หมายเหตุ - นักวิชาการด้านกฎหมาย ให้ความเห็นกรณี ป.ป.ช.
ไม่เสนอถอดถอนคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
(สตง.) ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
กรณีอนุมัติให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญยุคใหม่
ไปศึกษาดูงานที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ประเทศฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์
อิตาลี โดยมิชอบ เนื่องจากคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ได้พ้นจากตำแหน่ง
ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว จึงไม่มีเหตุที่ต้องส่งเรื่องไปยังผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอน แตกต่างจากคดีอื่นๆ
เอกชัย ไชยนุวัติ
นักวิชาการด้านกฎหมาย
ต้องบอกว่า ต้องแยกเป็นสองกรณี คือ หนึ่งกระบวนการทางกฎหมาย
กับกระบวนการทางการเมือง กระบวนการทางการเมืองคือการถอดถอน
ออกจากตำแหน่ง หมายความว่ากฎหมาย ป.ป.ช. และรัฐธรรมนูญปี 2550
ให้อำนาจกับวุฒิสภาเดิมในการใช้กระบวนการทางการเมือง
ถอดถอนบุคคลที่มีตำแหน่งออกจากตำแหน่ง
ข้อเท็จจริงคือ บุคคลนั้นต้องดำรงตำแหน่ง
ถึงจะถอดถอนได้ แต่รัฐธรรมนูญปี 2550 ถูกยกเลิก วุฒิสภาถูกยกเลิก
และมีการใช้รัฐธรรมนูญปี 2557 และมีการตั้ง สนช.ขึ้นมาแทน
ผลสุดท้ายคือการอ้างอำนาจ สนช. เทียบเท่าวุฒิสภาเดิม
และรัฐธรรมนูญเดิม ปี 2550 ในการถอดถอนบุคคลพ้นตำแหน่ง
ไปแล้วออกจากตำแหน่ง เช่น อดีตนายกฯ และอดีตรัฐมนตรี
และนายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ
ผลก็คือแม้จะไม่มีตำแหน่งแล้ว
แต่เมื่อถูกถอดถอนจะถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี
และสุดท้ายคือรัฐธรรมนูญใหม่ ปี 2558 ระบุไม่ให้บุคคลถูกถอดถอนนั้น
ลงสมัครรับเลือกตั้ง หมายความว่า บุคคลนั้นถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดไป
ป.ป.ช. ไม่ส่งเรื่องคุณหญิงจารุวรรณนั้นถูกต้องแล้วเพราะไม่มีตำแหน่ง
ให้ถอดถอนอีกแล้ว แต่ในเรื่องบุคคลอื่นที่ไม่มีตำแหน่งให้ถอดถอน ป.ป.ช.
ปฏิบัติแตกต่างกันไป
สำหรับกระบวนการทางกฎหมาย ป.ป.ช. สามารถดำเนินการได้
โดยไม่เกี่ยวกับการถอดถอน ประเด็นสำคัญคือ ป.ป.ช.
ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า การนำเงินราชการไปใช้อย่างไม่ถูกวัตถุประสงค์
ทำไมถึงไม่ชี้มูลความผิด ขณะที่กรณีอื่น บุคคลผู้ถูกกล่าวหายังไม่พบหลักฐาน
ว่ามีการทุจริต กลับมีการดำเนินคดี
เอกชัย ไชยนุวัติ-ยอดพล เทพสิทธา-พัฒนะ เรือนใจดี
|
ยอดพล เทพสิทธา
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
ถ้ามองจริงๆ กรณีคุณหญิงจารุวรรณถือเป็นเรื่องที่ ป.ป.ช. ตัดสินถูกแล้ว คือเป็นกรณีตามหลักว่าพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว เราก็ไม่ดำเนินคดีอะไรเขาแล้ว เป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ อาจจะถามว่าสองมาตรฐานไหมก็ชัดเจนอยู่ในตัวแล้ว แทบไม่ต้องพูดอะไรกัน
เพราะเหตุผลมันคือเหตุผลเดียวกัน
คือในตอนนั้นมีคนทักท้วงเรื่องของ
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า
นางสาวยิ่งลักษณ์ถูกถอดถอนไปแล้ว และพ้นจากตำแหน่งจาก
เหตุการณ์รัฐประหารไปแล้ว แล้วก็ยุบสภาไปแล้วอีกด้วย
ถามว่าสองมาตรฐานไหม ก็สองมาตรฐานอยู่แล้ว
