คนทั้งคน..
ในทางพระพุทธศาสนากล่าวว่า
" การเพ่งโทษคนอื่นนั้นไร้ประโยชน์ การเพ่งโทษตนเองนั้นประเสริฐ "
ให้เกิดอาการ สำรวจสำรวมที่กายใจของเรานี่แหละ
โลกภายนอก สิ่งเร้าภายนอก จะดีเลวอย่างไร มันก็เป็นของมันอย่างนั้น
แต่ที่มันแปรปรวนรวนเรไป ก็คือ กายและใจของเรานี่เอง
หากจะมีอะไรในชีวิตเราที่มันผิดพลาดไป มันก็คือ ตัวเราใจเรานี่แหละ
ไม่ต้องไปโทษฟ้า ดินลมฝน ดวงดาว อะไรอย่างไรเลย..
การมองกลับมาที่ตัวเอง หันกลับมาพิจารณาตนเองนั้น
เป็นการลดทอน อัตตา ได้อย่างดีอย่างหนึ่ง
เราเคยคิดว่าเราเป็นคนดีแล้ว เราทำดีแล้ว ไม่มีข้อเสียให้ใครจะมาตำหนิติเตียนได้แล้ว
กลับกลายเป็น ดาบ ที่จะย้อนกลับมาทำร้ายเราเองในภายหลัง เพราะเรา ยึดดีติดดี
ยึดมั่นในความดี จนมันให้เรากลายเป็น ถือดี ไปโดยไม่รู้ตัว..
คนธรรมดา ไม่มีทางเข้าใจว่า ทำไมทำความดีแล้ว ถึงไม่ให้ยึดถือในความดี
มันขัดแย้งในมโนสำนึกที่ถูกปลูกฝังกันมาอย่างรุนแรง..
ไม่แปลกหรอก เพราะเราถูกสอนให้ทำดี ละชั่ว ในเบื้องต้นมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
แต่ในเบื้องปลาย แม้แต่ความดีก็กลายเป็นบ่วงร้อยรัดเราเอาไว้กับ สังสารวัฏ
และสุดท้ายก็ต้องวางมันลงทั้งหมดทั้ง ดีและชั่ว..
เกิดมาเป็นคนนั้นแสนยาก
แต่การได้เกิดมาแล้ว มีโอกาสเรียนรู้จิตใจตนเอง นั้นยากยิ่งกว่า
เพราะเรามัวแต่เสียเวลาไปเรียนรู้อะไรๆที่ไม่ใช่ของเราเอง
คนที่ได้มีโอกาสกลับมา ทบทวนอบรมจิตใจตนเอง จึงหายาก ทำได้ยาก
บางที่ชั่วชีวิตอาจจะไม่มีโอกาสได้ทำแบบนั้นเลยก็เป็นได้..
โลกแห่งมายา ย่อมหลอกล่อดึงดูดให้เราหลงใหลติดยึดแนบแน่น
อยู่กับสิ่งสวยงาม ปราณีต ละเอียดละเมียดละมัย
ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่จะทำให้ สัตว์ หลงเดินวนเวียนไม่รู้จบ ไม่รู้จาก
อย่าทำให้การได้เกิดมาเป็น คนทั้งคน ต้องสูญเสียเวลาไปกับ โลกธรรมบำรุงบำเรอ
จนเผลอใจยอมผูกมัด ภพชาติ เอาไว้กับสุข สรรเสิรญ ลาภยศ
เพราะแม้แต่สิ่งที่สดใสสวยสด ก็ย่อมมีแปรปรวนพังพินาศ ตามกฏของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
วางตัววางใจ ให้ถูกทางถูกธรรม ด้วยการหมั่นเห็นโทษเห็นภัย
ในตนเองบ้าง ก็คงจะดีไม่น้อยเลย..
ขอขอบคุณเจ้าของภาพสวยๆทุกภาพครับ