นักวิเคราะห์อ้าง"หมาป่าสีเทา"จากตุรกี อาจอยู่เบื้องหลังระเบิดศาลพระพรหม
ขออนุญาตมติชนรายวันนำเนื้อหาดังกล่าวมารวบรวมไว้เพื่อการศึกษา ดังนี้ นักวิเคราะห์อ้าง "หมาป่าสีเทา" จากตุรกี อาจอยู่เบื้องหลังระเบิดศาลพระพรหม เหตุการณ์ระเบิดที่ศาลพระพรหมบริเวณแยกราชประสงค์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นเหตุการณ์ที่คลุมเครือและยากต่อการคาดเดาเนื่องจากผู้ก่อเหตุมิได้ออกมาอ้างความรับผิดชอบ ทำให้มีหลายทฤษฎีในการเชื่อมโยงผู้ก่อเหตุกับสารพัดความขัดแย้งทั้งภายในและภายนอก
ล่าสุดในการเสวนาเรื่อง "ระเบิดในกรุงเทพฯ ที่จริงแล้วเรารู้อะไรบ้าง" (The Bangkok Bombing: What do we really Know?) ที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศเมื่อวานนี้ (24 สิงหาคม) นายแอนโธนี เดวิส นักวิเคราะห์จาก IHS Jane′s กลุ่มรวบรวมข้อมูลด้านความมั่นคงจากเกาะอังกฤษ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า เหตุครั้งนี้มีการวางแผนมาอย่างดี และมีจุดมุ่งหมาย ทำร้ายชาวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีน เขาจึงขอให้จับตากลุ่มหัวรุนแรงจากตุรกีที่ชื่อว่า "Grey Wolves" (หมาป่าสีเทา) เป็นพิเศษ
นายเดวิส กล่าวว่า เหตุครั้งนี้มีความเป็นไปได้สูงที่กลุ่มผู้ก่อเหตุจะมิใช่กลุ่มก่อการร้ายซึ่งเป็นที่รู้จัก แต่อาจเป็นกลุ่มหัวรุนแรงพันธุ์ผสม มีลักษณะเป็นองค์กรจัดตั้งเกี่ยวพันกับกลุ่มในตุรกี โดยเขาได้ยกกลุ่ม Grey Wolves ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นในทศวรรษที่ 1960 เป็นกลุ่มที่มีการรวมตัวกันอย่างหลวมๆและมีสาขากระจายไปหลายประเทศ ขึ้นมาว่ามีความเป็นไปได้สูงที่กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดในกรุงเทพฯ
นายเดวิส กล่าวว่า กลุ่ม Grey Wolves เป็นกลุ่มขวาสุดโต่งที่เกี่ยวพันกับการใช้ความรุนแรงในความขัดแย้งหลายกรณีในอดีต เช่น ในสงครามเชชเนียหลังการล่มสลายของโซเวียต และสงครามระหว่างอาเซอร์ไบจานและอาร์มีเนีย นอกจากนี้ กลุ่ม Grey Wolves ยังจ้องทำลายปัญญาชนฝ่ายซ้าย กลุ่มชาวเคิร์ด และชาวคริสต์ ภายในตุรกีอีกด้วย
นักวิเคราะห์ของ Jane′s กล่าวว่า Grey Wolves เป็นกลุ่มที่ให้การสนับสนุนอุยกูร์อย่างมากและมีบทบาทนำในการประท้วงและโจมตีสถานกงสุลไทยในตุรกีหลังเหตุการณ์ไทยส่งชาวอุยกูร์ให้จีนและยังมีความเกี่ยวพันกับกลุ่มอาชญากรรมของกลุ่มคนเชื้อสายตุรกีทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นการค้ายาเสพติดหรือการค้ามนุษย์แต่ย้ำว่าตนมิได้กล่าวว่าชาวอุยกูร์เป็นผู้ลงมือเนื่องจากกลุ่มของอุยกูร์ไม่มีศักยภาพพอโดยยกเหตุการณ์การโจมตีที่ถูกอ้างว่าเป็นฝีมือของชาวอุยกูร์ในจีนว่าเป็นเหตุการณ์ระดับเล็กๆเท่านั้น
ส่วนของความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทย นายเดวิสเชื่อว่าด้วยความรุนแรงของเหตุการณ์ เหตุครั้งนี้น่าจะไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ แม้ว่าตลอดสิบปีแห่งความขัดแย้งที่ผ่านมาจะมีการใช้ความรุนแรงปรากฏให้เห็น แต่เขาเชื่อว่ากลุ่มการเมืองไทยจะไม่มุ่งเป้าทำร้ายชาวต่างชาติ
ส่วนทฤษฎีที่เชื่อว่ากลุ่มแบ่งแยกดินแดนจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องนั้น นายเดวิสมองว่า เมื่อพิจารณาจากระเบิดที่ใช้ในครั้งนี้ แตกต่างจากระเบิดที่ใช้ในการก่อเหตุตามปกติในสามจังหวัดชายแดน และเขาเชื่อว่ากลุ่มแบ่งแยกดินแดนจากภาคใต้ ไม่น่าจะต้องการทำร้ายนักท่องเที่ยวต่างชาติเช่นกัน
นายเดวิส ยกตัวอย่างเหตุการณ์วางระเบิดบนเกาะสมุยเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และการวางระเบิดคาร์บอมบ์หลังสถานีตำรวจในภูเก็ตเมื่อเดือนธันวาคม 2013 ที่สุดท้ายมิได้มีการระเบิด โดยทั้งสองเหตุการณ์ถูกเชื่อว่าน่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า กลุ่มแบ่งแยกดินแดนต้องการแสดงศักยภาพที่จะก่อเหตุนอกพื้นที่เพื่อส่งสัญญาณเตือนไปยังเจ้าหน้าที่ไทยเท่านั้นแต่น่าจะยังลังเลที่จะก่อเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติ/จบ ........................................................................................................ .
