Me, Myself and Formula 1
Group Blog
 
<<
เมษายน 2554
 
2 เมษายน 2554
 
All Blogs
 
เฟลิเป้ มาสซ่า หลังออสเตรเลียน จีพี

ตั้งแต่ผ่านปี 2008 มาแล้ว ดูเหมือนเฟลิเป้ มาสซ่า จะไม่ได้มีโอกาสขึ้นมาต่อสู้ในแถวหน้าได้อีกเลย บางคนดูเหมือนจะคิดว่ามาสซ่าคงมาได้ไกลแค่นี้ด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม ในความรู้สึกของคนเขียน มาสซ่าเป็นนักแข่งที่น่ารักค่ะ ดูเป็นกันเองและไม่ถือตัว ถึงฝีมือเขาจะไม่ได้โดดเด่นชั้นเซียน แต่เท่าที่ผ่านมาเขาก็สามารถช่วยทีมดึงคะแนนจากคู่ต่อสู้มาได้มากมาย วันนี้เราเลยขอเอาไดอารี่ของเขามาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน ดูซิว่าหลังจบจากสนามแรกแล้ว ในความเห็นของเขาเป็นอย่างไร...


ไดอารี่ของเฟลิเป้ มาสซ่า
1 เมษายน 2011

"ผมถึงบ้านที่เซาเปาโลเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาและนั่งคิดถึงการแข่งขันที่เพิ่งจบไป ดูเหมือนเราผ่านการเตรียมตัวและการทดสอบมาอย่างยาวนาน ซึ่งมันรู้สึกดีมากที่ในที่สุดได้กลับมาลงแข่งอีกครั้งที่เมลเบิร์น เพราะเมื่อช่วงการพัฒนารถในการทดสอบเป็นงานที่สนุกมาก และสิ่งที่นักแข่งอย่างเราชอบมากที่สุดคือการได้แข่งกับนักแข่งคนอื่นๆ ในแทร็ค แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในออสเตรเลียน กรังด์ปรีซ์ ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ผมและทีมคาดหวังไว้ เพราะเราสู้ไม่ได้เลยเมื่อเทียบกับการทดสอบในช่วงฤดูหนาว บทเรียนหนึ่งที่ได้คราวนี้คือเรายังมีงานต้องทำอีกมาก เราต้องค้นหาสาเหตุอย่างเร่งด่วนว่าเกิดอะไรขึ้นที่ออสเตรเลีย ต้องทำความเข้าใจว่าเราทำอย่างไรและทีมอื่นทำอย่างไร เราไม่ได้จากมาด้วยคะแนนที่มากนัก ดังนั้นในสนามต่อไปเราต้องกลับไปในจุดที่เราอยากอยู่ให้ได้









"ผมถูกถามอยู่หลายครั้งเมื่ออาทิตย์ที่แล้วว่าอะไรที่ทำให้ผมประหลาดใจกว่ากันระหว่างความเร็วของเร้ดบูลหรือแม็คลาเรน คำตอบก็คือเร้ดบูล เพราะสิ่งที่เวทเทลทำได้ในรอบควอลิฟายเป็นสิ่งที่น่าประทับใจมาก ที่จริงแม็คลาเรนดูเหมือนจะก้าวไปได้มาก แต่เร้ดบูลดูเหมือนไปไกลกว่าคนอื่นจริงๆ สำหรับเราเอง รถของเราดีกว่าที่เห็นในเมลเบิร์นและเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายได้ว่าจริงๆ แล้วทำไมเราไม่สามารถทำได้ เพราะฉะนั้นในการไปมาเลเซีย รถของเราต้องเป็นในแบบที่เราสร้างมาจริงๆ ไม่ใช่คันที่ใช้แข่งเมื่ออาทิตย์ก่อน

