กันยายน 2557

 
1
3
5
6
8
9
10
11
12
13
14
15
17
19
21
22
23
24
25
27
29
30
 
 
All Blog
ข่าวร้ายที่รอคอย ตอน สอบตกวิชาชีวิต 4
อยากทำบุญก่อนตาย..
" ตกลง หมออนุญาติให้ญาติพาคนไข้กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ครับ แต่ต้องระวังในการออกไปสัมผัส กับสถานที่ที่มีคนแออัด เช่นโรงหนัง ตลาดนัด หรือ ห้างสรรพสินค้า นะครับเพราะคนไข้อาจได้รับเชื้อโรคได้ง่าย เพราะภูมิคุ้มกันโรคค่อนข้างต่ำ เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้ง่าย..แล้วหมอจะทำตารางนัดมาตรวจสอบผลเลือดและอาการของโรคอีกทีนะครับ " นายแพทย์เจ้าของไข้ของ วรพงษ์ กล่าวกับ แพรพรรณ เธอดูดีใจเล็กๆที่จะได้พาสามีกลับบ้านเสียที่ หลังจากที่ต้องนอน และ เทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านกับโรงพยาบาลมาหลายวัน..

วรพงษ์ ในชุดผู้ป่วยนอนนิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ แต่ในใจยังนึกถึงคำพูดของคุณแม่ของเด็กน้อยที่วิ่งไล่ตามจับผีเสื้อเมื่อสองวันก่อน.. เขาคิดว่า หน้าที่อะไรบ้างที่เขายังทำไม่สมบูรณ์นะ และ ที่เขาคิดว่าทำมันสำเร็จแล้วมีอะไรบ้าง พ่อและแม่ของเขาที่อยู่ต่างจังหวัดนั้นเขาก็ส่งเสียเป็นเงินที่ได้จากการทำงานไม่เคยขาด แม้มันจะเป็นเงินจำนวนไม่มากเท่าไหร่ เพราะตัวเขาเองก็ยังมีภาระ ที่ต้องใช้จ่ายมากมายเช่น มนุษย์เงินเดือนอีกหลายล้านคนบนโลกนี้ แต่เขาก้พอวางใจได้บ้างเมื่อที่บ้านของพ่อและแม่ยังมีพี่สาวแท้ๆของเขายังคงเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการดูแลปรนนิบัติท่านอยู่ แต่เขาก็ยังรู้สึกว่านี่กระมัง ที่ว่าเขายังทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์ก่อนตาย.. หรือเรื่องของลูกๆที่พวกเขายังเด็กเหลือเกิน อนาคตที่วาดฝันไว้ที่จะให้ลูกๆได้เติบโตบนเส้นทางที่เขากำลังปูไว้เริ่มไม่แน่นอนเสียแล้ว..

" แพร..พี่อยากไปทำบุญที่วัด แพร พาพี่ไปได้ใหม..?" วรพงษ์ กล่าวกับภรรยา " ได้สิคะพี่พงษ์ จะไปวันนี้เลยหรือคะ..? " แพรพรรณ ถามกลับ " เอ่อ..เอาไว้ให้แพรว่างก่อนก้ได้จ๊ะ พี่ไม่รีบ เอาไว้ให้แพรจัดการเด็กๆและงานบ้านให้เรียบร้อยก่อนก็ได้จ๊ะ.." วรพงษ์ รู้ดีว่าหลังจากที่เขาเริ่มป่วย แพรพรรณ ต้องรับผิดชอบทั้งงานในบ้านนอกบ้านเหน็ดเหนือยยิ่งนัก ไหนจะต้องปลีกเวลามาดูแลตัวเขาเองอีก น่าเจ็บใจนักที่เขามาเป็นอย่างนี้เสียได้ ทำไมเขาต้องมาเจอเรื่องอย่างนี้นะ ความคิดเก่าๆเริ่มกลับมาทำร้ายเขาอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่นับไม่ถ้วน แต่ทุกครั้งที่คิดขึ้นมา วรพงษ์ ก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน..