หนุ่มปทุมเครียดเฟซบุ๊กถูกแฮก ใส่ร้ายเป็นมือบึ้ม ราชประสงค์ ผูกคอดับคาห้องนอน ขออนุญาตนำเรื่องราวต่อไปนี้จากมติชนรายวันมารวบรวมไว้เพื่อการศึกษาดังนี้
เมื่อวานนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.ต.ท. ประธาน ขวักชัยภูมิ ร้อยเวรสอบสวน สภ.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี รับแจ้งมีเหตุผู้ผูกคนตนเองจนเสียชีวิต ขอให้เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ เหตุเกิดภายในบ้าน ม.18 ต.คูคต อ.ลำลูกกา หลังรับแจ้งจึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุร่วมกับเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจำนวนหนึ่ง พร้อมแพทย์จากโรงพยาบาลภูมิพลและอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู
ที่เกิดเหตุซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นที่บริเวณห้องนอนชั้นสอง เจ้าหน้าที่พบศพชายใช้ผ้าปูที่นอนผูกคอตนเองกับขื่อบ้านจนเสียชีวิต ทราบชื่อต่อมาคือนายกิติศักดิ์ มีมั่ง ซึ่งเป็นลูกชายของเจ้าของบ้านหลังดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงได้ทำนำร่างลงมาตรวจชันสูตรในเบื้องต้น ไม่พบร่องรอยกายถูกทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด
สอบสวนนางอุษา มีมั่ง ป้าของนายกิติศักดิ์ ผู้ตาย เปิดเผยว่า บ้านหลังที่เกิดเหตุนั้น มีน้องชายของตนคือพ่อของผู้ตายซึ่งป่วยนอนอยู่ที่บ้าน ตนเอง พยาบาลที่มาดูแลน้องชาย และผู้ตายอยู่อาศัยด้วยกัน โดยผู้ตายนั้นทำงานที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านรังสิต ก่อนหน้านี้นายกิติศักดิ์ ผู้ตาย ได้มาบ่นกับตนเองว่าเฟซบุ๊กของเขาโดนแฮก และคนที่แฮกนั้นก็ได้ลงรูปลงข้อความในทำนองไม่ดีๆ เกี่ยวกับเรื่องเหตุการณ์ระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์
หลังจากที่รู้ว่ามีคนแฮกและลงรูปลงข้อความ ก็ทำให้นายกิติศักดิ์ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เพราะมีคนในโลกออนไลน์ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นในทำนองด่าทอและข่มขู่ต่างๆ นานา จนนายกิติศักดิ์ รู้สึกหวั่นกลัว ซึ่งตนเองและพี่สาวของนายกิติศักดิ์ก็ได้เข้าไปช่วยลบรูปลบข้อความต่างๆ ที่ปรากฏในเฟซบุ๊กของเขา
จากนั้น เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ที่ผ่านมา ตนจึงได้พานายกิติศักดิ์เข้าไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.คูคต เนื่องจากมีคนโพสต์จะขู่ทำร้ายเขา
จนมาวันที่ 26 สิงหาคม เมื่อช่วงเช้าเวลาประมาณ 09.00 น.นายกิติศักดิ์ ได้ขี่รถจักรยานยนต์ไปทำงาน สักพักก็ขี่รถกลับมาบ้านโดยมีสภาพร่างกายที่ถูกคนทำร้ายมา โดยนายกิติศักดิ์ กล่าวว่า มีคนร้ายเป็นชายสองคนขี่จักรยานยนต์มาปาดหน้าและลงมาทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บปากแตก ซึ่งตนเองเห็นว่าไม่น่าปลอดภัยจึงได้ให้หลานชายหยุดทำงานและพาไปหาหมอและให้ไปนอนพักผ่อนในห้องนอนที่ชั้น 2 ของบ้าน
นางอุษากล่าวต่อว่าจนกระทั่งเวลาประมาณ 17.30น. ตนเองทำกับข้าวเสร็จแล้วแต่ไม่เห็นหลานชายลงมาจากห้องนอนจึงขึ้นไปตาม ก็พบว่า เขาผูกคอตายเสียแล้ว สาเหตุที่ผูกคอตายนั้นคาดว่าคงมาจากเรื่องเฟซบุ๊กของเขาที่โดนแฮก ไปทำในทางไม่ดีอย่างแน่นอน
ด้านนางอัญชิษฐา พี่สาวของผู้ตายกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ น้องชายของตนบ่นมากๆ เรื่องที่เฟซบุ๊กส่วนตัวโดนแฮก และผู้แฮกได้โพสต์ข้อความในทำนองที่ว่า นายกิติศักดิ์นี่แหละที่เป็นคนลงมือระเบิดที่แยกราชประสงค์ ซึ่งตนเองนั้นก็ได้พูดคุยและเข้าลบข้อความต่างๆ ในเฟซบุ๊กของน้องชาย และปิดเฟซบุ๊กไปด้วยเพื่อตัดปัญหา รวมทั้งพาน้องชายไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐานที่ สภ.คูคต ซึ่งสาเหตุการฆ่าตัวตายน่าจะมาจากเรื่องนี้อย่างแน่นอน