"เราไม่ต้องรอนานที่จะได้เห็นผลของปีกหลังปรับได้กับ KERS ระหว่างการแข่งขัน เพราะผมได้ต่อสู้กับเจนสันตั้งแต่ช่วงต้น คุณคงได้เห็นแล้วว่าเขาเข้าใกล้ผมได้มากแค่ไหนบนทางตรงแม้เขาจะไม่ได้ใกล้ผมมากนักในโค้งก่อน ซึ่งพอสุดทางตรงเขาก็มาอยู่ข้างผมแล้ว เห็นได้ชัดว่าปีกหลังช่วยเขาได้ถึงแม้ว่าในท้ายที่สุดเขาแซงผมได้จากการตัดโค้ง ในระหว่างขับเคี่ยวกันผมรู้สึกว่าทำหน้าที่ได้ดีมากในการรักษาตำแหน่งไว้โดยใช้ KERS ช่วย ผมรู้ว่าจะต้องเก็บพลังของมันไว้จนกว่าจะเอามาใช้ในเวลาที่เหมาะสม ทำให้คู่แข่งแซงไม่ได้ แต่แน่นอนในสถานการณ์อย่างนี้การเป็นผู้ไล่ย่อมง่ายกว่าผู้ถูกตาม เชื่อได้เลยว่าคนดูต้องตื่นเต้น แต่ก็น่าอายที่หลังจากเหตุการณ์นั้นผมก็ไม่สามารถจะตามไปไล่ได้แล้ว ผมคิดว่าเขาน่าจะคืนตำแหน่งให้หลังจากนั้นเพราะกฎชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องทำอย่างนั้นหากตัดโค้งและเจนสันก็มีประสบการณ์มามากพอที่จะรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องรอให้ทีมบอก หลังจากเขาผ่านไปได้ อลอนโซ่ก็แซงผมด้วย เพราะความเร็วของผมตกลงไปหลังจากสู้กับเจนสัน และเมื่อเฟอร์นันโดเข้าพิตก่อนผม ทำให้เจนสันยังมีโอกาสคืนตำแหน่งให้ผมแต่เขาก็ไม่ได้ทำ

"ต่อมาในการแข่งขัน ผมแซงบูเอมี่ได้เพราะผมมียางที่ใหม่กว่าและใช้ปีกหลังช่วย บอกตามตรงเลยว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นเพราะถึงแม้ปีกจะช่วยให้ผมเข้าไปใกล้เขามากขึ้น แต่ผมก็ยังขึ้นไปตีคู่ไม่ได้เนื่องจากเราไม่ได้มีความเร็วที่ดีมากเมื่ออาทิตย์ก่อน อย่างไรก็ตามผมก็เบรกลึกกว่าเขามากเพราะยางของผมดีกว่าและผ่านไปได้ในที่สุด

"ตอนนี้ผมมีเวลาอีกแค่ 2-3 วันในบราซิล ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะได้อยู่มาแล้วถึง 2-3 เดือน ซึ่งนี่ก็ช่วยได้มากกับการเตรียมตัวสำหรับสนามถัดไปที่มาเลเซียเพราะตอนนี้อากาศที่เซาเปาโลร้อนมาก จากนั้นวันอาทิตย์ผมจะบินไปกัวลาลัมเปอร์ หวังว่าไปถึงแล้วเราคงได้เริ่มเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันด้วยรถที่ดีขึ้นในอาทิตย์นี้"


***********************************


แถมท้ายด้วยข่าวจากสนามเอวันริง (A1-ring) ที่ออสเตรียค่ะ

ใครที่ได้ติดตามฟอร์มูล่าวันตั้งแต่ปีโน้นนนนนน แบบเจ้าของบล็อกนี่แหละ คงคุ้นหน้าคุ้นตาและคุ้นชื่อสนามเอวันริงเป็นอย่างดีนะคะ โดยการแข่งขันฟอร์มูล่าวันจัดขึ้นที่นี่ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2003 และมิชาเอล ชูมัคเกอร์เป็นผู้ชนะ ปัจจุบันสนามนี้เปลี่ยนชื่อเป็น "เร้ดบูลริง" แล้วค่ะ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นเจ้าของไปแล้ว เพราะเร้ดบูลเป็นบริษัทเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่ของออสเตรีย (ไม่นับบริษัทแม่ในเมืองไทย) จึงไม่แปลกที่จะซื้อเอวันริงที่เหมือนเป็นสนามแข่งแห่งชาติออสเตรียไปพัฒนา และอาจเป็นสัญญาณว่าอดีตสนามเอวันริงจะขอกลับมาเป็นเจ้าภาพการแข่งขันฟอร์มูล่าวันอีกครั้งในอนาคต โดยจะมีการเปิดสนามอย่างเป็นทางการในวันที่ 15-16 พฤษภาคมนี้ ซึ่งเซบาสเตียน เวทเทล และมาร์ก เว็บเบอร์ จะไปโชว์รถ RB6 ในงานด้วยค่ะ ส่วนที่ไม่เป็นทางการ วันที่ 16 เมษายน จะประเดิมกันก่อนโดยเป็นการแข่งขันทัวริ่งคาร์ในประเทศ