บรรยากาศในวัด ที่อยู่ห่างจากบ้านมาประมาณ สองถึงสามกิโลเมตร แม้จะไม่ถึงกับสงบเงียบเหมือนวัดวาอารามที่อยู่แถวต่างจังหวัด แต่ก็ทำให้สัมผัสได้ถึงความร่มรื่น ของต้นไม้หลากชนิดที่ปลูกอยู่เรียงรายในบริเวณวัดได้อย่างดี วรพงษ์ กับภรรยาเดินทางมาถึงวัดนี้ตอนสายๆ แดดไม่ร้อนเท่าไหร่ ทำให้พวกเขาไม่ต้องเร่งรีบในการเดินทางมากนัก " มาหาใครหรือ โยม.. " เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลังขณะที่พวกเขากำลังเดินทางเข้าไปในศาลาของวัดเพื่อจะหา พระสักรูปหนึ่ง " นมัสการค่ะหลวงพ่อ.. ดิฉันกับสามีจะมาถวายสังฆทานค่ะ.. " แพรพรรณ ตอบกลับ พระภิกษุ ที่ดูจากอาการภายนอกน่าจะอายุประมาณหกสิบกว่าปี " เจริญพร จะถวายสังฆทานหรือ ตอนนี้เจ้าอาวาสกับพระในวัดติดกิจนิมนต์ไปฉันเพลที่ต่างอำเภอกันหมด เหลือแต่อาตมาอยู่รูปเดียวนี่แหละ โยมจะทำหรือไม่หล่ะ..?"  พระชราถามกลับ วรพงษ์ กับ แพรพรรณ หันมามองหน้ากันโดยมิได้นัดหมายและ วรพงษ์ ก็พยักหน้าตอบรับให้ภรรยาทราบ เพราะคิดว่าจะได้มาไม่เสียเทียว ไหนๆก้ตั้งใจมาทำบุญแล้วจะทำกับพระรูปไหนก็คงไม่แตกต่างกันเท่าไหร่หรอก " ทำเลยค่ะ หลวงพ่อ " แพรพรรณ ตอบกลับ " ถ้าอย่างนั้นเชิญ โยมทั้งสองตามอาตมาไปที่กุฏิของอาตมาเลยนะ " พระชราพูดจบก็หันหลังเดินนำหน้าคนทั้งสองไปอย่างอาการสงบ..

เมื่อทำการถวายสังฆทานเสร็จ วรพงษ์ รู้สึกว่ามีความโปร่งเบาเกิดขึ้นในจิตใจของตนขึ้นมาเล็กๆ หลังจากที่ไม่ได้มาทำกิจกรรมแบบนี้เนิ่นนาน แม้แต่จะใส่บาตรพระที่เดินบิณฑบาตรตอนเช้าๆยังไม่เคยมีเวลา เพราะต้องเร่งรีบในหน้าที่การงานเหลือเกิน แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าตนเองมีเวลาว่างมากมายหากไม่ใช้โอกาสแบบนี้จะต้องรอไปอีกนานเท่าไหร่..
" หลวงพ่อ บวชมานานแล้วหรือครับ ? " วรพงษ์เปิดฉากตั้งคำถามกับพระชรา " สามสิบกว่าปีแล้วโยม " พระชราตอบกลับ " ผมอยากจะถามหลวงพ่อในบางเรื่องที่ยังสงสัยอยู่ จะได้หรือไม่ครับ..?"
พระชรายิ้มเล็กๆ แล้วพูดว่า " ได้สิโยม โยมมีปัญหาอะไรรึ..?" " หลวงพ่อครับ ตอนนี้ผมป่วยหนักเป็นโรคร้ายแรง ยังไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ แต่ผมยังรู้สึกว่าผมยังมีงานที่ยังทำไม่เสร็จ ยังมีภาระที่ต้องสานต่อ ผมควรจะจัดการเรื่องเหล่านี้ การงานอย่างนี้อย่างไรดีครับ..?" วรพงษ์ เกริ่นนำพร้อมถามคำถามแบบตรงไปตรงมาทันที..พระชราฟังด้วยอาการสงบแล้วเริ่มตอบคำถามด้วยเสียงราบเรียบเป็นปรกติ 