หลังการสอบสวนในเบื้องต้น เจ้าหน้าที่จึงได้มอบศพให้มูลนิธิร่วมกตัญญูนำส่งชันสูตรสาเหตุการเสียชีวิตอย่างละเอียดยังโรงพยาบาลภูมิพลและจะได้ตรวจสอบหาสาเหตุและแรงจูงใจที่แท้จริงจนนายกิติศักดิ์ผูกคอตายต่อไป
ล่าสุดวันนี้(27 ส.ค.58) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.อ.พิชาญ ทองสุกแก้ว ผกก.สภ.คูคต พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.คูคต ได้เข้าตรวจสอบร้านเกมที่ผู้เสียชีวิตได้เข้าไปเล่น พร้อมทั้งได้มีการสอบถามเพื่อนที่ร่วมทำงานด้วยกันที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งย่านรังสิต
พ.ต.อ.พิชาญเปิดเผยว่าจากการสอบถามเพื่อนที่ทำงานด้วยกันทราบว่าผู้เสียชีวิตนั้นมีอาการป่วยด้วยโรคประจำตัวอยู่แล้ว ในส่วนของเรื่องที่ผู้เสียชีวิตได้มีการโพสต์ในเฟซบุ๊กของตนเองว่าเป็นผู้วางระเบิดนั้นจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าผู้เสียชีวิตได้มีการเล่นเฟซบุ๊กในช่วงนั้นแล้วลืมปิดเฟซบุ๊กของตนเองจึงได้มีผู้ที่เข้ามาใช้บริการรายใหม่เปิดเข้าไปแล้วใช้เฟซบุ๊กของผู้ตายแทน อย่างไรก็ตาม ไม่มีการกลั่นแกล้งในเรื่องการโพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งสืบสวนหาข้อมูลอย่างละเอียดอีกต่อไป/จบ . สื่อนอกดาหน้าถล่มตำรวจไทย แฉเมินตรวจกล้องรพ.จุฬาทั้งที่จับภาพมือบึ้มศาลพระพรหมได้ ......................................................................................................
ขออนุญาตนำข้อมูลนี้จากผู้จัดการรายวันมารวบรวมไว้เพื่อการศึกษาต่อดังนี้ | ชายต้องสงสัยวางระเบิดแยกราชประสงค์ เป็นชายไม่ระบุสัญชาติ สวมเสื้อเหลืองสะพายเป้เข้าไปบริเวณศาลพระพรหมแล้ววางเป้ลงกับพื้น ก่อนรีบออกไป โดยไม่มีเป้ติดตัวไปด้วย | | | รอยเตอร์ - สื่อต่างประเทศเรียงหน้าออกมาถล่มตำรวจไทยอย่างไม่หยุด ตามหลังการสืบสวนเหตุระเบิดบริเวณศาลพรหมเอราวัณที่ยังไร้ความคืบหน้า ล่าสุดเมื่อวันศุกร์(28ส.ค.) รอยเตอร์อ้างเจ้าหน้าที่ไม่ใคร่ใส่ใจภาพจากกล้องวิดีโอ ของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โดยเป็นฝ่ายผู้สื่อข่าวของพวกเขาเสียอีก ที่ได้ตรวจสอบภาพดังกล่าวแล้ว ซึ่งปรากฎให้เห็นชายคนหนึ่งที่มีรูปพรรณสัณฐาน ตรงกับผู้ต้องสงสัยหลักของตำรวจ เหตุระเบิดกลางฝูงชนบริเวณศาลพระพรหมเอราวัณ บริเวณแยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม คร่าชีวิตผู้คน 20 ศพและบาดเจ็บจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว ขณะที่ตำรวจบอกว่าไม่กี่นาทีหลังเกิดระเบิด ผู้ต้องสงสัยลงรถจักรยานยนต์รับจ้างที่สวนสาธารณะใกล้ๆกันและหายตัวไป อย่างไรก็ตามรอยเตอร์รายงานว่าในเวลาหลังจากนั้นไม่นาน กล้องวงจรปิดของ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามสวนสาธารณะ จับภาพของชายคนหนึ่ง กำลังเดินสวนทางกับจุดที่เกิดระเบิด โดยเขาสวมเสื้อสีเหลืองและกางเกงขาสั้นสีเข้ม ตรงตามกับผู้ต้องสงสัยหลักมือระเบิดของตำรวจ รอยเตอร์อ้างคำกล่าวของหัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยฝ่ายอาคาร ของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เผยว่าตำรวจยังไม่ได้เข้ามาตรวจสอบวิดีโอดังกล่าวที่ ทางผู้สื่อข่าวของรอยเตอร์ได้เห็นในวันศุกร์(28ส.ค.) "ตำรวจยังไม่เข้ามาเลย ไม่แม้แต่ครั้งเดียว แต่ตอนเกิดเหตุการณ์เสื้อแดงกับเสื้อเหลือง พวกเขามากันบ่อยเชียว" สำนักข่าวดังแห่งนี้อ้างว่าผลการตรวจสอบดังกล่าว สวนทางกับคำพูด ของพล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา ผู้บังคับการกองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่บอกว่าตำรวจได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดของ โรงพยาบาลแล้ว แต่พบว่ามันเสียหรือไม่ก็ไม่พบบันทึกภาพที่เป็นประโยชน์ "เราตรวจสอบกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์แล้ว แต่มันเสียและ ไม่มีอะไรเลย เราดำเนินการทุกอย่างแล้ว" รอยเตอร์อ้างคำกล่าวของพล.