การยอมรับ "สารภาพ" ของนายอาเดม คาราดัก ในคดีวางระเบิดศาลท้าวมหาพรหมและท่าเรือตากสิน สาทร อาจทำให้ตำรวจเจ้าของคดีถอนหายใจด้วยความโล่งอก
สามารถ "ปิดคดี" ได้
แต่ภายในคำสารภาพในลักษณะ"ยอมรับ" นั้น เมื่อสำรวจ "สาร"แต่ละสารอัน นายอาเดม คาราดัก สื่อออกมา
ก็มากด้วย "เงื่อนปม" และ"ละเอียด" อ่อน
สาร 1 ซึ่งสำคัญเป็นอย่างมาก คือ สารอันยืนยันว่าเขาเป็น "อุยกูร์"อันมีพื้นฐานมาจากมณฑลซินเจียง ประเทศจีน
สาร 1 ปฏิบัติการครั้งนี้เขา "รับงาน" มาด้วยความเต็มใจ
อาจเป็นเพราะมีข้อแลกเปลี่ยนคือ เขาจะได้รับการช่วยเหลือให้เดินทางจากไทยไปยังมาเลเซียและต่อจากนั้นอาจเป็นตุรกี
ยืนยันด้วยว่า เป็นการทำงานโดยมิได้รับ "ค่าจ้าง"
ลำพังเพียงข้อยืนยันในความเป็น "อุยกูร์" ก็ทรงความหมายเป็นอย่างสูง เพราะเมื่อเอ่ยถึงอุยกูร์ย่อมสัมพันธ์กับจีน ย่อมสัมพันธ์กับเงื่อนงำการส่งอุยกูร์ 109 คนไปยังจีนอันอื้อฉาว
นี่คือภาวะ "ละเอียดอ่อน" ยิ่งในทาง "การเมือง"
นับแต่เกิดระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ และตามมาด้วยระเบิดท่าเรือตากสิน สาทร แม้จะมีความพยายามตัดประเด็นในเรื่องการส่งอุยกูร์ไปยังจีน
แต่ยิ่งสอบสวนสืบสวนก็ยิ่งวนไปโดยรอบ
1 บรรดาผู้ต้องหาส่วนใหญ่ซึ่งออกหมายจับมีเพียง 2 คนเท่านั้นที่ระบุว่าเป็นคนไทย แต่อีก 10 กว่าคนล้วนเป็น "ชาวต่างประเทศ"
และชาวต่างประเทศนั้นล้วนเป็น "แขกขาว"
แม้การบุกจับ นายอาเดม คาราดัก ในเบื้องต้นยังไม่ชี้ชัดลงไปว่าเขามาจากไหนและถือพาสปอร์ตชาติอะไร
แต่ยิ่งสาว ยิ่งเห็นชัดว่ามิได้เป็น "คนไทย"
ขณะเดียวกัน 1 แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะพยายามเน้นครั้งแล้วครั้งเล่าว่าสัมพันธ์กับผลประโยชน์ในเรื่องการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะชนเผ่าอุยกูร์
เมื่อเสียผลประโยชน์ก็ก่อ "ปฏิกิริยา" รุนแรง เกรี้ยวกราด
กระนั้น เมื่อพิจารณารายละเอียดในการเข้ามาของ 2 ชนเผ่าอันอื้อฉาว ได้แก่ โรฮีนจา
และอุยกูร์ จะประจักษ์ในจุดต่างอย่างมีนัยสำคัญ โรฮีนจา เป็นเรื่องของการหนีออกมาเพื่อแสวงโชค แต่อุยกูร์ เป็นเรื่องของการหนีออกมาเพื่อไปอยู่ในเทศะอันดีกว่า
1 สะท้อนปัญหา "เศรษฐกิจ" 1 สะท้อนปัญหา "การเมือง"
ปัญหาของชาวอุยกูร์จึงมิใช่ขบวนการอพยพอย่างธรรมดา หากแต่เป็นขบวนอพยพอันสะท้อนทั้งปัญหาศาสนาและการเมืองระคนกัน
การบริหารจัดการจึงต้องมากด้วย "ความประณีต"
ถามว่าเหตุใดเมื่อตอนที่รัฐบาลไทยจัดส่งอุยกูร์จำนวน 109 คนคืนกลับให้กับรัฐบาลจีนจึงกลายเป็นปัญหา
ไม่เพียงแต่เป็นปัญหาอันมาจาก "สภาอุยกูร์โลก"
ตรงกันข้าม หน่วยงานสิทธิมนุษยชนอย่างแอมเนสตี้ก็ไม่เห็นด้วย หรือแม้กระทั่งสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติก็ไม่เห็นด้วย
การสารภาพของ นายอาเดม คาราดัก จึงสำคัญ
สำคัญ 1 อาจช่วยให้คดีที่คาราคาซังปิดลงได้ ขณะเดียวกัน สำคัญ 1 เท่ากับเป็นปฏิบัติการที่สร้างความแจ่มชัดในทางการเมือง
เป็นลักษณะ "พลีชีพ" ผ่าน "คำสารภาพ"
ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสังหรณ์หรือไม่ก็ตาม แต่คำสารภาพของ นายอาเดม คาราดัก ดำเนินไปเหมือนกับเป็น "คำประกาศ"
เป็นคำประกาศจาก "ชาวอุยกูร์" ว่ากรณีของเขาเป็นเรื่อง "การเมือง"
เป็นการเมืองที่สามารถโยงให้สัมพันธ์กับกรณีการส่งอุยกูร์ 109 คนได้โดยอัตโนมัติ
จากนี้จึงเห็นได้ว่า ปฏิบัติการลอบวางระเบิด ณ ศาลท้าวมหาพรหมน่า เป็นอาชญากรรมอันมีลักษณะทางการเมือง
แม้ทิศทางการสืบสวนสอบสวนของไทยจะนำไปสู่บทสรุปเรื่อง "ผลประโยชน์" อันสัมพันธ์กับขบวนการค้ามนุษย์ แต่ "คำสารภาพ" นายอาเดม คาราดัก กลับกลายเป็นใบเสร็จ "ทางการเมือง"
"คำสารภาพ" จึงดำเนินไปอย่าง "ย้อนแย้ง" พลิกไพล่/จบ
.....................................................................................................