ขับรถขึ้นไปอีกนิดเดียว ก็ถึงจุดที่ดินสไลด์ เอารถขึ้นไม่ได้ ต้องจอดไว้ข้างทาง แล้วเดินเข้าไปอีกประมาณ 300 ม. (หลอกแน่นอน) ดูเหมือนเดินง่าย ๆ ก็เลยเดินไป แป๊บบบเดียวเอง คิดผิดป่าวว่ะตู หายใจไม่ทัน อากาศก็เย็น อ๊อกซิเจนคงน้อย แต่สายไปแล้ว ขืนโบกรถสองแถวสีเหลืองตอนนี้ เสียฟอร์มหมด แม้จะแค่ 5 บาทก็ตาม ว่าแล้วก็เดินต่อไป แป๊บแม้วก็ถึง เลี้ยวซ้ายลงเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติอ่างกากันเลยคะ ป้ายแรกเป็นป้ายต้อนรับเข้าสู่ประตูหิมาลัย ฟังดูยิ่งใหญ่ดีจริง ๆ
เดินขึ้นมาจากอ่างกา ก็ข้ามไปฝั่งตรงข้ามที่มีห้องน้ำ ร้านขายของ เจอเจ้านกน้อยนี้แวะเวียนมากินกล้วยที่คนของร้านกาแฟแขวนเอาไว้ เลยลองกด ๆ มาดู ไม่คิดว่าจะติด ก็แหม...กล้องเราเล็กนิดเดียว แต่เพื่อน ๆ ด้านข้างที่เขาถ่ายนกน้อยนี้ ใช้กล้องอย่างกับปืนบาซูก้าแน่ะ อิอิ
จากนั้นก็จะเป็นทางเดินลง ไปจนใกล้ๆ สถานีเรดาห์ แล้วเราก็เดินกลับไปขึ้นรถที่จอดทิ้งไว้ ขากลับนี้เดินง่ายแหะ เพราะเดินลง ตบเท้าลงมาแบบทหารเลย แป๊บเดียวถึง แวะดูทางที่ขาดเพราะดินสไลด์ น่ากลัวจริง ๆ ถ้าเกิดเราขับรถมาเจอตอนมันขาดพอดี สงสัยแย่แน่ ๆ พอขึ้นรถแล้วก็ขับลงดอย พอผ่านกิ่วแม่ปาน มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ทางด้านซ้าย เลยแวะเก็บภาพอีกซักหน่อย มองเห็นทางโค้งก่อนถึงพระธาตุฯ และแถวรถยนต์ที่เริ่มมาจอดให้เห็นกันแต่เช้าแล้วคะ
จากนั้นเราก็ขับรถกลับไปที่ทำการอุทยานฯ แวะกินข้าวเช้าเติมพลังกันก่อน หิวมากกกกก ว่าแล้วก็สั่งกับข้าวมากมายเช่นเคย ทั้งแกงจืดปวยเล้ง ไข่เจียวเห็ดหอม และเห็ดหอมสดผัดบร็อคโคลี่
จากนั้นก็เดินไปซื้อกาแฟร้านข้าง ๆ มอคค่าที่นี่ไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ อ่อนไปนิด กินเสร็จง่วงนอนทันทีเลย 5555 แต่แวะซื้อกาแฟคั่วบดไปด้วย พร้อมด้วยลูกอมกาแฟรสเข้มข้นหวานมัน ซึ่งได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ ช่วยชีวิตพลขับและพลนั่งในวันที่ 4 อย่างมาก เพราะง่วงอย่างแรง แล้วหากาแฟไม่ได้ เพราะขับรถขึ้นเขาระหว่างแม่ฮ่องสอน ไปปายอยู่ ได้เจ้าลูกอมกาแฟนี่แทน คาเฟอีนเข้าสู่เส้นเลือดปุ๊บ ตาสว่างขึ้นทันทีเลย