ผู้ต้องหาคดีระเบิดแยกราชประสงค์ที่ทางการไทบอ้างว่าควบคุมตัวได้ที่จังหวัดสระแก้ว เมื่อวันอังคาร(1 ก.ย.) เอพี - สื่อต่างประเทศรายงานเมื่อวันพุธ(2ก.ย.) ว่าผู้ต้องสงสัยหลักยอมรับอยู่ใกล้ศาลพระพรหมเอราวัณตอนที่เกิดระเบิด แต่ปฏิเสธความเกี่ยวข้อง ขณะที่เงื่อนงำอื่นๆเชื่อมโยงมากขึ้นเรื่อยๆว่าจะเป็นการแก้แค้นให้สมาชิกชนกลุ่มน้อยอุยกูร์ที่ถูกบังคับเนรเทศไปจีน ขณะที่ทางการปักกิ่งบอกกับกำลังจับตาความคืบหน้าของคดีอย่างใกล้ชิดและเชื่อว่าผู้กระทำผิดต้องถูกจัดการตามกรอบของกฎหมาย ส่วนหนังสือพิมพ์กัมพูชาเผยเจ้าหน้าที่ควบคุมผู้ต้องสงสัยได้ที่สนามบินพนมเปญ สวนทางกับคำบอกเล่าของฝ่ายไทยที่ระบุว่ารวบตัวชายคนดังกล่าวได้บริเวณชายแดน สำนักข่าวเอพีอ้างคำกล่าวของพลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตอบผู้สื่อข่าวว่า "เป็นธรรมดาที่ผู้ต้องสงสัยจะปฏิเสธ แต่เขายอมรับว่าอยู่ในพื้นที่นั้นตอนเกิดเหตุ" หลังถูกถามว่าชายคนดังกล่าวซึ่งยังไม่เปิดเผยชื่อและสัญชาติยอมรับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่กับเหตุระเบิดเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม บริเวณศาลพระพรหมเอราวัณ คร่าชีวิตผู้คน 20 ศพ บาดเจ็บ 120 คน และเหตุระเบิดหลังจากนั้นไม่นานบริเวณท่าเรือแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆกัน รายงานของเอพีระบุเจ้าหน้าที่ไทยบอกแต่เพียงว่าชายคนดังกล่าวเป็นชาวต่างชาติ ซึ่งถูกจับกุมใกล้ชายแดนกัมพูชาเมื่อวันอังคาร(1ก.ย.) ขณะกำลังพยายามหลบหนี ด้านตำรวจได้แถลงแยกกันว่าพวกเขากำลังตามจับกุมนายเอ็มระห์ ดาวูโตกลู ชายชาวตุรกีที่เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดเช่นกัน โดยเขาเป็นหนึ่งในชาวตุรกีอย่างน้อยๆ 3 คน ในบรรดาผู้ต้องสงสัย 8 รายที่ถูกออกหมายจับ ด้วยความเกี่ยวข้องกับชาวเติร์ก จึงกระพือการคาดเดาว่าเหล่าผู้ต้องสงสัยอาจเป็นสมาชิกของกลุ่มที่ต้องการแก้แค้นไทย ต่อกรณีบังคับเนรเทศมชาวอุยกูร์กลับไปยังจีนเมื่อเดือนกรกฎาคม โดยเอพีระบุเชื่อว่าไทยน่าจะเป็นจุดพักสำหรับชาวอุยกูร์ที่พยายามเดินทางต่อไปยังตุรกี ชาวอุยกูร์ มีความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและศาสนาใกล้ชิดกับชาวเติร์ก และตุรกียังเป็นถิ่นฐานของชุมชนอุยกูร์ขนาดใหญ่ ส่วนศาลพระพรหมเอราวัณเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวชาวจีนโดยเฉพาะ ด้วยเหตุนี้จึงก่อข้อสันนิษฐานที่ว่าบริเวณศาลพระพรหมจึงเป้าหมายการโจมตีของกลุ่มคนที่เชื่อว่าชาวอุยกูร์ถูกกดขี่ข่มเหงจากรัฐบาลจีน ทางปักกิ่งบอกว่าชาวอุยกูร์บางส่วนเป็นก่อการร้ายที่ลักลอบออกนอกประเทศเพื่อเข้าร่วมรบเคียงข้างพวกรัฐอิสลาม(ไอเอส)ในซีเรีย เอพีระบุว่าผู้ต้องสงสัยใหม่ นายดาวูโตกลู เป็นสามีของผู้หญิงไทยคนหนึ่งซึ่งถูกออกหมายจับก่อนหน้านี้ สืบเนืองจากเธอเป็นคนเช่าอพาร์ทเมนต์ที่ตรวจพบว่ามีวัตถุประกอบระเบิด