ต.ต.สมบัติ ที่ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวของพวกเขา รายงานของรอยเตอร์ระบุว่าข้อเท็จจริงที่ตำรวจเพิกเฉยไม่ตรวจสอบภาพจาก กล้องวงจรปิดที่อาจเป็นเส้นทางหลบหนีของคนร้าย เพิ่มข้อสงสัยว่ามีกล้องวงจรปิดอื่นๆ ในละแวกใกล้เคียงมากน้อยแค่ไหนที่ถูกมองข้ามเช่นกัน และอาจกัดเซาะการสืบสวน ที่ดูไม่ใกล้เคียงว่าจะสามารถระบุตัวตนของคนร้ายได้เลย หรือแม้แต่ค้นหามูลเหตุจูงใจ ในการวางระเบิดศาลพระพระพรหม ฝั่งตรงข้ามของโรงพยาบาลเป็นลานจอดรถ ซึ่งตำรวจบอกว่าผู้ต้องสงสัยได้หายไป จากจุดนี้ ขณะที่รอยเตอร์อ้างคำสัมภาษณ์นายสุรัตน์ ผู้ดูแลลานจอดรถ ซึ่งไม่ประสงค์ เปิดเผยนามสกุลเนื่องจากหวาดกลัวว่าตัวเองจะเดือดร้อน เผยกับรอยเตอร์ว่ามีเจ้าหน้าที่ สืบสวนจาก 4 หน่วยงานของรัฐบาลเข้ามาตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดของบริเวณลาน จอดรถแล้ว "พวกเขามาที่นี่ถามคำถามแบบเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำอีก" รอยเตอร์ระบุว่านายสุรัตน์มีหน้าที่เฝ้าสังเกตการณ์กล้องวงจรปิด 7 ตัวในป้อมยาม แต่ 4 ตัวในนั้นมีปัญหาขัดข้องไม่ทำงานมา 4 เดือนแล้ว และมี 2 ตัวที่จับภาพได้ไม่ชัด ในรายงานของรอยเตอร์บอกด้วยว่าตำรวจไทยกำลังสาดโคลนไปมากับองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร ต่อปัญหากล้องวงจรปิดขัดข้อง โดยกล่าวโทษทางกทม.ว่ าเหตุขาดการซ่อมบำรุงเป็นตัวฉุดรั้งการสืบสวนของพวกเขา นอกจากนี้ทางตำรวจยังอ้าง ว่าการสืบสวนยังมีอุปสรรคจากการขาดแคลนเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัย ส่วนพลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรีก็ปฏิเสธความช่วยเหลือจากต่างชาติ แม้ประเทศตะวันตกหลายชาติเสนอตัวให้ความช่วยเหลือสืบสวน ทั้งนี้รายงานข้างต้นของรอยเตอร์มีขึ้นไม่กี่วัน หลังจากสำนักข่าวเอพีเมื่อวันอังคาร (25ส.ค.) วิพากษ์วิจารณ์ประสิทธิภาพการทำงานของตำรวจไทย หลังการสืบสวนเหตุ ระเบิดบริเวณศาลพระพรหมเอราวัณยังไร้ความคืบหน้า โดยบอกว่ามันสะท้อนถึงภาพลักษณ์ ที่แปดเปื้อนไปด้วยคอร์รัปชัน เต็มไปด้วยความอำมหิตและตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ การเมืองมาอย่างช้านาน/จบ ................................................................................................................................. ขออนุญาตนำเนื้อหาจากผู้จัดการรายวันมารวบรวมไว้เพื่อการศึกษา ดังนี้ In Pics : รอยเตอร์ชี้ "รูมเมทมือบึ้มราชประสงค์" หายตัวลึกลับ 1 วันก่อน ถูกจับ - สื่อทั่วโลกสงสัย Grey Wolves ก่อการร้ายตุรกีอยู่เบื้องหลัง | รอยเตอร์/เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ อาเด็ม คาราดัก (Adem Karadag) ผู้ต้องสงสัยระเบิดราชประสงค์ ล่าสุดถูกสถานทูตตุรกีออกมาปฎิเสธ สถานะพลเมือง โดยรอยเตอร์ชี้ว่า คาราดักอาศัยอยู่กับเพื่อนร่วมห้องต่างชาติที่ได้หายตัวลึกลับ 1 วันก่อนถูกตำรวจ จู่โจม และล่าสุดวันนี้(31)ศาลไทยออกหมายจับผู้ต้องสงสัยเพิ่มอีก 2 คน ในขณะที่สื่อทั่วโลกตั้งคำถามว่า เหตุการณ์ระเบิดราชประสงค์ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาตินั้นเชื่อมโยงกับกลุ่มก่อการร้าย Grey Wolves ของตุรกีหรือไม่ ไทม์ รายงานวันนี้(31)ว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยเปิดเผยว่า ผู้ต้องสงสัย อาเด็ม คาราดัก (Adem Karadag)ยอมเปิดปากให้ข้อมูลกับตำรวจมากขึ้น