จากนั้นเราก็ขับรถกลับบ้านพัก ไปนอนเล่นผึ่งพุงให้หายเหนื่อยจากการบริโภคก่อน เผลอแป๊บเดียว หลับไปเกือบชั่วโมง รีบอาบน้ำ เก็บกระเป๋า ออกจากบ้านดอยชัวร์ญ่า เกือบ 11 โมง แล้วก็ขับขึ้นไปทางแยกที่เลยจุดตรวจ เลี้ยวซ้ายไปแม่แจ่ม ถนนช่วงนี้เล็กมาก ขับสวนกันไว ๆ หูกระจกมองข้างแทบตีกัน ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังขับเบียดเสียดกันในซอยเล็ก ๆ หลังออฟฟิศเลย 5555 ทำความเร็วได้ไม่มาก เพราะกลัว แต่ระยะทางแค่ 20 กว่าก.ม. ก็ถึงแม่แจ่มแล้วคะ เราแวะหาบ่าววี ที่ร้านเมืองแจ่มโพสต์ เพื่อเอาเครื่องเขียนไปฝากให้แกไปให้เด็กในโรงเรียนไกล ๆ กันด้วย แต่ไม่เจอพี่ท่าน เลยกะว่าจะแวะมาหาอีกทีตอนเย็น ๆ แต่ก็ไม่เจออยู่ดี สรุปว่าทริปนี้ไม่เจอนะคะ เอาไว้ทริปหน้า จะแวะมาหาใหม่ เส้นทางนี้จะมีนาขั้นบันไดให้เห็นแค่นิดหน่อย ต้องไปอีกมุมนึงของเมือง เลยขับรถไปไหว้พระกันดีกว่า เสียดายอากาศร้อนไปหน่อย เดินไปถ่ายไป ตอนหลังชักไม่ไหว ร้อนขึ้นทุกที แทบเป็นลม
วัดที่นี่ส่วนใหญ่เป็นศิลปะแบบพม่าผสมล้านนา วัดแรกที่ไปคือวัดยางหลวงคะ ดูดี ๆ นะคะ ด้านหลังพระประธาน จะมีปูนปั้นเก่าแก่ เรียกว่ากู่ปราสาท ซึ่งตอนหลังสร้างโบสถ์หลังนี้มาครอบอีกที เขาเชื่อกันว่า เป็นทางไปสู่สวรรค์คะ ด้านในมีภาพเงาสะท้อน แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา มัวแต่ตื่นเต้น และที่วัดนี้ เราก็ได้ถวายเครื่องเขียนไว้ให้พระท่านใช้สอยด้วย
จากนั้นจะมีโบสถ์อยู่ข้าง ๆ อีกหลัง ตอนแรกมองไกล ๆ ไม่คิดว่าจะสวยงาม เพราะดูจากด้านข้างด้วย พอเราจะเดินออก พระท่านคงรู้ว่า ไอ้นี่ไม่รู้เรื่องเลย ของสวย ๆ งาม ๆ ไม่ไปดู ท่านเลยเดินมาถามเราว่า ไปดูโบสถ์หลังนั้นหรือยัง แล้วท่านก็เดินนำ ไปเปิดประตูให้เราเข้าไปไหว้พระ และถ่ายรูปกัน
จากนั้น เราก็ขับวนออกมาอีกทางหนึ่ง ไปยังวัดป่าแดด ที่สร้างมาเกือบ 200 ปีแล้ว ข้างในมีภาพวาดฝาผนัง แต่ร่องรอยอารยธรรมเหลือน้อยนิด อีกหน่อยกรมศิลป์ฯ คงต้องมาบูรณะขนานใหญ่แล้ว
