สวัสดีครับ

นอกจากความวิตกในเรื่องของอุทกภัยที่กำลังลุ้นกันอยู่ในปีนี้ว่าจะซ้ำรอยปีที่ผ่านมาหรือไม่แล้ว เรื่องราคาสินค้าที่มีผลต่อค่าครองชีพในปัจจุบันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ได้รับความสนใจและเป็นหัวข้อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งเรื่องค่าครองชีพนี้ส่งผลกระทบต่อเงินในกระเป๋าของเราโดยตรง แต่ถ้ามองในมุมของเศรษฐศาสตร์แล้ว ก็อาจพูดได้ว่าเป็นปัจจัยที่เราไม่สามารถควบคุมได้ 100% เพราะมันขึ้นอยู่กับปัจจัยอะไรหลายๆ อย่างที่ส่งผลต่อการขึ้นลงของราคาสินค้า แต่สิ่งที่เราสามารถทำได้นั้นก็คือ การเตรียมตัวรับมือกับภาวะค่าครองชีพแพงนั่นเองครับ

ในส่วนของการวางแผนรับมือกับของแพงนี้ ผมขอแนะนำออกเป็น 3 ขั้น ดังนี้ครับ

1. วางแผนรายวัน

การเดินทาง ชีวิตเราใช้เวลาและเงินกับการเดินทางในแต่ละวันไปไม่น้อยเลยนะครับ เรียกได้ว่าเป็นต้นทุนทางเวลาและเงินนั่นเอง ดังนั้นหากเรามีการวางแผนการเดินทางที่ดี ก็จะเป็นการควบคุมรายจ่ายในส่วนนี้ไปในตัว เช่น หากสถานที่ทำงานอยู่ในเส้นทางเดียวกับคนอื่นๆ ในครอบครัว ก็อาจจะเดินทางไปด้วยกันแทนการแยกกันไปรถคนละคัน หรือลองคำนวณคร่าวๆ ดูเทียบกับความเร่งด่วนดูว่า การไปรถส่วนตัวกับไปด้วยระบบขนส่งสาธารณะ แบบไหนคุ้มค่ากว่ากัน โดยอาจรวมค่าทางด่วนและค่าจอดรถเข้าไปเทียบด้วยครับ นอกจากนี้ ในกรณีที่ต้องเดินทางไปในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย เราควรศึกษาเส้นทางไปให้ละเอียดก่อนครับ เพื่อที่จะได้ไม่หลงทางให้เสียเวลาและเปลืองน้ำมัน

ค่าอาหาร แน่นอนว่า เงินเดือนส่วนใหญ่ของเรามักจะหมดไปกับ “ค่าอาหาร” ดังนั้น หากเราสามารถควบคุมรายจ่ายในส่วนนี้ได้ เราก็จะประหยัดเงินได้เยอะเลยครับ แต่นั่นไม่ได้หมายถึงว่าให้เราประหยัดโดยการอดอาหารนะครับ แต่หมายถึงการเลือกทานอาหารที่มีราคาสมเหตุสมผล ไม่แพงจนเกินไป เช่น แทนที่จะไปทานอาหารในห้างทุกวัน ก็อาจลดลงเหลือเพียงสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือเก็บไว้เป็นมื้ออาหารสำหรับโอกาสพิเศษต่างๆ ยกตัวอย่างกันง่ายๆ เช่น เฉลี่ยแล้วเราจ่ายเงินไปกับมื้อหารในห้างประมาณ 300 บาทต่อคนต่อมื้อ ดังนั้นหากเราทานอาหารในห้าง 4 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็จะคิดเป็นรายจ่ายถึง 62,400 บาทต่อปี แต่ถ้าหากเราลดลงเหลือสัปดาห์ละครั้ง ก็จะประหยัดเงินได้ถึง 46,800 บาทต่อปี ในขณะที่ยังสามารถมีความสุขกับมื้ออาหารที่ถูกปากได้ครับ

2. วางแผนรายเดือน

ในแต่ละเดือนเรามีรายจ่ายประจำกันอยู่แล้วจำนวนหนึ่ง เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าโทรศัพท์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราพอจะสามารถควบคุมปริมาณการใช้เพื่อควบคุมรายจ่ายได้ นอกจากนี้เราควรกันเงินไว้สำหรับค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไว้ล่วงหน้าเพราะเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ดังนั้น หากเราไม่กันเงินไว้หรือลืม ก็อาจส่งผลให้โดนตัดน้ำตัดไฟ หรือต้องเสียค่าปรับได้ครับ ในส่วนนี้ ผมขอแนะนำการใช้บริการตัดบัญชีอัตโนมัติเพื่อป้องกันการหลงลืมครับ

นอกจากนี้ รายจ่ายรายเดือนยังรวมถึงหนี้บัตรเครดิตด้วยครับ ซึ่งหนี้บัตรเครดิตเป็นการใช้เงินในอนาคต เราจะรู้ยอดการใช้จ่ายที่ต้องชำระในของเดือนถัดไปล่วงหน้า ดังนั้นจึงควรกันเงินไว้เพื่อจ่ายหนี้บัตรเครดิตไว้เลยครับ ไม่งั้นหากเงินเหลือไม่พอจ่าย ก็อาจต้องรับภาระดอกเบี้ยบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นมา ซึ่งโดยปกติแล้ว ดอกเบี้ยบัตรเครดิตเป็นดอกเบี้ยที่สูงมาก และจะคิดตั้งแต่วันที่เรารูดซื้อของครับ ไม่ได้คิดตั้งแต่วันตัดรอบบิล

3. วางแผนระยะยาว

นอกจากการวางแผนรายวันและรายเดือนแล้ว เราก็ไม่ควรมองข้ามการวางแผนระยะยาวซึ่งจะได้รับผลกระทบจากการวางแผนระยะสั้นโดยตรงครับ เช่น การวางแผนสำหรับค่าเทอมของลูก การวางแผนซื้อบ้าน หรือการวางแผนเกษียณ โดยที่เราต้องวางแผนระยะยาวนี้ควบคู่ไปกับการวางแผนระยะสั้น เพื่อคอยปรับแผนให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันตามความจำเป็น อีกทั้งยังเป็นการเตือนตัวเองให้อยู่ในกรอบของแผนรายวันและรายเดือนอีกด้วยครับ

และนี่ก็เป็นการวางแผนเพื่อรับมือกับภาวะสินค้าราคาแพงนะครับ เป็นแนวทางและแนวคิดง่ายๆ ที่เราคุ้นเคยกันดีครับ เพียงแค่เราตั้งใจและใส่ใจกับมันให้มากขึ้น สิ่งเล็กๆ เหล่านี้ก็จะส่งผลดีต่อเราได้อย่างแน่นอนครับ  

ท้ายนี้ หากใครมีคำถามเรื่องการวางแผนการเงิน ภาษี การออม การลงุทน หรือเรื่องการเงินอื่นๆ สามารถส่งอีเมล์มาปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญการวางแผนการเงินของเราได้ฟรีที่ K-Expert@kasikornbank.com ครับ หรือเข้าไปอ่านสาระดีๆ ทุกเรื่องการเงินได้ที่ www.askKBank.com/K-Expert นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการรับข้อมูลทาง Twitter สามารถ follow @KBank_Expert หรือไปที่ //twitter.com/K-Expert เพื่อรับข้อมูลข่าวสารอัพเดทสถานการณ์ทางการเงินการลงทุน รวมถึงเกร็ดการเงินสำหรับชีวิตประจำวันได้ครับ

Credit: ภาพประกอบจาก chaoprayanews.com