แต่เธอยืนยันว่าตนเองบริสุทธิ์และตอนนี้พำนักอยู่ในตุรกี เมื่อถามถึงการคาดเดาต่างๆนานาในสื่อมวลชนไทยว่าชายคนดังกล่าวเป็นชาวอุยกูร์ของจีน นางหัว ชุนอิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของปักกิ่งบอกว่าพวกเขาใส่ใจกับรายงานข่าวดังกล่าว "เรากำลังติดต่อสื่อสารอย่างใกล้ชิดกับฝ่ายไทย" เธอกล่าว "ฝ่ายจีนจะจับตาความคืบหน้าของคดีอย่างใกล้ชิด เราเชื่อว่าใครก็ตามที่ก่ออาชญากรรมเช่นนี้ ต้องถูกจัดการตามกฎหมาย" รายงานของเอพีระบุว่าการสืบสวนรุดหน้าไปมาก หลังจากตำรวจเข้าตรวจค้นอพาร์ทเมนต์ 2 แห่งรอบนอกกรุงเทพฯเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยทั้งสองแห่งพบวัตถุผลิตระเบิด นอกจากนี้ยังได้ลายนิ้วมือจากอพาร์ทเมนต์ ซึ่งตรงกับผู้ต้องสงสัยที่จับกุมได้บริเวณแนวชายแดนเมื่อวันอังคาร(1ก.ย.) สถานทูตตุรกีประจำกรุงเทพฯร้องขอรัฐบาลไทยยืนยันว่าผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับกุมเมื่อวันเสาร์(29ส.ค.) เป็นพลเมืองตุรกีหรือไม่ และบอกว่าเสียใจต่อรายงานข่าวต่างๆที่คาดว่าพลเมืองของพวกเขาเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิด พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทยเผยว่าจากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ทำให้ทราบว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดกำลังหลบหนีออกนอกประเทศ และพบหนึ่งในผู้ต้องสงสัยที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว จุดข้ามแดนไปยังกัมพูชา อย่างไรก็ตามเอพีอ้างรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์และพนมเปญโพสต์ของกัมพูชา ได้ให้ข้อมูลต่างออกไป โดยอ้างแหล่งข่าวไม่เปิดเผยชื่อบอกว่าชายคนนี้ถูกรวบตัว ณ สนามบินในกรุงพนมเปญ ขณะกำลังขึ้นเที่ยวบินขาออก ก่อนส่งมอบตัวแก่เจ้าหน้าที่ไทยบริเวณจุดผ่านแดน/จบ ................................................................................................................................. ขออนุญาตนำเนื้อหาเหล่านี้จากมติชนรายวันมารวบรวมไว้เพื่อการศึกษา Anadolu Agency สื่อตุรกีที่ก่อตั้งขึ้นพร้อมๆกับการก่อตั้งสาธารณรัฐยังคงตามติดสถานการณ์การสอบสวนคดีระเบิดศาลพระพรหมเอราวัณอย่างใกล้ชิดหลังประเทศตุรกีมีชื่อไปเกี่ยวข้องในหลายทางนับตั้งแต่การจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยรายแรกซึ่งมีหนังสือเดินทางปลอมของประเทศตุรกีรวมถึงการออกหมายจับที่ทางการไทยระบุว่าเป็นบุคคลสัญชาติตุรกี
รายงานลงวันที่ 3 กันยายนของสื่อตุรกี ได้กล่าวถึงรายงานของสื่อในประเทศไทยคือ Bangkok Post ที่อ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผบ.ตร. ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่จับตาความเคลื่อนไหวของชาวอุยกูร์ในประเทศไทยทั้งหมดโดยมิต้องแยกแยะว่าเป็นผู้ถือหนังสือเดินทางของจีนหรือตุรกี
