เราเป็นคนชอบเล่นกีฬาเทนนิสอยู่เป็นประจำ และเนื่องจากเราเป็นคนที่มีวันนั้นของเดือนไม่เป็นเวลา จึงกลายเป็นว่าเราพาเจ้าสาวน้อยเล่นเทนนิสตั้งแต่อยู่ในท้อง และไม่รู้จะด้วยอุปาทานหรือเปล่า ว่าเราแพ้ท้องเลยรู้สึกหิวทั้งวัน มีทั้งมื้อหลักมื้อว่างมาก ว่างน้อย แต่อาหารประจำมื้ออาหารว่างสิบโมงของสาวน้อยคือมะขามอ่อนจิ้มพริกเกลือ (ได้รับความอนุเคราะห์จากนักเรียน) ของโปรดคือหน่อไม้ทั้งหลาย นอกนั้นรับทานทุกอย่างค่ะ (แม่คิดว่าหนูเป็นชาวดัชมาเกิด ดัชสารแผก แปลว่า........สารพัดไงลูก) ต่อมาเรามีน้ำหนักเพิ่มขี้นมาก(ก่อนคลอดขึ้นมาถึง 28 กิโลเป็น 79กิโล จนตอนนี้ยังไม่ลด )
หมอ บอกว่าครรภ์เป็นพิษ คำแรกทีเราถามคือ จะเป็นอันตรายกับเด็กหรือเปล่าคะ (หมอไม่บอกแฮะ) หมอบอกอย่ากินเยอะ อย่าเครียด แล้วให้ยามากิน จนถึงวันที่1 กุมภาพันธ์ 2528 เรานั่งซ้อนอีแก่(มอไซต์ประจำบ้าน)ไปหาหมอ พอตรวจเสร็จหมอมีสีหน้าตกใจแล้วบอกว่าไปคลอดวันนี้เลย ตอนนั้นท้อง 8 เดือนกว่า เราก็โวยเลย โอ้โหไม่ให้ตั้งตัวเลยหมอ หนูขอเป็นพรุ่งนี้ได้มั๊ย หมอก็แสนดี บอกได้เลยแต่เธอต้องไปเช้านะ เราก็ไปเช้าประมาณ 7 โมง หมอมาถึงก็บอกว่า วันนี้เราเคสแรกต้องผ่าออกนะ(แล้วแต่หมอเถอะเราคิด) เวลา 8.45 น. ของวันสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2528 สาวน้อยก็ได้ออกมาจากท้องยักษ์ ด้วยน้ำหนัก2800 กรัม ส่วนน้ำหนักที่เหลือเป็นของแม่ สาวน้อยออกมาน่ารักมาก (ชื่อที่พ่อกับแม่เลือกให้หนูก็เลยแปลว่าน่ารัก น่าเอ็นดูไงล่ะ)
หลังจากนั้นอีก2 ปีแม่ก็ตั้งท้องครั้งที่สองแต่เป็นท้องฟรีไม่มีลูก เค้าเรียกว่าครรภ์ไข่ปลาอุก ( hydatidiform mole) คือการแบ่งเซลผิดปกติ (ไปอ่านเพิ่มเติมนะคะ) ต้องขูดมดลูก ปรับฮอร์โมนไปอีก 1 ปีจึงจะมีลูกได้ และจากการขูดมดลูกหมอพบว่าแม่มี ก้อนเนื้อ เล็กๆอยู่ในมดลูก แต่หมอบอกดูแล้วมันเป็นแบบโตช้า รอให้มีลูกอีกคนค่อยตัดทิ้ง(เราก็แล้วแต่หมออีกแหละ) ด้วยความอยากมีลูกอีกซักคนเราก็เฝ้าเพียรพยายามจน ถึงปี 2532 จึงประสบผลสำเร็จ