เปิดใจยอมรับความจริง
" คนทั่วไปมักมีชีวิตอยู่ด้วย ความประมาทเป็นที่ตั้ง เพราะสำคัญผิดว่าชีวิตของตนนั้นยืนยาว เที่ยงแท้ จึงมองข้ามความไม่แน่นอนของชีวิตไปเสียสิ้น แล้วพอถึงเวลาจะต้องตาย หรือใกล้ตายก็มักจะดิ้นรนค้นหา แสวงหาเหตุแห่งบุญ กอดบุญ โลภบุญกันหนักหนา เพราะว่ากลัวว่าตายแล้วจะลำบาก จะไม่ได้เสวยความสุขเหมือนในชาตินี้บ้าง หรือไม่ก็กลัวจะต้องมาเสวยความทุกข์เหมือนชาตินี้บ้าง นั้นก็เป็นเพราะความหลงผิดไม่รู้ว่า การที่เราต้องเกิดมานั้นเพราะมีเหตุ ต้องมารับผลแห่งเหตุนั้นๆ เมื่อหมดเหตุที่จะต้องเกิด ก็ไม่ต้องมารับผลอะไรอีกเป็นอย่างนี้ๆ แล้วไอ้ที่โยมถามมา อาตมาของตอบในเชิงของพระศาสนาว่า ภาระหน้าที่ของเราที่ต้องเกิดมาก็คือ เพื่อมาทำเหตุที่จะไม่ต้องกลับมาเกิดซ้ำอีก นั้นเอง ส่วนภาระหน้าที่อื่นๆเช่นการเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวให้มีชีวิตเป็นปรกติโดยความสุจริตนั้นเป็นเรื่องที่ สามัญชนคนทั่วไปต้องทำอยู่แล้ว ถือว่าเป็นหน้าที่ทางโลกหรือทางกาย ส่วนการทำเหตุให้ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกนั้นถือว่าเป็นหน้าที่ทางใจ หรือทางธรรมนั่นเอง..ไม่รู้ว่าโยมจะเข้าใจตรงนี้หรือไม่..?" พระชราถามกลับไปที่ วรพงษ์ ที่นั่งพนมมือรับฟังอยู่อย่างตั้งใจ " ไอ้หน้าที่ที่ต้องเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวโดยสุจริตนั้น ผมพอจะเข้าใจได้ครับ เพราะมันเป็นหน้าที่ของคนดีที่พึงกระทำอยุ่แล้ว แต่ที่หลวงพ่อบอกว่า หน้าที่ทางใจที่ต้องทำเพื่อไม่ต้องมาเกิดอีกนั้นผมยังไม่เข้าใจครับ รบกวนหลวงพ่อกรุณาขยายความให้ผมฟังอีกสักหน่อยเถิดครับ.." วรพงษ์ ถามต่อเพราะความอยากรู้..

เกิดบ่อยๆ แก่บ่อยๆ เจ็บบ่อยๆ ตายบ่อยๆ ดีหรือไม่ดี..?
" หน้าที่ทางธรรม หรือทางใจนั้น มีจุดมุ่งหมายสูงสุดก็คือ พระนิพพาน นั่นเองคิดว่าโยมคงเคยได้ยินมาบ้างนะ..? " พระชราถามกลับ " เคยได้ยินครับหลวงพ่อ เคยได้ยินว่า พระนิพพาน ก็คือความดับทุกข์อย่างสิ้นเชิง เหมือนกับที่เคยท่องบ่นในตำราเรียนในสมัยเด็กๆแต่พอโตขึ้นก็ไม่ได้สนใจอีกเลย เหมือนว่าเป็นเรื่องของนามธรรมเสียมากกว่า ไม่ค่อยมีใครพูดถึงกันจริงจังเสียแล้วครับ.." วรพงษ์ ตอบกลับ " เป็นอย่างนั้นแหละโยม สมัยนี้พระนิพพาน กลายเป็นของที่อยู่เกินเอื้อมกลายเป็นเรื่องที่ไม่ได้เอามาใส่ใจกันแล้ว เป็นเรื่องไกลตัวเสียหมด ชาวพุทธส่วนใหญ่คิดกันอย่างนี้..แต่ถ้าโยมยังคิดว่า พระนิพพาน ยังมีอยู่จริงเป็นไปตามที่เราชาวพุทธควรน้อมนำมาใส่ใจให้มาก ก็ถือว่าเราได้ดำรงเส้นทางแห่งพระพุทธศาสนาไว้ได้ไม่มากก็น้อย เพราะหากเรายังไม่ทำหน้าที่ต่อพระศาสนาให้สมบูรณ์แล้ว ยังไม่สามารถเข้าถึงพระนิพพานได้ เราก็คงต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกไม่จบไม่สิ้นแน่นอน.." พระชรากล่าว " แล้วถ้าเราคิดว่าเราเกิดมาทำความดี มาสร้างความดี มายังประโยชน์แก่ผู้อื่น เราควรจะเกิดมาใหมครับ..?" วรพงษ์ ถามต่อ พระชรายิ้มน้อยๆแล้วถามกลับว่า " โยมคิดว่าเรามาเกิดบ่อยๆ ดีใหมเล่า ? แม้เราจะเกิดมาทำประโยชน์ให้แก่โลกอย่างมหาศาล แต่สุดท้ายก็ต้องแก่ ต้องเจ็บป่วย สุดท้ายก็ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก และก็ต้องตายซ้ำแล้วซ้ำอีกนั้นดีหรือไม่เล่า..?" 
วรพงษ์ ฟังแล้วนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ..