การออกมาแถลงของสถานทูตตุรกีในประเทศไทยเป็นอีกประเด็นที่สื่อตุรกีให้ความสำคัญตั้งแต่กรณีของผู้ต้องสงสัยรายแรกที่ถูกจับพร้อมหนังสือเดินทางปลอมของประเทศตุรกี และการออกหมายจับบุคคลสัญชาติตุรกีแต่ถึงขณะนี้สถานทูตตุรกีในประเทศไทยยังคงไม่ได้รับแจ้งเตือนอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลไทยแต่อย่างใด
ในประเด็นนี้สื่อตุรกีระบุว่า"แนวทางปฏิบัติทางการทูตตามปกติเมื่อมีการออกหมายจับของประเทศใดต่อพลเมืองของประเทศอื่น ประเทศของบุคคลที่ถูกออกหมายจับจะต้องได้รับการแจ้งเตือนโดยทันที อย่างไรก็ดีในกรณีกลับมิได้เป็นไปตามขั้นตอนดังกล่าว"
การรายงานของสำนักข่าวอิศราเป็นอีกประเด็นที่สื่อตุรกีให้ความสำคัญจากรายงานที่ระบุว่า ผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับกุมรายแรกเป็นบุคคลซึ่งเป็นที่รู้จักดีของกลุ่มเอ็นจีโอที่ดูแลปัญหาของชาวอุยกูร์ในประเทศไทยโดยอิศราระบุว่าผู้ต้องสงสัยรายนี้ "ทำงานช่วยเหลือให้ชาวอุยกูร์เดินทางเข้าประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย" รวมถึงการข้อสังเกตของอิศราซึ่งเชื่อมโยงการวางระเบิดกับการจัดการกับชาวอุยกูร์โดยไม่เหมาะสมของไทยที่ส่งชาวอุยกูร์109 คนไปยังประเทศจีน
และสื่อตุรกีได้เผยแพร่คำสัมภาษณ์ของพล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่งสอดรับกับข้อสันนิษฐานของอิศรา โดยโฆษกตร.ระบุว่า เหตุระเบิดมิได้เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายข้ามชาติ แต่เกี่ยวข้องกับกลุ่มลักลอบขนคนเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยอ้างถึงหนังสือเดินทางปลอมกว่า 200 เล่มที่ถูกยึดได้จากผู้ต้องสงสัย จึงเชื่อได้ว่าผู้ต้องสงสัยเป็นหนึ่งในเครือข่ายปลอมแปลงหนังสือเดินทางก่อนส่งตัวผู้อพยพโดยผิดกฎหมายไปยังประเทศที่สาม
นอกจากนี้สื่อตุรกียังได้รายงานความเห็นของ ฟิลิป โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียของฮิวแมนไรท์วอทช์ ที่ระบุว่าการเชื่อมโยงสาเหตุของการวางระเบิดกับปัญหาของผู้อพยพชาวอุยกูร์ยังคงเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน พร้อมย้ำว่าใจกลางสำคัญของปัญหาคือ ชาวอุยกูร์ทั้งหมดที่ถูกกักตัวอยู่ในไทยไม่ควรถูกส่งตัวไปยังจีนตั้งแต่แรก พร้อมอ้างว่า ชาวอุยกูร์กลุ่มดังกล่าวกำลังถูกควบคุมตัวโดยมิชอบพร้อมกับถูกทรมานในจีน ซึ่งไทยรู้แต่แรกว่าจะเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น แต่ยังส่งตัวชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ให้กับจีน ไทยจึงสมควรที่จะต้องรับผิดชอบกับผลของการกระทำดังกล่าวด้วย /จบ ................................................................................................................................. ขออนุญาตเนชั่นนำข้อมูลนี้มารวบรวมไว้เพื่อการศึกษา มาเลย์รวบชายต้องสงสัยเป็นมือบึ้มเสื้อเหลือง เมื่อวันที่ 20 ก.