เริ่มตั้งท้องเจ้าคนเล็ก โดยเริ่มจากอาการแพ้มากมาย กินอาหารได้ทีละน้อย ไม่กินเลยเราก็อยู่ได้แต่จำเป็นกินเพราะสงสารลูก น้ำหนักเราขึ้นเล็กน้อย ( แต่ของเก่าทำไว้เยอะ) เราไปสอนหนังสือตามปกติ จนเมื่อท้องได้ 2เดือนกว่าๆก็เริ่มมีอาการตกเลือดครั้งที่ 1 หมอให้ลาหยุดนอนโรงพยาบาลเพื่อฉีดยาวันละหลายๆเข็มเลยละ นอนอยู่ 7 วันหมอก็ให้ออกมานอนต่อที่บ้าน แต่เราต้องไปทำงาน(ระยะทางห่างจากบ้านประมาณ 30 กม.) แล้วก็ลาหยุดนอนอยู่บ้านบ้าง ไปนอนโรงพยาบาลบ้าง เพราะเราตกเลือดครั้งที่2,3,4 และครั้งสุดท้ายตกเลือดครั้งที่ 5 Merry Chrismas ปี 2532 ตอนนั้นท้องได้เกือบๆ 8 เดือน ขณะที่เรานอนพักผ่อนอยู่ที่บ้าน (ปูพรม) ก็รู้สึกมีอาการเหมือนจะตกเลือด เราก็ค่อยๆ ขยับออกมานอกพรม แล้วยืนขึ้นขณะที่เรายืนมีเลือดตกออกมาอย่างแรง จึงรีบไปโรงพยาบาลเวลาประมาณบ่ายโมง หมอให้นอนรอคลอดเลย(ไม่ไหวแล้ว) ตลอดคืนที่เรารอคลอดพยาบาลจะเข้ามาฉีดยาบ่อยมากประมาณ 2-3 ชั่วโมงครั้ง(พอได้ยินเสียงเดินเราคิดเลย ตรูอีกแล้วเหรอ)
ประมาณเที่ยงกว่าๆของอีกวันเราก็ถูกใสเข้าห้องคลอดโดยที่หมอบอกอย่างปราณีว่า รอนานหน่อยนะหมอทำคนเดียวคนเดียวไม่ไหวว่ะ ต้องรอหมออีกคนมาช่วยแกติดเคสอยู่เดี๋ยวแกมา โอแม่จ้าว นี่มันเสียงสวรรค์ขุมไหนคะ หมอเริ่มผ่าเวลาบ่าย 1 แล้วเจ้าคนเล็กก็ออกมาเวลา 15.18 ของวันอังคารที่ 26 ธันวาคม 2532 แต่หนูไม่ยอมหายใจ พ่อหนูวิ่งเข้าไปบอกพยาบาลว่านี่ลูกผมนี่ พยาบาลบอกว่าเค้าไม่หายใจแล้วรีบอุ้มไปที่ตึกเด็ก คงเป็นบุญของเราที่เค้าช่วยเจ้าคนเล็กจนรอดชีวิตแต่ก็มีทั้งสายน้ำเกลือสายออกซิเยน (อันนี้พ่อเค้าเล่า ตอนนั้นเรายังไม่ฟื้น) เรากับพ่อเค้าจึงเลือก ชื่อที่แปลว่า ผู้ที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ให้กับเจ้าคนเล็ก (ใช้คำว่าเลือกนะเพราะเลือกเอาจากหนังสือไม่ได้ตั้งเอง555) และถือโอกาสขอบพระคุณคุณหมอมา ณ ที่นี้ค่ะ หมายเหตุ**ต่อมาเราถามหมอว่า เป็นเพราะอะไร หมออธิบายแล้วเราสรุปได้ดังนี้ : เค้าพยายามที่จะปกป้องตัวเองไว้จากการแท้ง เมื่อมีการลอกตัวของรก ปกติจะแท้ง แต่ยายคนนี้เค้าไม่ยอมออกเค้าสร้างรกใหม่มาเรื่อย ตกเลือดทีก็สร้างอันใหม่ รอบๆตัวเค้าจึงเต็มไปด้วยรก ต้องใช้หมอ 2 คนช่วยกันเลาะ ***
|
คนแรกแปดเดือนผ่าคลอด คนที่สองตกเลือดหลายหน แต่สองสาวก็ฌคิบโตมา
แข็งแรงดีใช่ไหมค่ะ หยีจะเข้ามาอ่านต่ออีกนะค่ะ