โดยเปิดเผยว่าตัวเขาเดินทางมาจากที่ใด โดยพล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กล่าวว่า ผู้ต้องสงสัยยอมให้ความร่วมมือมากขึ้นในระดับหนึ่ง โดยระบุว่าเขาเดินทางมาจากที่ใด แต่ทว่าทางเราไม่ได้เชื่อในข้อมูลทั้งหมดที่รับทราบ และมาจนถึงเวลานี้ผู้ต้องสงสัย ยังไม่ได้ยอมรับสารภาพ ไทม์รายงานต่อว่า รูปภาพจากกล้องวงจรปิดในบริเวณใกล้ที่เกิดเหตุยังเป็นหลักฐาน สำคัญที่ระบุถึงชายสวมเสื้อสีเหลืองสะพายเป้ แต่ทางตำรวจไทยไม่เชื่อว่า ชายคนนี้และผู้ต้องสงสัยต่างชาติที่ถูกควบคุมในเวลานี้จะเป็นคนเดียวกัน และนอกจากนี้ไทม์ยังรายงานเพิ่มเติมว่า ฝ่ายไทยเชื่อว่ากลุ่มคนร้ายที่ลงมือวางระเบิด ศาลพระพรหมเอราวัณมีแผนที่จะโจมตีที่อื่นๆอีกด้วย และในขณะนี้ทางการไทยได้ออก ไล่ล่าหญิงไทยมุสลิมวัย 26 ปีชื่อ วรรณา สวนสันต์ หรืออีกชื่อคือ ไมซาเลาะห์ ชาวพังงา ที่คาดว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มชาวต่างชาติที่ลงมือวางระเบิด ซึ่งล่าสุดสื่อไทยได้รายงานในวันจันทร์(31)ว่า มีการอนุมัติออกหมายจับผู้ต้องสงสัย เพิ่มอีก 2 คนในคดีนี้แล้ว ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ วรรณา และคนที่สองเป็นชายชาวต่างชาติ ไม่ระบุสัญชาติตามภาพสเก็ตช์ที่ได้เผยแพร่ในวันนี้(31) ซึ่งเป็นผู้ที่อาศัยในห้องพัก ที่วรรณาเป็นผู้ลงนามเซ็นสัญญาเช่าให้ และรอยเตอร์รายงานเพิ่มเติมถึงคาราดัก ผู้ต้องสงสัยมือวางระเบิดราชประสงค์ว่า เขาไม่ได้อยู่ตามลำพัง แต่มีรูมเมทเป็นชายต่างชาติลักษณะสูง และมีเชื้อชาติเดียวกัน อาศัยอยู่ร่วมด้วย และชายนิรนามผู้นี้ยังเป็นผู้คอยจัดหาอาหารให้กับคาราดักอีกด้วย โดยรูมเมทปริศนาถูกพบเห็นล่าสุดในวันพฤหัสบดี(27) และวันศุกร์(28) ก่อนที่จะหายตัวไปอย่างลึกลับหลังจากนั้น ในขณะที่คาราดักถูกบุกจับในวันถัดมา โดยทั้งคาราดักและเพื่อนร่วมห้องมีสิ่งของเก็บไว้ในที่พักเป็นต้นว่า ปุ๋ยยูเรีย อุปกรณ์ประกอบระเบิด และหนังสือเดินทางของสาธารณรัฐตุรกี (Türkiye Cumhuriyeti) กว่า 10 เล่มที่ถูกยึดได้จากห้องพักของเขาที่ย่านหนองจอก มีนบุรี ซึ่งมีรูปเขาอยู่ในบรรดาหนังสือเดินทางปลอมเหล่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม จากการรายงานของสื่อไทม์ส ระบุว่า สถานเอกอัคราชทูตตุรกี ประจำไทยล่าสุดได้ออกมา ปฎิเสธ ถึงสัญชาติตุรกีของผู้ถูกจับกุมแล้ว ทั้งนี้รอยเตอร์ได้ส่งนักข่าวไปสัมภาษณ์เพื่อนบ้านที่อาศัยในละแวกที่พักของคาราดัก ผู้ต้องสงสัยชาวต่างชาติรายนี้ รวมไปถึงทีมตำรวจสอบสวน และชุมชนที่อาศัย และพบว่า คาราดัก ที่เป็นชาวมุสลิม นั้นมักไม่เดินทางออกจากนอกห้องพัก ที่ได้ทำสัญญาเช่าไว้ จำนวนถึง 4 ห้องภายในตึกอพาทเมนต์สีครีมส้มในย่านหนอง โดยรอยเตอร์รายงานว่า เจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่าง DNA และรวมไปถึงรายละเอียดการใช้งาน โทรศัพท์มือถือของเขาในช่วงที่ผ่านมาทั้งหมด อย่างไรก็ตาม นักข่าวรอยเตอร์ได้มีโอกาสได้สัมภาษณ์คู่สามีภรรยาชาวไทย ที่ได้เช่าห้องในชั้นเดียวกันกับที่คาราดักอาศัยอยู่ และพบว่าคาราดักไม่ได้อาศัยอยู่ ตามลำพังภายในห้องเช่าแห่งนี้ แต่ทว่ามีรูมเมทที่เป็นชายชาวต่างชาติที่คาดว่า จะมีเชื้อชาติเดียวกันอาศัยอยู่ด้วยอีก 1 คน และคนทั้งคู่พบเห็นรูมเมทปริศนา ล่าสุดในวันศุกร์(28)ก่อนที่คาราดักจะถูกจับ โดยสามีชาวไทยผู้ให้สัมภาษณ์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงชายชาวต่างชาติที่ล่องหนว่า เป็นคนที่สูงกว่าคาราดักมาก และทั้งสามีและภรรยาชาวไทยยังยอมรับกับรอยเตอร์ว่า คนทั้งคู่จำได้ทันทีหลังจากได้เห็นภาพสเก็ตช์ของคนร้ายเผยแพร่ทางโทรทัศน์ นอกจากนี้แหล่งข่าวรอยเตอร์ยังเปิดเผยต่อว่า บางทีเห็นชายชาวต่างชาติคนนี้กำลังนั่ง