ผมพานักศึกษาไปดูหนัง Spotlight ซึ่งเพิ่งได้รางวัลออสการ์ในฐานะ Best Picture ตอกย้ำถึงความสำคัญของการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ในการขุดคุ้ยความไม่ชอบมาพากลของสังคม โดยเฉพาะในวงการที่เคยเชื่อว่า แตะต้องไม่ได้ แต่กลายเป็นแหล่งความชั่วร้ายทำลายศีลธรรมอย่างร้ายแรงเช่นวงการสงฆ์ของอเมริกา
บทบาทสื่อในการทำหน้าที่เป็น หมาเฝ้าบ้าน (Watchdog) ด้วยการทำข่าวแนวสืบสวนสอบสวน (Investigative Journalism) จึงเป็น ความรับผิดชอบ ในฐานะสื่อสารมวลชนที่ถือเอาผลประโยชน์ของสังคมส่วนรวมเป็นที่ตั้ง
การจะทำหน้าที่เช่นนี้ได้คนทำสื่อต้องมีหลักปฏิบัติที่มีจริยธรรม ยึดมั่นในการแสวงหาความจริงอย่างไม่หวั่นไหวต่อการข่มขู่คุกคามและที่สำคัญคือจะต้องไม่มีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางทุจริตประพฤติมิชอบเสียเอง
ระหว่างการเสวนาว่าด้วยหนังเรื่องนี้ ก็มีคำถามทันสมัยว่า มาตรฐานจริยธรรม ของคนข่าวในการรักษาศรัทธาของสังคมนั้นควรจะอยู่ตรงไหน โดยเฉพาะในทางปฏิบัติ เช่นกรณีคำสั่งตัดสินจำคุกของศาลอาญาต่อสรยุทธ สุทัศนะจินดาที่เป็นข่าวคราวอยู่ในช่วงนี้
คำตอบของผมคือความจริง หากยึดสิ่งที่เรียกว่า สำนึกแห่งจริยธรรม ของคนข่าว ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องสลับซับซ้อนอะไรเลย
ในวิชาชีพของคนข่าวนั้น ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่า ความน่าเชื่อถือ (credibility) ซึ่งมาจากการทำหน้าที่อย่างปราศจากอคติ ซื่อสัตย์สุจริต ซื่อตรงต่อความจริงและรักษาระหว่างห่างอันเหมาะควรกับแหล่งข่าว
อีกทั้งยังต้องไม่กระทำการใดที่ส่อไปในทางที่อาจตีความไปได้ว่าเป็นการ ทับซ้อนแห่งผลประโยชน์ (conflict of interest)
มาตรฐานที่ถูกต้องนั้น ไม่ต้องรอให้มีคำพิพากษาของศาลด้วยซ้ำ เพียงแค่หากพฤติกรรมของคนข่าว ส่อ ไปในทางทุจริตหรือเป็นที่ครหาว่าเข้าข่ายที่จะทำให้กระทบต่อ ความน่าเชื่อถือ หรือ ศรัทธา คนข่าวคนนั้นก็จะต้องถอยห่างจากการทำหน้าที่แล้ว
ทำไมคนข่าวต้องมี ความสำนึกในความรับผิดชอบ เข้มข้นขนาดนั้น?
เพราะคนที่เสนอตัวเป็น นักสื่อสารมวลชน นั้นอาสามาทำหน้าที่นี้เอง และเมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องเข้าใจว่าสังคมคาดหวังมาตรฐานแห่งจริยธรรมในการทำหน้าที่ที่สูงกว่ามาตรฐานโดยเฉลี่ยของคนทั่วไป
หาไม่แล้ว ทำไมคนข่าวจึงมีสิทธิมากกว่าชาวบ้านในการเข้าไปในบางสถานที่ ขอสัมภาษณ์บุคคลสำคัญ และวิพากษ์วิจารณ์ โดยสุจริต โดยได้รับความคุ้มครองจากกฎหมาย?