ใครที่ไม่เคยเห็ยทัศนียภาพสวยๆ ของเอวันริงสมัยก่อนหรือใครที่จำไม่ได้ เรามีคลิปมาให้ชมค่ะ แต่เป็นคลิปตลกๆ ของฮวน พาโบล มอนโตย่า นักแข่งของทีมวิลเลียมส์ เมื่อปี 2001






คลิปจากยูทูบโดยคุณ villeneuve2fast4you





ทีมงานบอกกับมอนโตย่าทางวิทยุว่าให้เข้าพิตในรอบนี้เพราะมีกวางวิ่งเข้ามาในแทร็ค แต่ไม่วายมีเล่นมุกกันด้วย

มอนโตย่า: "Oh Dear (ที่รัก)"

ทีมงาน: " Yeah, Deer (กวาง). - It's like a horse with horns (ที่เหมือนม้าแต่มีเขา)"

มอนโตย่า: "I know, i know. Oh Dear. HAHAHA" (ผมรู้ ผมรู้ โอ้ ที่รัก 55555)





*ข้อมูลจาก ferrari.com และ sebastian-vettel.org
ภาพจาก espnf1.com




Create Date : 02 เมษายน 2554
Last Update : 2 เมษายน 2554 13:57:45 น. 14 comments
Counter : 1308 Pageviews.

 
อยากรู้ว่า มาซซ่า คิดไงกับ ทิโม กลอค...จำได้ไหม 2008 ดราม่ามาก


โดย: paanc IP: 183.89.184.137 วันที่: 2 เมษายน 2554 เวลา:12:36:39 น.  

 
น่าจะเป็นปี 2001 นะครับ


โดย: yuykit IP: 113.53.224.51 วันที่: 2 เมษายน 2554 เวลา:12:56:26 น.  

 
ผมว่า Timo Glock ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะครับ เพราะเค้าเองเลือก Strategy เข้าพิทน้อยกว่าชาวบ้านเค้า แล้วมาวัดดวงเอาตอนหลังว่าจะพารถไปถึงเส้นชัยรึเปล่า

ช่วงไม่กี่นาทีก่อนจบ race ที่ Interlagos ปีนั้น น่าจะเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์ได้เลยนะครับ ถ้านับตั้งแต่ตอนที่ Vettel เข้ามามีส่วนร่วม จนกระทั่ง Lewis เข้าเส้นชัย

กลับมาพูดถึง Massa อีกที ที่มาเลเซียกับที่จีน เค้าคงต้องพยายามทำแต้มให้ได้มากๆหน่อย KERS ของ Ferrari เองก็น่าจะช่วยเหลือเค้าได้บ้าง เพราะทั้งที่มาเลเซียและที่จีนต่างก็มีทางตรงยาวๆ

สิ่งนึงที่ Ferrari จะพออุ่นใจได้บ้างคือ รถของพวกเค้าไม่มีปัญหาเรื่อง Reliability เลย และจากที่ผมดู ปัญหาเกี่ยวกับ KERS เป็นเรื่องที่แก้ไขค่อนข้างยาก ถ้าไม่สามารถใช้ KERS ในระหว่าง Race ที่มาเลเซียหรือจีนได้ น่าจะเป็นการเสียเปรียบพอสมควร

ถ้า Massa จะหาจุดพลิกผันละก็ ผมขอมองไปที่ Monaco GP เพราะเค้าเองก็พอจะมีผลงานที่ดีอยู่บ้าง และผมไม่คิดว่าที่ Turkish GP หรือ Spanish GP รถของ Ferrari จะสามารถเอาชนะรถของ RBR ได้


โดย: Thomaskung IP: 58.9.192.219 วันที่: 2 เมษายน 2554 เวลา:13:06:07 น.  