ทำละหมาดบริเวณโถงทางเดิน และเป็นสิ่งที่น้อยครั้งมากที่จะเห็นเขาออกมาภายนอก และดูเหมือนว่าชายผู้นี้จะใจจดใจจ่อกับสิ่งหนึ่ง และเดินอย่างมีวัตถุประสงค์ และพยานคู่สามีภรรยากล่าวว่า คนพวกนี้เงียบมาก และดูเหมือนคนตัวสูงจะเป็น ผู้ซื้อหาอาหารสำหรับตัวเขาและคาราดัก และนักข่าวรอยเตอร์ได้มีโอกาสสอบถามพ่อค้าแม่ขายที่ตั้งร้านไม่ห่างจากอพาทเมนต์ข องคาราดักและพบว่า รูมเมทของคาราดักนั้นกล่าวเป็นคำภาษาอังกฤษเพียงไม่กี่คำเท่านั้น และถูกพบเห็นจากพ่อค้าแม่ขายเหล่านี้ครั้งล่าสุดในวันพฤหัสบดี(27)ในสัปดาห์ที่ผ่านมา รอยเตอร์รายงานต่ออีกว่า คาราดักสามารถทำตัวให้กลมกลืนกับชุมชนมุสลิมหนองจอก ที่มีค่าครองชีพที่ต่ำ และเป็นแหล่งชุมชนที่มีชาวต่างชาติอาศัยร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก โดยกันทรี ศรีสมบัติ( Khantree Srisombat)วัย 42 ปีที่อาศัยในบริเวณเดียวกันได้ให้ข้อมูล กับนักข่าวรอยเตอร์ว่า อพาทเมนต์ที่ถูกตำรวจบุกจู่โจมนี้มักมีกลุ่มชาวต่างชาติมาเช่าอาศัย เสมอ และเสริมว่า ถือเป็นเรื่องปกติที่นี่ ด้านเจ้าของอพาทเมนต์ตึกสีครีมส้มแห่งนี้ที่เปิดเผยเพียงว่าชื่อ อนันต์ กล่าวเพียงว่า ผู้มาติดต่อขอเช่าห้องพักใช้เอกสารประจำตัวของพลเมืองชาวตุรกี แต่ไม่ใช่คาราดัก ที่ถูกจับกุม และรอยเตอร์ยังรายงานเพิ่มเติมต่ออีกว่า แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่สอบสวนไทยให้ข้อมูลว่า ห้องเช่าจำนวน 2 ห้องถูกใช้เป็นที่เก็บอุปกรณ์ประกอบระเบิด รวมไปถึงปุ๋ยยูเรีย ระเบิดทีเอ็นที ระเบิดซีโฟร์ โซเดียมคาร์บอเนต ภาชนะบรรจุขนาดใหญ่ทำด้วยพลาสติก และเหล็ก ฟิวส์พร้อมสาย ไฟฉาย ไขควง และเทปพัน โดยแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายไทยยืนยันกับรอยเตอร์ในขณะนั้นว่า ผู้ต้องสงสัยไม่ยอมให้การอะไรออกมา นับตั้งแต่ถูกจับกุมตัวจากห้องพัก นอกจากนี้รอยเตอร์รายงานต่อว่า ในบรรดาหลักฐานที่ยึดมาได้จากห้องพัก มีพาสปอร์ตปลอม 2 เล่มที่มีรูปหน้าชายต่างชาติที่ถูกจับกุมภายใต้ชื่อตามเอกสาร อาเด็ม คาราดัก (Adem Karadag) และระบุปีเกิดปี 1987 และปี 1985 อยู่ในนั้น แต่ทว่าอย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทยยังแถลงยืนยันอ้างว่า ไม่ใช่การก่อการร้าย แต่เป็นการล้างแค้นส่วนตัวให้กับเพื่อนเท่านั้น ในขณะที่สื่อต่างชาติ ทั่วโลก เช่น เดลีเทเลกราฟ สื่ออังกฤษ ได้รายงานในวันเสาร์(29)ว่า เงื่อนงำการโจมตี แยกราชประสงค์อาจเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้ายตุรกี Grey Wolves โดยสื่ออังกฤษชี้ว่า ทุกสายตาจับจ้องไปที่กลุ่มนี้หลังจากมีการจับตัวคาราดักได้ในกรุงเทพฯ โดยเดลีเทเลกราฟชี้ว่า การลงมือโจมตีแยกราชประสงค์ล่าสุด เพราะทางกลุ่มอาจต้องการ แก้แค้นที่ทางการไทยได้ขับชาวอุยกูร์นับร้อยออกนอกประเทศ ก็เป็นได้ โดยสื่ออังกฤษยังตั้งข้อสงสัยว่า เหตุการณ์ขับอุยกูร์กลับจีนอาจทำให้ทั้งชาวจีนและชาวไทย ตกเป็นเป้าหมายหลักถูกก่อการร้ายเพราะเมื่อพิจารณาถึงสถานที่เกิดเหตุเป็นที่ได้รับความ นิยมในหมู่ชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติโดยเฉพาะจากจีน ฮ่องกง และไทเป เป็นจำนวนมาก และมาถึงวินาทีนี้ยังไม่มีกลุ่มใดออกมาประกาศความรับผิดชอบถึงเหตุการณ์ระเบิดศาล พระพรหมเอราวัณแห่งนี้ สื่ออังกฤษรายงานต่ออีกว่า ชื่อของกลุ่ม Grey Wolves ถูกเปิดเผยเป็นครั้งแรก จากแอนโธนี เดวิส ( Anthony Davis)นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงประจำกรุงเทพฯ ให้กับหน่วยงาน IHS-Jane's ซึ่งเชื่อมั่นว่า การระเบิดใจกลางกรุงเทพฯครั้งนี้เป็นฝีมือ กลุ่มชาตินิยมหัวรุนแรงกลุ่มนี้ และไม่เป็นเพียงแต่เท่านั้น เดวิสยังเชื่อว่า Grey Wolves นั้นอยู่เบื้องหลังการโจมตีสถานทูตไทยในตุรกีที่ผ่านมา/จบ ................................................................................................................................. ขออนุญาตผู้จัดการรายวัน นำข้อเขียนต่อไปนี้มารวบรวมไว้เพื่อการศึกษา
