะ การได้บริโภคคำสอนหรือฝึกฝนเทคนิคปฏิบัติทางศาสนาทำให้เราคิดไปเองว่า ตนเองกำลังมีพัฒนาการทางจิตใจอันสูงส่ง การมีศาสนา (โดยเฉพาะพุทธศาสนา) ทำให้ตนดีพิเศษกว่าคนอื่น หารู้ไม่ว่านั่นเป็นแค่การหลอกตัวเอง ใช้ศาสนาในการเสริมสร้างตัวตน ให้มีสถานะและอำนาจมากขึ้นเท่านั้น เราสามารถแสดงธรรมเทศนา ได้ยาวนานเป็นชั่วโมงๆ แต่กลับไม่มีความเปิดกว้างของจิตใจในการรับฟังผู้อื่น ได้มากนัก การอ้างพุทธวจนะจึงเป็นเพียงเครื่องมือยืนยันในความบริสุทธิ์ ถูกต้องของคำพูดตัวเอง ไม่ใช่การแสดงให้เห็นถึงการทำในสิ่งที่พูด เราพร้อมออกมาปกป้องพระศาสนาออกจากกลุ่มคนผู้ไม่หวังดี โดยไม่รู้ตัวว่าความรุนแรงทางกาย วาจา ใจ ที่แสดงออกมาเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพุทธธรรมคำสอน เป็นต้น
หากมองไปยังปรากฏการณ์ "วัตถุนิยมทางศาสนา" ในสังคมไทย คำพูดของคาร์ล มาร์กซ์ ที่ว่า "ศาสนาคือยาฝิ่น" ก็ดูจะไม่ผิดไป จากความเป็นจริงมากนัก
จากคำอธิบายของเชอเกียม ตรุงปะ การบิดเบือนพื้นฐานของอัตตา แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทด้วยกัน
วัตถุนิยมแห่งรูป คือ การกระทำของอัตตาในการเสาะหาความสะดวก สบายทางกาย ความมั่นคงปลอดภัย หรือความสุข แทนที่จะมุ่งไปยัง กระบวนการเผชิญความทุกข์ ความเปลี่ยนแปลง หรือความไม่มีตัวตน เรากลับใช้ศาสนธรรมเพื่อ "หลีกเลี่ยง" ที่จะเผชิญสัจธรรมพื้นฐานเหล่านั้น เราหวังว่าศาสนาจะช่วยให้เราไม่ต้องพบเจอกับความไม่สะดวกสบายทั้งหลาย ศาสนธรรมจึงกลายเป็นเครื่องมือในการควบคุมจัดการผู้คนหรือสิ่งแวดล้อม รอบตัวให้เป็นอย่างที่เราต้องการ พร้อมกับยกสถานะและเสริมสร้างอำนาจ ให้แก่ตัวเราในฐานะผู้ยึดมั่นในศาสนา
นอกจากนั้น เรายังสร้างโลกจำลองชีวิตทางศาสนาอันสะดวกสบายขึ้นมา เช่น นิพพานเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา การบรรลุธรรมเป็นสิ่งที่นำความสุขมาให้ ยิ่งทำบุญมากยิ่งได้มาก เป็นต้น วัตถุนิยมแห่งรูปสะท้อนถึงจิตวิปลาสที่พยายามปกป้องและหลบเลี่ยงสิ่งกวนใจ แล้วบิดเบือนสร้างโลกอันสะดวกสบาย น่าหลงใหลขึ้นมาใหม่ด้วยกลไกแห่งการจัดการควบคุมทางกายภาพ ราวกับการเนรมิตรังดักแด้ทางศาสนามาห่อหุ้มอัตตาอันเดิมเอาไว้
วัตถุนิยมแห่งถ้อยคำ คือการกระทำของอัตตาในการจำแนกแยกแยะประเภท เพื่อเป้าหมายในการจัดการกับปรากฏการณ์ทั้งหลาย แทนที่จะเผชิญกับประสบการณ์ชีวิตอันโกลาหลอย่างตรงไปตรงมา เรากลับตัดทอนมันออกเป็นส่วนๆ ด้วยหลักคิดต่างๆ เราให้คำนิยาม ความหมาย ตีความ ตัดสินดีชั่วถูกผิด เรารับรู้ผ่านความคิดว่าทำไมและอย่างไร สิ่งต่างๆ จึงเกิดขึ้นในแบบนี้และแบบนั้น
วัตถุนิยมแห่งถ้อยคำ คือแนวโน้มของอัตตาในการตีความสิ่งใดก็ตาม ที่เข้ามาคุกคามหรือสร้างความรำคาญใจ หักล้างให้กลายเป็น "กลางๆ" หรือแปรเปลี่ยนมันให้กลายเป็นบวกเสีย เราใช้ถ้อยคำและหลักการต่างๆ เป็นม่านกรองในการปกป้องตัวเองจากการรับรู้โลกตามที่เป็นจริง ถ้อยคำ วิธีคิด และหลักการเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ผิดในตัวมันเอง แต่มันถูกนำมาใช้อย่างจริงจังเกินไป เมื่อใดที่เรามีประสบการณ์ชีวิตอันดิบ หยาบและคาดไม่ถึง เราจะรีบหยิบหลักการขึ้นมาอธิบายมันทันที เราไม่ยอมให้ตัวเองรู้สึกสั่นไหวไปกับความไม่รู้หรือภาวะที่ตัวตนถูกท้าทาย ได้นานนัก "I think, therefore I am" เมื่อโลกที่มีชื่อเรียกและคำอธิบาย อย่างตายตัวมีอยู่ ตัวฉันจึงมีอยู่ และเมื่อตัวตนฉันมีอยู่ โลกก็ต้องเป็นไป อย่างที่ฉันอธิบาย แนวโน้มนี้สามารถอธิบายการใช้หลักธรรมหรือคำสอน ทางศาสนา เพื่อยืนยันการมีอยู่ของตัวตนที่มั่นคงถาวรได้ด้วยเช่นกัน