 
จำไม่ได้ว่าใช้strategyแบบไหน แต่จำได้ว่ามาซซ่าทำได้ดีที่สุดแล้ว ก็เข้าที่1หนิ แล้วอยู่ดีๆก็เหมือนกลอคผ่อนให้ฮามิลตันแซงไปซะงั้น แล้วก็เห็นมาซซ่าตอนขึ้นโพเดียมยืนร้องไห้...เห็นแล้วพูดไม่ถูก แต่เอาใจไปเลย

เขาว่า ดวง ก็เป็นความสามารถของนักกีฬานะ มาซซ่าก็คงขาดอันนี้มั้ง -_-


โดย: paanc IP: 183.89.184.137 วันที่: 2 เมษายน 2554 เวลา:13:25:51 น.  

 
@คุณ yuykit
สงสัยคนเขียนจะเบลอ -*- แก้ให้แล้วนะคะ ขอบคุณมากค่ะ



โดย: finishline วันที่: 2 เมษายน 2554 เวลา:14:00:47 น.  

 
สนามสุดท้ายที่บราซิลปีนั้นน่ะ รถ Toyota ทั้ง 2 คันช้ามากจริงๆ แต่ผมว่าคงเป็นเพราะยางแหละ ไม่ได้ผ่อน (ไม่งั้นโดนสอบไปแล้ว)


โดย: runtaro IP: 124.122.21.3 วันที่: 2 เมษายน 2554 เวลา:14:31:37 น.  

 
ผมเพิ่งดูคลิป2008ของกลอคมา ตอนนี้ไม่สงสัยละ


โดย: paanc IP: 183.89.184.137 วันที่: 2 เมษายน 2554 เวลา:14:52:37 น.  

 
เอายางแห้งมาวิ่งทางฝน ก็จะเป็นแบบนั้นละครับ


แฟนทีมอื่นคงไม่ว่าไร เท่าไหร่นัก แต่แฟนเฟอร์ ด่าซะกลอกแทบเสียคน

ถ้าจะดูให้ชัด ต้องดูของปีที่แล้วครับ ที่สนามสปา ในเบลเยียม รถแถวหน้าหลายคัน วิ่งเลยปากทางพิทไปตอนช่วงฝนกำลังจะตก พอวิ่งเลยไปแล้ว เจอฝนกระหน่ำ แต่ละคัน ประคองตัวมาเปลี่ยนยางกันแบบทุลักทุเล คันที่นำอยู่(แฮม) ขับลงไปวนเล่นในบ่อกรวดจนเกือบชนกะแผงกั้นแทรค(จะไม่จบเอาก็เพราะแบบนี้แหละ) นี่ละครับ ผลของการใช้ยางไม่ถูกประเภท


โดย: hstgz IP: 118.173.100.27 วันที่: 2 เมษายน 2554 เวลา:16:03:03 น.  

 
คลิปน่ารักมากเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับข่าวนะคะ


โดย: Panaya11 IP: 110.168.52.154 วันที่: 2 เมษายน 2554 เวลา:18:53:31 น.  

 
A difficult afternoon for Mark in Australia

The 2011 Formula One World Championship kicked off in Melbourne on Sunday. The 58-lap Australian Grand Prix ended with Mark taking fifth place.

“I made a good start from third on the grid,” says Mark, “but it soon became apparent that I was in for a difficult afternoon. The tyre degradation on my RB7 was way too high in relation to Seb’s car and we’re still trying to work out the reasons for that.”

Mark was forced to make three tyre stops to Vettel’s two and he had to contend with a lack of grip as well. His second stint, from laps 27 to 42, was ruined by particularly poor grip on the hard tyre and echoed the problems he’d had during qualifying.

But for all Mark’s troubles, there were positives for Red Bull Racing to take from the weekend. “Seb’s pace proved that the RB7 is a quick car,” says Mark, “and we both had perfect reliability. The guys in Milton Keynes have done a phenomenal job and I’m 100 percent focused on finding out why I’ve struggled for pace all weekend.

“The telemetry after the race gave us a few pointers, but we really need to strip the car down to see if there was something seriously wrong. I won’t be lining myself up for races like the one I’ve just had every weekend.”

The race saw the introduction of several innovations across the grid, one of which was Kinetic Energy Recovery Systems (KERS). Red Bull Racing didn’t use the system when it was last permitted in F1 in 2009 and the team didn’t use it at Albert Park either.

“I didn’t have KERS on my car all weekend,” says Mark. “Seb ran it during Friday practice, but the team took the decision not to race it on either car. We’ll hone the system over the next couple of weeks and hope to use it in Malaysia.”

