ตุลาคม 2558

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
9
10
11
13
14
16
17
18
19
20
22
23
24
25
27
28
29
31
 
All Blog
อีกนานเท่าไร..มันจึงจะจบ..
  เคยมองดูเด็กตัวเล็กๆกลุ่มหนึ่ง ที่ต้องแบกกระเป๋านักเรียนใบโตเดินไปโรงเรียน

ในใจก็คิดว่า เด็กๆสมัยนี้ต้องเรียนหนังสือหนังหากันมากมายอย่างนี้เชียวหรือ..?

คำนวนดูจากสายตา ก็พบว่าขนาดของกระเป๋าใบเขื่องกับขนาดตัวของคนที่แบกมันขึ้นบนหลัง

ก็ไม่น่าจะแตกต่างกันเท่าไหร่.. 



ลองคิดเล่นๆว่าถ้าเด็กๆของเราเป็นอย่างนี้กันทุกคน ขยันหอบหิ้วตำราเรียน

มันหมายความว่า ในอนาคตลูกหลานของเราก็คงจะเก่งและเชี่ยวชาญ ในโลกของการศึกษา

ใช่ใหม..?



การที่เราเน้นหนักในเรื่อง วิชาการ จะทำให้ประเทศของเราเจริญเทียบเท่า อารยประเทศ สินะ..

เพราะประเทศที่เจริญแล้ว จะมีสถิติของประชากรที่อ่านออกเขียนได้สูงมาก

หากวัดกันเป็นร้อยละ ก็น่าจะเกินแปดสิบเปอร์เซนต์ขึ้นไป..

หากทำให้ประชากรของชาติใดสามารถอ่านออกเขียนได้ทั้งหมด ประเทศนั้นก้มีโอกาสเป็น

มหาอำนาจของโลก ได้อย่างไม่ยากเย็น..



ชาติที่กำลังพัฒนาต่างๆทั่วโลกต่างก็ต้องการ ถีบตัวเอง ให้หนีห่างจากประเทศด้อยพัฒนา

กำลังพยายามต่อสู้กับปัญหาความยากจน การขาดแคลนสิ่งอุปโภคบริโภค อาหาร 

ปัญหาภัยธรรมชาติ และ การคตโกงคอรัปชั่น ฉ้อราษฏ์บังหลวง

พยายามสร้างทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด คือ คนของตนให้เป็น คนเก่งและดี



ประเทศที่กล้าประกาศว่าตนเองเป็นชาติเจริญแล้ว ต่างก็มี ดัชนีชี้วัด ได้หลายมิติ

เช่นรายได้ต่อหัวของประขากร ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ การขยายตัวของเศรษฐกิจ

หรือเป็นเจ้าของเทคโนโลยีสุดล้ำ มีเทคนิคการแพทย์ที่ทันสมัยเพียงพอต่อความต้องการ

และอื่นๆอีกมากมาย..



แต่ในขณะที่เรากำลังจะทำการแข่งขันกับตัวเอง ในเชิง รูปธรรม ที่จับต้องวัดค่าได้

แต่ในด้าน นามธรรม เช่นเรื่องความสุขของประชากร หลายๆชาติต่างมองข้ามไป

หรือให้ความสำคัญน้อยกว่าด้านอื่นๆ

อาจเป็นเพราะความสุขของคนนั้น ละเอียดอ่อน หยาบปราณีตแตกต่างกัน

และสิ่งเหล่านั้นทุกคนควร สร้างมันขึ้นมาเอง ไม่ใช่ว่าจะรอให้ใครไปหยิบยื่นให้..


แต่ความจริงแล้ว ที่เรากำลังพัฒนาทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมานั้น ก็เพื่อ

ตอบสนอง ความสุข ของเราอย่างโดยตรงและโดยอ้อม จริงหรือไม่..?



ที่เราต้องแข่งขันกันเรียน แข่งกันทำงาน ก็เพื่อ ความสุขของตนเองในวันข้างหน้า

ที่เราต้องแย่งกันกินใช้ แย่งชิงผลประโยชน์กันทั้งต่อหน้าและลับหลัง ก็เพื่อสนอง

ความต้องการให้ตนเอง มีความสุขใช่หรือไม่

หรืออย่างง่ายๆที่เราก่อสงคราม เข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กัน ก็เพื่อความสุขของตน ของชนชาติตน

โดยตรงอาจจะบอกว่าเพื่อรักษาเอกราชของชาติ รักษาผืนแผ่นดินของตน

แต่โดยอ้อมก็เพื่อให้ประชาชนในชาติตนมีความสุขสงบ จริงใหม..?



ความจริงก็คือ เรามีชีวิตอยู่อย่าง เป็นทาสของความสุขตั้งแต่เกิดจนตาย..

แต่เราไม่รู้ตัวเอง..



ในทางพระพุทธศาสนา ความสุขและความทุกข์ นั้นเป็นสิ่งเดียวกัน

ให้ผลเป็นความกระเพื่อมหวั่นไหวของจิตใจได้รุนแรงพอๆกัน..

แต่ความสุขนั้น มาในรูปแบบของ ขนมอาบยาพิษ 

รสชาติหอมหวาน กลมกล่อม แนบเนียน บางทีปราณีตน่าหลงใหลเคลิบเคลิ้ม

แต่เวลามันเล่นงาน เหยื่อ มันเอาถึงตาย ไม่ปล่อยให้รอดไปง่ายๆ..

ส่วนความทุกข์ แม้จะทำให้เจ็บปวด น่ารำคาญ แต่มันจะเล่นงานเราตรงๆไม่อ้อมค้อม

เหมือนเอา ค้อนตีหัว ตีเมื่อใดก็เจ็บเมื่อนั้น ไม่แสแสร้ง..



โลกของเรากำลังพัฒนาก้าวหน้าไปในโลกของวัตถุอย่างไม่หยุดยั้ง..

แม้ในโลกของ จิตใจ จะยังตามไม่ทันยังห่างชั้นเป็น มวยคนละรุ่น

หากเราไม่สอนตัวเอง ให้รู้จัก โทษของสุขเวทนา แต่กลับยอม สนองรับใช้อย่างยินดี



เราสั่งสอนลูกหลานของเราให้เรียนให้เก่ง แต่ไม่เคยสอนให้ แบ่งปันให้เก่ง

เราสั่งสอนลูกหลานของเราให้เป็นผู้ชนะ แต่ไม่เคยสอนให้รู้จักแพ้และการให้อภัย

เราสั่งสอนให้ลูกหลานของเราให้รักความสุข และเกลียดความทุกข์ 

แต่ไม่เคยสอนให้เขา รู้จักและเข้าใจความทุกข์..

เด็กน้อยที่ยอมแบกกระเป๋าตำราที่หนักอึ้ง ก็คงไม่มีทางเข้าใจ หรอกว่า..

เขากำลังเรียนเพื่อจะเป็น ทาสของความสุข กำลังโดนโลกมายาหลอกลวง

เขาจะต้องเรียนรู้อย่างนี้ไป อีกนานเท่าไหร่ มันจึงจะจบ..

สงสัยต้องรอจนกว่าจะมีคนมาบอกให้รู้ว่า 

" หนูจ๋า หนูจะต้องเรียนอย่างนี้ไม่มีวันจบ จนกว่าจะพบและกลับมาเรียนรู้ใจของตัวเอง "





ขอขอบคุณเจ้าของภาพสวยๆทุกภาพครับ






















Create Date : 26 ตุลาคม 2558
Last Update : 26 ตุลาคม 2558 23:51:08 น.
Counter : 1137 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นายสมมุติ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]