คนข่าวได้รับสิทธิเหนือคนทั่วไป ก็เพราะอาสามาทำหน้าที่เป็นตัวแทนของชาวบ้าน ในการทำหน้าที่รายงานข่าวสารให้กับสาธารณชน
เมื่อคนข่าวมีสิทธิเหนือกว่าคนอื่นในหลายเรื่อง สังคมก็คาดหวังมาตรฐานความรับผิดชอบและจริยธรรมที่สูงกว่า
นี่คือตรรกะแห่งวิชาชีพที่ต้องเข้าใจกัน ตั้งแต่ผู้อาสาเข้ามาทำงานอาชีพนี้ตั้งแต่วันแรกที่เรียกตัวเองว่า คนข่าว
ในแวดวงราชการนั้น หากหน่วยงานทางการสอบสวนเรื่องทุจริต ชี้มูลความผิด ข้าราชการคนนั้นก็ต้องถูกพักราชการเอาไว้ก่อน เพราะหากเขายังทำหน้าที่อยู่ก็จะทำให้เกิดความสงสัย ในหมู่ประชาชนว่าเขาจะเป็นอุปสรรคในการสอบสวนให้ครบถ้วนกระบวนความหรือไม่ อีกทั้งประชาชนในฐานะเป็นผู้เสียภาษี ก็ย่อมมีความสงสัยคลางแคลงในความสามารถในการทำหน้าที่ของข้าราชการคนนั้น ๆ
ทำไมคนข่าวที่ถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดทุจริตถึงขั้นต้องจำคุก (หรือแม้ถูก ชี้มูลความผิด โดยหน่วยงานสอบสวนเรื่องทุจริต) จึงต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการระงับการทำหน้าที่สื่อ?
เหตุผลง่ายมากครับ...คนข่าวต้องตรวจสอบคนอื่นในสังคมว่าทำอะไรที่ไม่ชอบมาพากลหรือไม่? คนข่าวต้องรายงานวิเคราะห์และวิพากษ์ข่าวทั้งสังคม ว่ามีอะไรที่ใครทุจริตประพฤติมิชอบบ้าง และคนฟังคนดูต้องเชื่อว่าคนข่าวคนนั้นทำหน้าที่นั้นด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ปราศจากความลำเอียง อคติ และตนเองไม่มีผลประโยชน์หรือความรู้สึกกระอักกระอ่วนในการทำหน้าที่นั้น
ดังนั้น คนข่าวที่ถูกตัดสินโดยกระบวนการยุติธรรมไม่ว่าจะในขั้นตอนใดว่ามีความผิดแล้ว สิ่งแรกที่ถูกกระทบทันทีก็คือ ความน่าเชื่อถือ และ ศรัทธา
การที่มีความเห็นแตกต่างว่าคนข่าวคนนั้นควรจะยังอยู่หน้าจอหรือไม่ หรือมีความเห็นแย้งระหว่างคนที่เรียกร้องให้ คว่ำบาตร กับคนที่เห็นอกเห็นใจใน social media ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่า
คนข่าวเมื่อถูกตัดสินว่าผิดก็คือผิด และต้องแสดงความรับผิดชอบโดยไม่ต้องให้ใครมาบอก กดดันหรือร้องขอ
การระงับบทบาทในฐานะคนข่าว เพื่ออุทธรณ์ตามกระบวนการยุติธรรม จึงเป็นการแสดงความเคารพต่อวิชาชีพสื่อสารมวลชน เคารพต่อสาธารณชน เคารพต่อความรู้สึกของเพื่อนร่วมอาชีพ
และที่สำคัญที่สุดคือการเคารพต่อมโนธรรมของตนเอง
จริง ๆ แล้วเรื่องจริยธรรมไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรเลย หากมโนธรรมยังทำงานเป็นปกติในสังคมไทย