การเกิดครั้งสุดท้าย..
" หากโลกนี้ ไม่มีโยมหรืออาตมาเกิดมาสักคน จะมีสัตว์น้อยใหญ่หรือ มนุษย์สักกี่คนที่จะไม่โดนเราเบียดเบียน เข่นฆ่า ทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ..ดังนั้นการที่ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกจึงเป็นผลบุญอันยิ่งใหญ่ ประเสริฐสูงสุด ไม่มีผลบุญใดมาเทียบเทียมได้ โยมว่าจริงหรือไม่..?  ดังนั้นเมื่อเราเกิดมามีชีวิต ได้โอกาสเกิดมาเป็นคน ไม่ต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือที่ต่ำกว่ามนุษย์ก็นับว่าโขคดีอย่างยิ่งที่จะมีโอกาสเข้าถึง พระนิพพานให้ได้ในชีวิตนี้ เพราะโอกาสครั้งหน้าไม่แน่ว่าจะมาถึงอีกเมื่อไหร่ หรืออาจจะไม่มาถึงอีกเลยก็ได้.. ฉนั้นเราควรมาทำชีวิตในชาตินี้เวลานี้ให้เป็นชาติสุดท้าย เป็นชีวิตสุดท้ายจะไม่ดีกว่าหรือ..?" วรพงษ์ นั่งเงียบเหมือนได้รับความรู้ใหม่ที่แม้แต่การศึกษาในระดับปริญาเอกอย่างเขาไม่เคยมีโอกาสได้ยินมาก่อน มันทำให้เขาคิดว่าเขาเคยเก่งกาจโชกโชนในสนามชีวิตมามกมาย ทั้งการทำงาน การเรียน มันแทบจะไร้ความหมายไปเลยเมื่อเขามาได้รับฟัง วิชาชีวิต ที่เขาเกือบจะไม่มีโอกาสได้เรียนแล้วหากเขาจะต้องตายไปเสียก่อนหน้านี้..

เวลาที่เหลือ..ควรทำอะไร..?
" ผมเริ่มจะเข้าใจ อะไรบางอย่างบ้างแล้วครับหลวงพ่อ ผมเคยคิดว่า หากเราสามารถถีบตัวเองให้สูงขึ้น ให้พ้นความยากจนเสียได้ มีการศึกษาสูงๆ มีหน้าที่การงานที่ดี แล้วชีวิตเราคงจะมีความสุขได้ แต่ความจริงมันไม่ไช่อย่างที่ผมคิดเลย เพราะสุดท้ายไม่ว่าผมจะมีทรัพยืสินเงินทองมากสักเท่าไหร่ ก็ยังไม่พ้น ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไปได้ หน้าที่เพียงแค่นี้ไม่เพียงพอที่จะทำให้ผมพ้นความทุกข์เหล่านี้ไปได้เลย..  ผมยังต้องกลับมาเกิดอีก แล้วเริ่มทำอย่างนี้อีกเท่าไหร่กี่ร้อยกี่พันครั้งก็ไม่มีวันจบสิ้นแน่..แต่น่าเสียดายผมมารู้สิ่งที่สำคัญช้าไป เวลาของผมคงเหลือไม่พอให้ทำเหตุที่ไม่ต้องกลับมาเกิดทันแน่.." วรพงษ์ พูดเชิงเสียดายวันเวลาที่ผ่านมา.." ไม่จริงหรอกโยม เวลาจะเหลือมากหรือน้อยไม่สำคัญหรอกนะ มันอยู่ที่ว่าใครจะให้ความสำคัญมันมากกว่า.. ต่อให้โยมมีสุขภาพแข็งแรง สามารถมีชีวิตยืนยาวได้ถึงร้อยปี แต่ถ้าโยมไม่เคยน้อมนำเรื่องอย่างนี้มาใส่ใจให้แยบคาย ก็สู้คนที่เขามีเวลาชีวิตเหลือแค่ไม่กี่ลมหายใจ แต่เขาให้ความสำคัญ เขาตื่นจากหลับไหลแล้วได้หรอกโยม จริงใหม..?" พระชราพูดเชิงเปรียบเทียบ วรพงษ์ ก้มลงกราบที่พระชรารูปนั้น ในใจคิดว่าตนเองช่างโชคดี ในความโชคร้าย หากเขาไม่เจ็บป่วยหนักหนา หากยังมีร่างกายที่แข็งแรงอยู่เขาก็คงไม่ได้มาอยู่ที่นี่วันนี้ ได้มารับฟังเรื่องที่น่ายินดีอย่างนี้แน่ ในหัวใจของ วรพงษ์ ยามนี้ช่างแช่มชื่นนัก หากมีเวลาในวันข้างหน้า และเขายังไม่ตายเสียก่อน เขาจะต้องกลับมาสนทนาธรรมกับพระรูปนี้อีกแน่นอน..