ยังไง!เอเอฟพีสัมภาษณ์หญิงตามหมายจับบึ้มราชประสงค์ อ้างไม่รู้เห็น -อยู่ในตุรกี3เดือนแล้ว | หมายจับน.ส.วรรณา หรือ ไมซาเลาะ สวนสันต์ อายุ 26 ปี | |
| เอเอฟพี - ผู้หญิงไทยที่ถูกตำรวจระบุตัวในฐานะผู้ต้องสงสัยที่มีความเกี่ยวข้อง กับเหตุระเบิดบริเวณศาลพระพรหมเอราวัณให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีในวันจันทร์ (31ส.ค.) ปฏิเสธไม่รู้เห็นเหตุโจมตีดังกล่าว พร้อมระบุเธอถึงกับช็อคที่ถูกเชื่อมโยง กับคดีนี้ พร้อมอ้างว่าเธออยู่ในตุรกีมานานกว่า 3 เดือน เผยตำรวจไทยได้ติดต่อ มาหาและยังปลอบด้วยว่าไม่ต้องกังวลอีกด้วย สำนักข่าวเอเอฟพีรายานว่าภาพถ่ายของน.ส.วรรณา หรือ ไมซาเลาะ สวนสันต์ อายุ 26 ปี ถูกเผยแพร่ผ่านสถานีโทรทัศน์ของไทยเมื่อช่วงบ่ายวันจันทร์(31ส.ค.) โดยทางเจ้าหน้าที่ออกหมายจับที่มีการระบุชื่อผู้ต้องสงสัยเป็นครั้งแรก ต่อเหตุระเบิดที่คร่าชีวิตผู้คน 20 ศพ บริเวณราชประสงค์ ใจกลางกรุงเทพฯ เมื่อ 2 สัปดาห์ก ตำรวจบอกว่าเธอเช่าอพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่งในมีนบุรี จุดที่มีการกล่าวอ้างว่าพบวัตถุที่ใช้ ทำระเบิด อย่างไรก็ตามทางเอเอฟพีอ้างว่าได้ดำเนินการแกะรอยตามหมายเลขโทรศัพท์ มือถือของน.ส.วรรณา และมีผู้หญิงคนหนึ่งบอกว่าว่าตนเองชื่อวรรณา เป็นผู้รับโทรศัพท์ ในช่วงค่ำวันจันทร์(31ส.ค.) และบอกว่าตอนนี้เธออยู่ที่เมืองไกเซรีของตุรกีกับสามีที่ เธอไม่ระบุว่าเป็นคนสัญชาติใด กระนั้นเอเอฟพียอมรับไม่สามารถยืนยันตัวตนของเธอได้มากกว่านี้ เอเอฟพีรายงานต่อว่า น.ส.วรรณาเป็นชาวมุสลิมพูดภาษาไทย มีพื้นที่ในจังหวัดพังงา และเธอบอกว่ารู้สึกตกใจอย่างมากหลังเพื่อนๆในไทยโทรศัพท์มาบอกว่ามีรูปถ่าย ตามบัตรประชาชนของเธอถูกส่งต่อกันในหมู่คนไทย "ฉันรู้สึกตกใจมากและตอนแรกคิดว่าเพื่อนๆคงล้อเล่น" เธอบอกกับเอเอฟพี "ฉันไม่ได้อยู่ที่อพาร์ทเมนต์แห่งนั้นมานานเกือบปีแล้ว ฉันเป็นคนเช่ามัน และจากนั้นเพื่อนๆของสามีก็เป็นคนเข้าพัก ฉันไม่รู้ว่ามีคนมากน้อยแค่ไหนพักอยู่ที่นั่น ฉันอยู่ที่นี่(ตุรกี) มาราวๆ 3 เดือนแล้ว" เธอกล่าว พร้อมระบุว่าตำรวจไทยโทรศัพท์มาหา ในวันจันทร์(31ส.ค.) บอกกับเธอว่าไม่ต้องกังวลและให้คอยติดต่อกับพวกเขาไว้ ทางเอเอฟพีรายงานต่อว่าได้ติดต่อกลับไปหาเธออีกครั้งหลังจากนั้น ทว่าคราวนี้เธอบอกว่า ไม่สามารถพูดอะไรได้มากกว่านี้แล้ว เนื่องจากได้รับคำเตือนจากตำรวจไทยห้าม ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ขณะที่ในช่วงค่ำวันจันทร์(31ส.ค.) ตำรวจไทยปฏิเสธยืนยัน กับเอเอฟพี กรณีเชื่อหรือไม่ว่านางสาววรรณา อยู่ในตุรกี เอเอฟพีรายงานว่าภาพสเกตช์ผู้ต้องสงสัยหลักซึ่งทางตำรวจระบุว่าเป็นชาวต่างชาติ ไม่ทราบชื่อ ก็ถูกนำมาแสดงผ่านสถานีโทรทัศน์เช่นกัน และตำรวจเชื่อว่า เขาเช่าอพาร์ทเมนต์แห่งนี้ด้วย อย่างไรก็ตามน.ส.วรรณา บอกว่าเธอจำชายในภาพสเกตช์ ไม่ได้ การเปิดเผยชื่อและภาพถ่ายของน.ส.วรรณา ดูเหมือนเป็นจุดที่ชี้ว่าตำรวจไทยใกล้ไล่ล่า พวกที่อยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดได้แล้ว อย่างไรก็ตามเอเอฟพีระบุว่าด้วยจนถึงตอนนี้ ยังไม่มีกลุ่มใดออกมาอ้างความรับผิดชอบและคำปฏิเสธของน.ส.วรรษ ก็ทำให้ภาพแห่งการโจมตีอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในไทยที่สลัวอยู่ก่อนแล้ว ยิ่งขุ่นมัวมากขึ้น ตำรวจจับกุมชายรูปร่างผอมไว้หนวดเคราบางๆเมื่อวันเสาร์(29ส.