แต่ประเด็นน่าสนใจอีกอย่างคือ ป.ป.ช.เองกำลังเรียกให้นางสาวยิ่งลักษณ์
ชดใช้ความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวประมาณห้าแสนล้านบาท
ถ้าเข้าใจไม่ผิด ก็แปลกอย่างหนึ่งคือกรณีคุณหญิงจารุวรรณ
ถ้ามองกันจริงๆ คือทำในขณะตัวเองไม่มีตำแหน่ง ก็เหมือนกัน
กรณีทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเดียวกัน
ฉะนั้นคือ ถ้าจะเอามาตรฐานของคุณหญิงจารุวรรณไปใช้
ก็ต้องใช้ทุกกรณีด้วย
อย่างนางสาวยิ่งลักษณ์ หรือนายมนัส สร้อยพลอย
ไม่เหมือนกรณีคุณหญิงจารุวรรณเพราะน่าจะมีชุดความคิดที่แตกต่างกัน
อย่างของนางสาวยิ่งลักษณ์ อาจจะมองว่าการจำนำข้าว
ทำในขณะเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ แต่ของคุณหญิงจารุวรรณ
ไม่แน่ใจว่ากรณีคุณหญิงจารุวรรณเอาเงินหลวงไปใช้
เป็นกรณีคุณหญิงจารุวรรณเอาไปใช้ขณะดำรงตำแหน่งอยู่หรือเปล่า
แม้จะเอาเงินหลวงไปใช้หลังพ้นจากตำแหน่งก็มีความผิดอยู่แล้ว
เพราะเอาไปใช้โดยไม่มีสิทธิก็มีความผิดอีกอย่างหนึ่ง
คือไม่ว่าคุณจะพ้นหรือไม่พ้นจากตำแหน่ง แต่การเอาเงินไปใช้โดย
ไม่มีสิทธิ ไม่มีอำนาจใช้ ก็ผิดอยู่แล้ว คนตั้งข้อกังขา
ก็คือเหตุผลที่ ป.ป.ช. ให้คือคุณหญิงจารุวรรณพ้นจากตำแหน่งแล้ว
เป็นเหตุผลเดียวกับตอนที่ ป.ป.ช. ชงเรื่องของนางสาวยิ่งลักษณ์ว่า
ให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง ทั้งที่นางสาวยิ่งลักษณ์พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว
ไม่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าตัวของคุณหญิงจารุวรรณจะเป็นกรณีชงเรื่องเข้าไปใน
ป.ป.ช. เพื่ออะไร แต่ของนางสาวยิ่งลักษณ์นั้นชงเรื่องเข้าไปใน ป.ป.ช.
เพื่อส่งต่อให้ สนช. ถอดถอน โดยกรณีของนางสาวยิ่งลักษณ์ไม่ควรจะมี
การถอดถอนแล้ว เพราะตัวพ้นจากตำแหน่งแล้ว แต่ของคุณหญิงจารุวรรณ
จะต้องมีการดำเนินคดีเกิดขึ้นเพราะไม่ใช่การถอดถอน
เป็นเรื่องของวินัยราชการ คนละแบบ ของนางสาวยิ่งลักษณ์เป็นคดีการเมือง
แน่นอนอยู่แล้วว่ากรณีนางสาวยิ่งลักษณ์นั้น
เป็นการยื่นเรื่องเพื่อให้เกิดการตัดสิทธิทางการเมือง ถ้ามองง่ายๆ
ว่าของนางสาวยิ่งลักษณ์เป็นคดีการเมือง เรื่องการถอดถอน
แต่ของคุณหญิงจารุวรรณนั้นเป็นคดีวินัยของทางราชการ
และอย่างที่บอกว่าวินัยราชการต่อให้พ้นจากตำแหน่งไปแล้วก็ต้อง
มีความผิดเกิดขึ้นไม่อย่างนั้นคนก็ชิงลาออกกัน
แต่ขอนางสาวยิ่งลักษณ์เป็นกรณีความผิดทางการเมือง
จะขอให้มีการถอดถอน ฉะนั้นเมื่อลาออกก็จบแค่นั้น
อย่างคุณหญิงจารุวรรณก็ไม่มีเจตนาจะตัดสิทธิทางการเมืองคุณหญิงอยู่แล้ว
เพราะลักษณะของคดี คุณหญิงจารุวรรณนั้นไม่ใช่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยตรง แต่เป็นกรรมการขององค์กรอิสระ ไม่เหมือนนางสาวยิ่งลักษณ์
เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยตรง
พัฒนะ เรือนใจดี
อาจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ต้องดูว่ากฎหมายฉบับนี้ออกมาเพื่อจุดประสงค์ใด การถอดถอน
ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ออกมาเพื่อจุดประสงค์ใด เขาดูสาระสำคัญของการดำรงอยู่ในตำแหน่งหรือไม่
ถ้าเขาไม่ได้ดูสาระสำคัญของการดำรงอยู่ในตำแหน่ง
เขาดูว่าแม้พ้นไปแล้วก็มุ่งจะตัด อันนี้ก็ว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง
ต้องดูเจตนารมณ์ของกฎหมาย กฎหมายของ ป.ป.ช.