วัตถุนิยมทางจิตใจ คือการใช้เทคนิคการปฏิบัติทางจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติภาวนา สวดมนต์ นั่งสมาธิ ปลีกวิเวก หรือความสัมพันธ์ที่มีกับครูบาอาจารย์ มาเป็นหนทางในการปิดกั้นตัวเอง ออกจากความทุกข์หรือสิ่งกวนใจ เราเชื่อว่าเมื่อปฏิบัติธรรมแล้ว ใจจะไม่เป็นทุกข์ นั่งสมาธิแล้วจะสงบเย็น หรือฝึกฝนกับอาจารย์คนนี้แล้วชีวิตจะดีขึ้น เป็นต้น
เมื่อต้องการความสงบ ความสุข หรือสภาวะจิตที่มั่นคงแน่นอน เราก็สามารถใช้เทคนิคหรือคำสอนเพื่อให้ได้มาซึ่งสภาวะจิต ที่ปรารถนาแล้วปิดกั้นอารมณ์ ความรู้สึก หรือสภาวะจิตอื่นๆ ออกไป
กลไกป้องกันตัวเองของวัตถุนิยมแห่งรูป ถ้อยคำ และจิตใจ ถูกสร้างขึ้นเพื่อธำรงรักษาความเป็นอมตะของอัตตา ลึกๆ เราอยากเชื่อว่าตัวเองจะดำรงอยู่เป็นนิรันดร์ไม่มีวันตาย ชีวิตเป็นสิ่งเที่ยงแท้ถาวรไม่เปลี่ยนแปร เราพยายามหลอกตัวเองทั้งๆ ที่รู้ดีว่าตำนานที่สร้างขึ้นนั้นไม่มีทางเป็นจริง
การบรรลุสัจธรรมของพุทธะ คือการตัดทะลวงผ่านกลไกป้องกันตัวเอง อันซับซ้อนของวัตถุนิยมทางศาสนาเข้าไป การภาวนาคือการฝึกสติสัมปชัญญะให้รู้เท่าทันกลวิธีการหลอกตัวเองของอัตตา เพื่อที่ว่าเราจะสามารถอยู่ตรงนั้น และปล่อยให้ชีวิตเป็นไปโดยไม่มัวเสียเวลา ขัดขืนหรือปกป้อง เราเรียนรู้ที่จะเผชิญและสัมพันธ์กับเหตุปัจจัยที่เกิด ขึ้นตามจริง ไม่หลบ ไม่เบี่ยง ไม่เลี่ยง ไม่หนี ไม่ควบคุมให้เป็นไปอย่าง ที่เราต้องการ ไปพ้นจากกลไกการควบคุมของอัตตา เราค้นพบการตื่นรู้แห่งพุทธภาวะ แทนที่จะหมกมุ่นอยู่กับความสะดวกสบาย ความมั่นคงปลอดภัย หรือความสุข เราฝึกที่จะสัมพันธ์อยู่กับความเป็นจริง อันทั้งสุขและทุกข์ของชีวิต แทนที่จะต้องรีบจัดการจำแนกทุกอย่างเข้าไป อยู่ในหลักคิดอันแน่นอนตายตัว เราสามารถปล่อยให้สิ่งต่างๆ เป็นอย่างที่มันเป็นและเรียนรู้ที่จะสัมพันธ์กับมันได้ ตรงกันข้ามกับความวิปลาส แห่งการปกป้องตัวเองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เราค้นพบความเป็นปกติและเปิดกว้าง ของจิตใจ ที่ซึ่งชีวิตอันหลากหลายอยู่ร่วมกันได้อย่างเสมอภาคเท่าเทียม การภาวนาคือการฝึกสัมพันธ์กับวัตถุดิบของจิตใจอย่างตรงไปตรงมา กระทั่งเกิดเป็นความสบาย ความมั่นคง และความสุขจากภายใน บนพื้นฐานของการเคารพทุกประสบการณ์ตามที่เป็น ในสังคมพุทธที่ ซึ่งอัตลักษณ์ทางศาสนาถูกปลูกฝังส่งเสริมโดยรัฐอย่างไม่ถูกตั้งคำถาม นับวันจะยิ่งพบเห็นแนวโน้มของวัตถุนิยมทางศาสนามากขึ้นทุกที พุทธศาสนาไทยกำลังถูกนำมาใช้สร้างเสริมอัตตาและเป็นเครื่องมือของ รัฐเผด็จการในการพิทักษ์ปกป้องสถานะความศักดิ์สิทธิ์อันลบหลู่ดูหมิ่นไม่ได้ ศาสนาแบบพึ่งพิงอำนาจนำไปสู่คุณค่าศาสนธรรมแบบพึ่งพิงอำนาจ และตราบใดที่ศรัทธาแห่งรัฐยังมุ่งสร้างความมั่นคงด้วยการปกป้อง และปิดกั้นตัวเองจากความหลากหลาย อำนาจรัฐก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึง "ความบิดเบือนพื้นฐานของอัตตา" อันส่งผลต่อความวิปลาสทางการเมือง อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน"
ขอขอบคุณเจ้าของแนวคิดนี้เป็นอย่างยิ่ง ..................................................................................................... ที่มา : มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 12 เมษายน 2558 |