ธรรมะก่อนจาก
ก่อนจากกับพระภิกษุ วรพงษ์ ถามคำถามสำคัญกับพระชราว่า " หากผมจะเริ่มเดินทางไปสุ่ พระนิพพาน ผมควรเริ่มทำอย่างไรครับ หลวงพ่อ " พระชรายิ้มอย่างเมตตา แล้วกล่าวว่า " โยมถือ ศีลห้า ครบหรือเปล่าหล่ะ..?" " ศีลห้า หรือครับ ส่วนใหญ่ผมก็ไม่ได้เคร่งครัดอะไรมากมาย แค่ทำตนไม่เบียดเบียนคนอื่นให้ได้รับความเดือดร้อนก็คิดว่าน่าจะพอแล้ว.." วรพงษ์ ตอบ " ไม่พอหรอกโยม.. การเป็นคนดีไม่เบียดเบียนคนอื่นก็ยังไม่รับประกันว่ามีคุณสมบัติที่เพียงพอต่อการปฏิบัติตนเข้าสู่ พระนิพพาน ได้..เพราะคนที่จะเข้าไปสู่ พระนิพพาน ได้นั้นอย่างน้อยต้องมีคุณสมบัติเป็น มนุษย์ เสียก่อน ไม่ได้เป็นเพียงแค่คนดีธรรมดานะโยม.. " พระชรากล่าว " เป็น มนุษย์ หรือครับแล้ว คน กับมนุษย์ ต่างกันตรงไหนครับ..?" วรพงษ์ถามกลับ " ก็ต่างกันตรงที่ มนุษย์ เป็นผุ้มีใจสูง กว่าคนทั่วๆไป เพราะมี ศีล ครองตนนั่นเอง.." วรพงษ์ ฟังแล้วก้คลายความขัดข้องใจและรับปากกับพระชราว่า เขาจะพยายามรักษา ศีลห้า ให้หนักแน่นที่สุดเพื่อที่จะได้เริ่มเดินทางสู่ความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิงเสียที..

โลกใหม่ใบเดิม..
หลังจาก วรพงษ์ ได้สนทนาธรรมกับพระภิกษุรูปนั้นที่วัด เขารู้สึกว่าโลกที่เขาเคยเข้าใจมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ความรู้สึกว่าแม้ว่าเขาจะยังเจ็บป่วยอยู่และไม่รู้ว่า เขาจะยังมีเวลาเหลือน้อยแค่ไหน แต่เขากลับรู้สึกสงบใจได้อย่างประหลาด ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันเขายังทุรนทุรายจิตใจ กับความตายที่รอเขาอยุ่ตรงหน้าอย่างสิ้นความหวังอยู่เลย แต่ตอนนี้เขากับรู้สึกว่าเขายังมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่ารออยู่อย่างท้าทายแม้ความตายจะมาเคาะประตูหน้าบ้านอยู่แต่เขากลับรู้สึกไม่ เกรงกลัวมันสักเท่าไหร่ เป็นความรู้สึกแบบใหม่ที่มีต่อโลกใบเดิม ใช่ มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว..





Create Date : 26 กันยายน 2557
Last Update : 27 กันยายน 2557 0:05:09 น.
Counter : 1248 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นายสมมุติ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]