เราต้องดูว่ามีเจตนารมณ์อะไรแล้วค่อยมาขยายความต่อว่า
ดูในขณะดำรงตำแหน่งอยู่หรือพ้นไปแล้ว
ไม่ต้องเอากรณีคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา
หรือเอากรณี มนัส สร้อยพลอย มาตั้ง
ดูกันที่ว่าเขาต้องการเล่นงานในขณะที่ดำรงตำแหน่งหรือเล่นงาน
ขณะพ้นจากตำแหน่ง นั่นจะเป็นคำตอบ เรื่องนี้ต้องหาข้อยุติก่อน
ขึ้นอยู่กับ สนช.ว่าจะว่าอย่างไร เพราะ สนช.ก็ดำเนินการมาหลายเรื่องแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เรื่องนายบุญทรง เตริยาภิรมย์
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สังคมเขาพูดกันว่า สนช.ไม่ใช่ ส.ว.
เมื่อ สนช.ไม่ใช่ ส.ว. แล้วทำหน้าที่ตามธรรมนูญ 2557 ได้หรือไม่ เมื่อไม่ใช่ ส.ว.แล้วก็ยังมาทำหน้าที่ในการถอดถอนได้อีก แล้วก็ถอดถอนยิ่งลักษณ์ไปแล้ว คำถามก็คือ ถ้าท่านคิดว่าท่านใช่ ทำไมถึงเป็นสองมาตรฐาน เท่านั้นเอง
มีปัญหาอยู่ 2 จุดที่ตั้งประเด็น จุดแรกคือ ดูเจตนารมณ์ของกฎหมายนี้
ให้ชัดเจนว่ามุ่งในขณะดำรงตำแหน่ง หรือแม้พ้นจากตำแหน่งแล้วก็เล่นงานได้
ต้องได้ข้อยุติตรงนี้ก่อน ส่วนความสงสัยของสังคมว่า
สนช. มีอำนาจหรือไม่นั้น สนช.ได้พิพากษาดำเนินการไปแล้วว่าตนมีอำนาจ
ตรงนี้ไม่ได้ผ่านกระบวนการในการตรวจสอบของศาลรัฐธรรมนูญเข้ามา
ตรวจสอบเลย สนช.ดำเนินการตีความไปเองเลยว่า ตัวเองคือ ส.ว.
เพราะปัจจุบันนี้ไม่มี ส.ว. ตัวเองเป็นทั้ง ส.ส.และ ส.ว.
ทั้งที่กฎหมายในขณะกระทำความผิดนั้นเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญถูกยกเลิก
ไปแล้ว
2 ประเด็นนี้เป็นประเด็นต้องทำให้กระจ่างก่อน
คือ เรื่องเจตนารมณ์ของกฎหมายและอำนาจของ สนช.
ส่วนการรับทราบหรือไม่เป็นเรื่องของ ป.ป.ช.ส่งไป สนช.
สนช.ก็อาจรับทราบและดำเนินการก็ได้ถ้าคิดว่าเรื่องดังกล่าวมีมูล
และเป็นหน้าที่ของตน สนช.ก็รับทราบและดำเนินการได้
แต่ถ้าดูแล้วไม่เกี่ยว สนช.ก็เตะออกไป
ไม่ทราบรายละเอียด ไม่รู้ว่าผิดหรือไม่อย่างไร ความจริงก็เริ่มแบบนี้ดีแล้ว
แจ้งให้เขาทราบ เพียงแต่ว่าจะต้องไม่เลือกปฏิบัติเท่านั้นเอง
สิ่งที่สังคมตั้งข้อสังเกตก็คืออย่าเลือกปฏิบัติ แล้วควรจะมีการถ่ายทอดให้
ประชาชนได้รับทราบ มีรายละเอียดให้สังคม
สังคมจะได้รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความผิดเข้าตามที่กฎหมายระบุไว้หรือไม่
ที่มาข้อมูล:มติชนรายวัน 11 พ.ค.2558
....................................................................................................