สวัสดีครับ
แน่นอนว่าชีวิตคนเราอยู่กับความเสี่ยงที่ไม่อาจคาดเดาได้เช่น อุบัติเหตุ โรคภัยไข้เจ็บ ภัยธรรมชาติรวมถึงความไม่แน่นอนของธุรกิจและอาชีพการงาน เป็นต้นซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถเลี่ยงความได้แต่สิ่งที่เราทำได้และควรทำคือเตรียมตัวเพื่อให้มีความพร้อมในการรับมือกับความเสี่ยงและความเปลี่ยนแปลงนั่นเองครับและวันนี้ ผมก็มีแนวทางการเตรียมความพร้อมมาบอกเล่ากันในหัวข้อ ผ่อนหนักเป็นเบาด้วยเงินออมสำรองฉุกเฉิน ครับ
วิธีการในเบื่องต้นของการเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับความเสี่ยงก็คือการออมเงินครับหลายๆ คนมักจะมีเหตุผลว่ารายได้น้อย รายจ่ายเยอะ ไม่พร้อมออมเงิน แต่จริงๆแล้วไม่ว่าจะเงินเดือนมากหรือน้อยเราก็สามารถออมได้ครับหากมีการแบ่งสรรปันส่วนเพื่อการออมและการใช้จ่ายได้ครับ โดยในเชิงวิธีการแล้ว ผมขอแนะนำแนวทางปฏิบัติ 2ขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้ครับ
1. จดบันทึกรับ-จ่ายการจดบันทึกรับ-จ่ายจะช่วยแจกแจงให้เราเห็นถึงสัดส่วนของรายรับและรายจ่ายรวมถึงทำให้เราเห็นว่าเรามีรายจ่ายฟุ่มเฟือยมากน้อยแค่ไหน ทั้งค่าเสื้อผ้าค่าบัตรชมภาพยนต์ หรือค่าอาหารนอกบ้าน ฯลฯซึ่งเป็นรายจ่ายในส่วนที่เราสามารถลดและแปลงมาเป็นเงินออมได้โดยที่ไม่กระทบต่อรายจ่ายจำเป็นอื่นๆครับ
ส่วนใครที่ไม่ได้มีรายจ่ายฟุ่มเฟือยแต่รายรับกับรายจ่ายอยู่ในปริมาณเท่าๆ กันจนไม่เหลือเงินเก็บ ก็ขอแนะนำตรงๆ ง่ายๆว่าควรหารายได้เพิ่มครับ โดยเริ่มจากการมองว่าตัวเองมีความสามารถอะไรหรือพอทำอะไรได้ หลังจากนั้นก็มองหาช่องทางโดยเริ่มจากช่องทางใกล้ๆ ตัวก่อน เช่นสมมติว่าเย็บผ้าเป็น ก็อาจจะทำเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับขายโดยขายผ่านช่องทางใกล้ตัวที่เราสะดวกและคุ้นเคย เช่น เปิดร้านบนเฟซบุค เป็นต้น
2.ตั้งเป้าหมายในการออมรายเดือน หลังจากที่เราเห็นถึงศักยภาพและความเป็นไปได้ในการออมของตนเองแล้วก็ให้ลองตั้งเป้าหมายในการออมดู โดยในช่วงแรกของการออมอาจเริ่มจากการออมในสัดส่วนที่ไม่มากนักก่อน เพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จให้กับตนเองซึ่งหากเราทำสำเร็จในแต่ละเดือน เราก็จะรู้สึกภูมิใจในตนเองและเกิดแรงมุ่งมั่นในการออมมากขึ้น หลังจากนั้น เมื่อเรารู้สึกคุ้นชินกับการออมในสัดส่วนเนิ่มแรกแล้วก็ค่อยเพิ่มสัดส่วนการออมตามกำลังความสามารถครับ เช่น สมมติว่าเรามีเงินเดือน20,000 บาท เริ่มแรก เราอาจแบ่งออม 10% ที่ 2,000 บาทต่อเดือนในช่วงปีแรกหลังจากนั้น เราค่อยเพิ่มเป็น 15% ในปีถัดไปครับ
หากการออมเงินของเราอยู่ในรูปของเงินฝากขอแนะนำให้เปิดบัญชีแยกจากบัญชีใช้จ่ายครับ เพื่อเป็นการสร้างวินัยในการออมที่ดีและที่สำคัญที่อยากย้ำตรงนี้ก็คือ เมื่อได้เงินเดือนมา เราควรแบ่งออมก่อนแล้วจึงนำส่วนที่เหลือไปใช้จ่ายครับ นั่นคือเมื่อเงินเดือนออก ก็ให้โอนส่วนที่จะออมเข้าบัญชีเงินออมไว้เลยครับไม่ควรรอให้เงินเหลือตอนสิ้นเดือนแล้วจึงออม เพราะโดนสถิติคนที่รอให้เงินเหลือแล้วถึงออม มักจะไม่มีโอกาสได้ออมครับ
การออมเงินให้มีประสิทธิภาพนั้นเราควรออมให้มีเงินสำรองฉุกเฉินประมาณ 3-6 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นส่วนที่สร้างหลักประกันที่ช่วยแบ่งเบาภาระในยามที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นได้ครับทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้กระทบต่อสภาพคล่องและขวัญกำลังใจของตนเองและคนในครอบครัวครับนอกจากนี้ เราควรปรับยอดเงินออมให้สอดคล้องกับรายจ่ายครับ หากมีรายจ่ายเพิ่มเช่นผ่อนรถคันใหม่ เราก็ควรออมเงินเพิ่มเพื่อไว้รองรับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นมาครับ
เมื่อเราออมเงินได้ถึง 3-6เท่าของรายจ่ายแล้ว เงินนอกเหนือจากส่วนนี้ เราอาจนำไปลงทุนเพิ่มเติมเพื่อให้เงินออมงอกเงย มาถึงจุดนี้อาจมีผู้สงสัยว่าแล้วควรลงทุนแบบไหนในจุดนี้ผมขอแนะนำว่าให้นำไปลงทุนในการลงทุนที่มีสภาพคล่องค่อนข้างสูงครับ เช่นกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น หรือเงินฝากประจำระยะสั้น เป็นต้นเพื่อที่เราจะได้ไม่เสียสภาพคล่องในยามฉุกเฉินครับทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสัดส่วนเงินออมที่นำไปลงทุนและความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละบุคคลนะครับ
และนี่ก็เป็นแนวทางง่ายๆ 2ขั้นตอนที่จะนำไปสู่สุขภาพทางการเงินที่แข็งแรงและความมั่นคงทางการเงินของเราเองและครอบครัวครับขอทิ้งท้ายไว้ตรงนี้ครับว่าผมอยากให้ผู้อ่านทุกท่านเห็นความสำคัญของการออมเงินนะครับเพื่อที่เราจะได้รับมือกับความเสี่ยงได้อย่างมั่นใจครับ
หากใครมีข้อสงสัยเรื่องการออม การลงทุนหรือการวางแผนการเงินอื่นๆ สามารถส่งอีเมล์มาปรึกษากับทีมผู้เชี่ยวชาญของ K-Expert ได้ฟรีที่ K-Expert@kasikornbank.com ครับ หรือเข้าไปอ่านสาระดีๆ และใช้เครื่องมือคำนวณและโปรแกรมบันทึกเงินออม(K-Saving Memo) ได้ที่ www.askKBank.com/K-Expert นอกจากนี้ ทุกท่านยังสามารถรับข้อมูลข่าวสารการเงินการลงทุนและเกร็ดการเงินที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันได้ที่ K-Expert Twitter@KBank_Expert ครับ