Another innovation for Australia was the introduction of a moveable rear wing, or drag reduction system (DRS). It could only be used on one 600-metre stretch of the pit straight, and only by cars that were within one second of the car in front. But its effectiveness was questionable.

“I was right behind Lewis Hamilton on lap three,” says Mark, “and I expected the DRS to help me pass him. It made no difference; he continued to pull away. It was then that I knew it was going to be a very long afternoon.

“But it’s too early to write the DRS system off because the corner onto the pit straight at Albert Park was too quick. It wasn’t possible to stay close to the car in front. Sepang will be very different because there is a very slow hairpin leading onto the pit straight, so I think it will be more effective there.”

Prior to Malaysia, however, Mark’s focus will revolve around trying to extract more performance from his RB7 in the coming races.

“I’m pretty self-critical,” he says, “and at Albert Park I was a long way off getting the result that the car was capable of. I’m expecting the tyre situation to be very different in Malaysia and I expect to take a step forward.”

thanks markwebber.com


โดย: fanthom Mark IP: 118.172.22.42 วันที่: 2 เมษายน 2554 เวลา:19:50:46 น.  

 
@ คุณ Thomaskung
รถ Ferrari มี reliability ที่ดีมากในช่วง pre-season ซึ่งผมมองว่านี่แหละที่เป็นปัญหาครับ เพราะไม่เจอปัญหาเลยทำให้พอเข้าฤดูกาลเจอปัญหาจึงยังไม่มีแนวทางแก้ไข และจากประสบการณ์ตรงของผมเองผมบอกได้เลย ผมยอมเจอปัญหาเป็นร้อยเป็นพันในวันซ้อมดีกว่าเจอปัญหาครั้งเดียวในวันแข่ง

@ แฟน Red Bull
วันศุกร์นี้ต้องจับตารถ Red Bull ให้ดีครับ รถ Red Bull เป็นประเภทเหมาะกับสนามโค้งความเร็วสูงหรือก็คือเหมาะกับสนามที่มาเลมากกว่าออส แต่ KERS มีโอกาสทำให้รถ Red Bull เสียสมดุลได้จึงต้องลุ้นให้ Newey แก้ปัญหา weight transfer ให้ได้ครัีบ


โดย: fascinator IP: 110.168.91.172 วันที่: 2 เมษายน 2554 เวลา:22:45:14 น.  

 
"ผมยอมเจอปัญหาเป็นร้อยเป็นพันในวันซ้อมดีกว่าเจอปัญหาครั้งเดียวในวันแข่ง"

น้องสตีฟ
ประโยคนี้โดนใจมากๆ

วันแข่งขัน ทุกอย่างต้องเต็มที่ 110% เลย


โดย: เกลียดแดง IP: 58.64.112.166 วันที่: 3 เมษายน 2554 เวลา:1:25:26 น.  

 
@คุณ fanthom Mark
ขอบคุณมากนะคะสำหรับสัมภาษณ์ของพี่มาร์ก :)

@น้องสตีฟ
แล้วถ้า Red Bull ไม่ใส่ KERS ลงแข่งที่เซปังจะเสียเปรียบทีมอื่นมากมั้ยคะ?


โดย: finishline วันที่: 3 เมษายน 2554 เวลา:9:36:37 น.  

 
ถ้าช่วงสตาร์ท Red Bull ทำได้ดีและรักษาระยะออกโค้งได้อย่างสม่ำเสมอ ผมคิดว่าจะแซง Red Bull ก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดีครับ


โดย: fascinator IP: 124.122.138.12 วันที่: 3 เมษายน 2554 เวลา:11:13:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

finishline
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 110 คน [?]




ในประเทศไทยหาข่าวฟอร์มูล่าวันอ่านได้ยากเหลือเกิ๊นนนน...เขียนเองเลยดีกว่า!

**เจ้าของบล็อกเขียนข่าวขึ้นจากการรวบรวมข้อมูลข่าวและแปลจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือของต่างประเทศเพื่อเป็นสาธารณประโยชน์แก่ผู้ที่ชื่นชอบกีฬาชนิดนี้ ท่านใดที่นำข้อความในบล็อกไปเผยแพร่ต่อ ขอความกรุณาให้เครดิตบล็อกด้วยนะคะ**
Friends' blogs
[Add finishline's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.