ย.2558 มีรายงานว่า เมื่อช่วงเมื่อค่ำของวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา ตำรวจสันติบาลทั้งในและนอกเครื่องแบบของประเทศมาเลเซีย ได้ปฏิบัติการเข้าตรวจค้นเป้าหมายอพาร์ตเมนต์ และห้องเช่าหลายแห่งที่มีเบาะแสเป็นที่หลบซ่อนของชายสวมเสื้อสีเหลืองที่ก่อเหตุลอบวางระเบิดบริเวณแยกราชประสงค์ และชายเสื้อฟ้าที่ก่อเหตุบริเวณท่าเรือสาทร โดยปฏิบัติการครั้งนี้ตำรวจไทยได้ประสานขอความร่วมมือตำรวจสันติบาลมาเลเซีย ซึ่งก่อนหน้านี้มีการควบคุมผู้ต้องสงสัยชาวปากีสถาน 1 คน และมาเลเซีย 2 คน อยู่ในเครือข่ายขบวนการค้ามนุษย์มาสอบสวน ซึ่งการสอบสวนตำรวจสันติบาลมาเลเซียได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ โดยทราบว่ามีบุคคลของทางการมาเลเซียเข้าไปส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์
อย่างไรก็ตาม การควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยขบวนการค้ามนุษย์ในประเทศมาเลเซียที่ให้ความช่วยเหลือชายเสื้อเหลืองและชายเสื้อฟ้า เครือข่ายขบวนการค้ามนุษย์ในประเทศไทยได้ส่งชายเสื้อเหลืองและชายเสื้อฟ้าบริเวณริมรั้วห่างจาก สภ.มูโน๊ะ ประมาณ 2 กิโลเมตร จากนั้นจะนำขึ้นเรือข้ามแม่น้ำโกลกบริเวณซอยโรงเลื่อย โดยมีนายอาปิ และนายปะเดะ ชาวมาเลเซีย รอรับที่ฝั่งเมืองบูกิตบินตัง ประเทศมาเลเซีย จากนั้นมีนายเซอลิน ชาวมาเลเซีย รับช่วงต่อนำพาไปยังเมืองกัวลาลัมเปอร์ ทำให้ตำรวจสันติบาลเริ่มปฏิบัติการตรวจค้น กระทั่งสามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยตามตำหนิรูปพรรณของชายเสื้อเหลืองตามหมายจับ โดยนำตัวมาสอบสวนเพื่อขยายผลหาชายเสื้อฟ้า และผู้ให้การสนับสนุนเพิ่มเติม
มีรายงานด้วยว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ตำรวจสันติบาลมาเลเซียพยายามให้ความช่วยเหลือตำรวจไทยอย่างเต็มที่ หลังจากได้รับการประสาน อีกทั้งยังได้รับเบาะแสให้เฝ้าระวังหลังจากบุคคลที่อ้างชื่อตัวเองว่า นายอับดุล (ขอสงวนนามสกุล) โทรศัพท์ไปยังสถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยข่มขู่ว่าจะก่อเหตุใช้ความรุนแรงกับสถานทูต
นอกจากนี้รายงานจากชุดสืบสวนสอบสวนรวมถึงหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทย ระบุว่า ตำรวจสันติบาลได้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยไว้จริงแล้วบันทึกภาพของผู้ต้องสงสัยส่งมาให้กับชุดสืบสวนสอบสวน และหน่วยงานด้านความมั่นคงพิจารณามีลักษณะตรงกับชายเสื้อเหลืองที่ก่อเหตุบริเวณแยกราชประสงค์ โดยตอนนี้อยู่ในขั้นตอนนำรูปถ่ายส่งให้นายยูซูฟู ดูตามขั้นตอนการสอบสวน หากนายยูซูฟู ให้ความร่วมมือในการสอบสวนแล้วให้การยืนยัน ก็จะดำเนินการขอตัวผู้ต้องสงสัยคนนี้ในฐานะคนร้ายข้ามแดนกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยต่อไป/จบ ................................................................................................................................. |