ค.) โดยเขาถูกพบ พร้อมอุปกรณ์ประกอบระเบิดและพาสปอร์ตปลอมของตุรกีจำนวนมาก ในอพาร์ทเมนต์อีกแห่ง แต่ยังไม่เปิดเผยชื่อของเขาต่อสาธารณชน การจับกุมดังกล่าวนำไปสู่การเข้าตรวจค้นอพาร์ทเมนต์ที่น.ส.วรรณาเช่าไว้/จบ ............................................................................................................................... ขออนุญาตผู้จัดการรายวันนำเนื้อหาต่อไปนี้รวบรวมไว้เพื่อการศึกษา ดังนี้ ศาลจังหวัดมีนบุรีอนุมัติหมายจับเพิ่ม 3 ชาวตุรกี ร่วมขบวนการบึ้มราชประสงค์ -ท่าน้ำสาทร ตามคำร้องพนักงานสอบสวน ฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียน ไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ในครอบครอง วันนี้ (1 ก.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ศาลจังหวัดมีนบุรีอนุมัติหมายจับผู้ต้องหา ที่เกี่ยวข้องกับการวางระเบิดแยกราชประสงค์ และท่าน้ำสาทร เพิ่มอีก 3 ราย ตามคำร้อง พนักงานสอบสวน สน.หนองจอก ประกอบด้วย 1. นายอาลิ โจลัน ตามภาพสเกตช์คนร้าย ที่ 0357/58 เชื้อชาติตุรกี ข้อหาร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาต ให้ได้ในครอบครอง โดยผิดกฎหมาย 2. นายอาห์เหม็ด โบซองแลน เชื้อชาติตุรกี ข้อหาร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ในครอบครอง โดยผิดกฎหมาย และ 3. ชายชาวตุรกีไม่ทราบชื่อ ตามภาพสเกตช์คนร้าย ที่ 0367/58 ข้อหาร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ในครอบครอง โดยผิดกฎหมาย
/จบ ................................................................................................................................ ขออนุญาตผู้จัดการรายวัน นำเนื้อหาต่อไปนี้รวบรวมไว้เพื่อการศึกษาดังนี้ แฉ ตม.กัมพูชาจับผู้ต้องสงสัยบึมราชประสงค์ส่งไทย หลังด่านคลองลึกปล่อยผ่านฉลุย | | |
| | สระแก้ว - แฉเบื้องหลังจับผู้ต้องสงสัยวางระเบิดศาลพระพรหม เจ้าหน้าที่ ตม.สระแก้ว ปล่อยถือพาสปอร์ตผ่านด่านไปแล้ว แต่ไปติดด่านเขมรเกิดสงสัย นำส่งกลับด่านคลองลึก แหล่งข่าวจากชายแดนฝั่งกัมพูชา เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีข่าวกองกำลังบูรพา ลาดตระเวนพบผู้ต้องสงสัยวางระเบิดศาลพระพรหม แยกราชประสงค์ กรุงเทพฯ จนนำไปสู่การขจับกุมนั้น ข้อเท็จจริง เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง(ตม.)กัมพูชา ควบคุมตัวชายต้องสงสัยที่ถือพาสปอร์ตจีน แต่ใบหน้ากลับไม่คล้ายกับชาวจีนไว้ได้ หลังตรวจสอบแล้วมีพิรุธน่าจะเป็นชาวตุรกีที่ใช้พาสปอร์ตจีนปลอม จึงควบคุมตัวมาส่ง ทางการไทยที่หน้าด่านสะพานมิตรภาพกัมพูชา-ไทย บ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ ให้รับตัวกลับไป ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้ต้องสงสัยเดินทางออกจากประเทศไทยตั้งแต่เช้า โดยใช้พาสปอร์ตฉบับเดียวกับที่ยื่นให้ ตม.กัมพูชา ซึ่งสังเกตเห็นความผิดปกติ อ าจเป็นสาเหตุของคำสั่งย้ายด่วน พ.ต.อ.ไพรัช พุกเจริญ ผกก.ตม.สระแก้ว พ.ต.ท.เบญจพล รอดสวาสดิ์ รอง ผกก.ตม.สระแก้ว พ.ต.ท.ประสิทธิ์ ทองคำ รอง ผกก.ตม.สระแก้ว พ.ต.ท.เรืองเดช ธรรมนันท์ พ.ต.ท.ญาณกวี ประวัติภักดี และ พ.ต.ต.นที ทองสุกแก้ว สว.ตม.สระแก้ว ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน เป็นต้นไป เนื่องจากมีการปฏิบัติหน้าที่หละหลวม ปล่อยให้ชาวตุรกีถือพาสปอร์ต ชาวจีนผ่านด่าน แต่ไปถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายกัมพูชาจับกุมได้ และนำตัวมาส่ง
|
| /จบ ............................................................................................................................... | | | | | | |
Create Date : 25 สิงหาคม 2558 |
|
0 comments |
Last Update : 2 กันยายน 2558 9:35:56 น. |
Counter : 1186 Pageviews. |
|
|
|