หลังจากนั้น ก็ขับรถวนไป วนมาอยู่พักใหญ่ ๆ ออกไปถึงทางแยกตรงเฮือนแรมแจ่มเมือง แล้วก็วกกลับมาอีกรอบ เพื่อหาทางไปวัดพุทธเอิ้น หรือวัดพุทธเอ้น สุดท้าย จอดถามน้องชายที่ขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมา เขาเลยอาสาพาไปชี้จุดเส้นทางใหญ่ให้ ปรากฎว่า เราขับหลงไปไกลมากกกก เลยตอบแทนน้ำใจน้องเขาไปเล็กน้อย แล้วก็ขับตามทางไปเรื่อย ๆ จนถึงวัดพุทธเอิ้น แต่อย่างที่บอกคะ กว่าจะมาถึงวัดนี้ได้ ก็ผ่านไปหลายแดด แถมข้าวเที่ยงก็ไม่มีอะไรตกถึงท้อง ถ้าเป็นปลาสลิดก็แห้งสลดเหี่ยวหมดแล้วคะ เลยถ่ายรูปมาแค่นิดเดียวเอง
หลังจากนั้น พระท่านก็เดินมารดน้ำต้นไม้ ในใจท่านอาจคิดว่า มาดูอะไรกันตอนนี้ 5 โมงกว่าเข้าไปแล้ว เราก็เลยกลับเข้าเมืองดีกว่า ไปหาข้าวกิน หิวจนจะกินหัวเพื่อนได้แล้วนะเนี่ย เลือกร้านที่ดูบ้าน ๆ หน่อย อยู่ตรงข้ามธนาคารกสิกรไทย ห้องมุม ๆ แต่ไปซื้อส้มตำจากร้านข้าง ๆ มาร่วมด้วยช่วยกันชูรส โอ้ว....ไม่ผิดหวังเลย บ้านจริง ๆ สั่งลาบหมู ลุงยกมาให้แบบดิบ ๆ ราดเลือดมาแดงฉาน......ต้องบอกให้ลุงเอาไปทำให้สุกหน่อยเถอะคะ หนูขอร้อง เดี๋ยวคืนนี้หนูจู๊ด จู๊ด พรุ่งนี้จะไปเที่ยวต่อไม่ได้ แกเลยหัวเราะเราใหญ่ เอาไปทำให้สุกแล้วยกมาใหม่ คราวนี้โอเค อร่อยดี แต่กินไป ก็อดคิดถึงภาพตอนมันแดงฉานไม่ได้ แต่ก็หมดนะ บอกแล้วว่าหิวจนจะกินหัวเพื่อนอยู่แล้ว บวกกับไก่ย่าง ไส้อั่ว คางหมูย่าง แกงอ่อมเครื่องในหมู และส้มตำปูปลาร้า จิ้มข้าวนึ่ง ผักสด ๆ แซ่บอย่าบอกใคร
หลังจากอิ่มหนำสำราญ จนพุงแทบแตกแล้ว เราก็จ่ายค่าเสียหายไป 150 บาท แล้วก็ขับรถไปปั้มน้ำมันปตท. แต่ไม่ได้เติมหรอกคะ ไปซื้อน้ำดื่มกับโยเกิร์ตกินแก้เผ็ดหน่อย แวะหาบ่าววีอีกรอบ แต่ก็ไม่เจออีก แถมดึกแล้ว เกรงใจ ก็เลยกลับบ้านพักที่ ณวสรวงรีสอร์ท เราได้ห้องบนสุด ติดกับสระน้ำ บรรยากาศก็ใช้ได้ แต่คืนนั้น ไม่ค่อยหนาว หมอกก็ไม่มี แมลงเลยมาแทน ก็เลยนั่งอยู่ในห้อง ทำงานซักนิด เพราะพรุ่งนี้คนอื่นเขาทำงานกันแล้ว แต่เราหยุด ต้องเคลียร์งานให้น้อง ๆ หน่อย จากนั้นก็อาบน้ำ และนอนหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนที่สุด วันนี้เป็นวันที่เหนื่อยที่สุดของทริป เพราะตื่นตั้งแต่ยังไม่สว่าง เดินแป๊บแม้ว (ไม่ใช่แป๊บเดียว) อากาศร้อน โดนแดดเปรี้ยง แถมด้วยกินข้าวไม่ครบมื้ออีกด้วย พรุ่งนี้ค่อยแก้ตัวใหม่ วางเวลาดี ๆ แต่หารู้ไหมว่า หลังจากนั้น ก็เป็นแบบนี้ทุกวันแหละ ยันกลับกทม.เลย