~ อิสระอยู่ที่ใจ...ฝันให้ไกล...ไปให้ถึง ~
Group Blog
เล็กๆ น้อยๆ
DIY : Do it yourself
ท๊อก แท๊ก ต่างแดน
ท๊อก แท๊ก ทัวร์
ท๊อก แท๊ก ชิม
ท๊อก แท๊ก ชิม Coffee # Tea # Dessert & etc.
Somethig special
สัตว์เลี้ยงแสนรัก
เครื่องสำอาง ประทินผิว อาหารเสริม
My Camera.......
My Souvenirs # ของที่ระลึก...ระทึกใจ
Let's Take a Photo
ของเล่น ของสะสม
Home Sweet Home
My Car
My Motorcycle
การตรวจสุขภาพประจำปี
สุขภาพและการรักษาโรคของคุณสามี
สุขภาพและการรักษาโรคของตัวเรา
สิงหาคม 2566
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
28 สิงหาคม 2566
นิ่วในถุงน้ำดี ขนาด 1.6 เซนติเมตร
วันที่ 6-7 กรกฎาคม 2566 อัลต้าซาวด์พบก้อนไขมันเกาะไต
All Blogs
ผื่นผิวหนังอักเสบที่หน้าท้อง ( เริ่มเป็นกลางเดือนมกราคม 2567)
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A วันที่ 24 กันยายน - 10 ตุลาคม 2568
วันที่ 6 - 18 มกราคม 2568 เป็นไข้หวัดธรรมดา
การรักษาโรคเบาหวาน
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ครั้งที่ 3
ไข้เลือดออก ครั้งแรกในชีวิต (27 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม 2566)
วันที่ 22 ธันวาคม อัลต้าซาวด์+ MRI ก้อนไขมันที่ไต
นิ่วในถุงน้ำดี ขนาด 1.6 เซนติเมตร
วันที่ 6-7 กรกฎาคม 2566 อัลต้าซาวด์พบก้อนไขมันเกาะไต
7 เมษายน 2566 รักษาโรคไขมันในเลือดสูง+ไขมันพอกตับ
นิ่วในถุงน้ำดี ขนาด 1.6 เซนติเมตร
*** ขออภัยหากมีภาพที่ไม่เหมาะสม ***
ตามที่เคยกล่าวว่าไปตรวจสุขภาพประจำปี 2566 แล้วพบว่าตัวเองเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี เลยเข้ารับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึกในวันที่ 7 เมษายน 2566 ได้พบหมอและปรึกษาหาแนวทางในการรักษา โดยตอนนั้นเราแจ้งหมอว่ามันมีอาการปวดสะบักขวา ปวดเมื่อยตามตัว ตามขา พอไปนวดแผนโบราณอาการหายไป 3-4 เดือนก็กลับมาเป็นอีก หมอก็ถามว่าหลังทานอาหารมีอาการจุกเสียด แน่นท้องหรือท้องอืดเหมือนอาหารไม่ย่อยหรือเปล่า หรือมีอาการปวดท้องหรือไม่ เราก็บอกว่าไม่เคยมีอาการแบบนั้น เราแจ้งหมอว่าอยากให้ผ่าออกก่อนที่มันจะมีอาการอักเสบ เพราะได้พูดคุยสอบถามอาการของคนที่เป็นโรคนี้แล้วถ้ามันเกิดการอักเสบ เขาบอกว่าต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อฉีดมอร์ฟีนแก้ปวดจนกว่ามันจะหายปวด พอหายปวดแล้วหากยังไม่ผ่าตัด ก็ไม่รู้ว่ามันจะอักเสบขึ้นอีกเมื่อไร หมอบอกว่าเคสเราไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆ ก็ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดก็ได้ เพราะมันอาจไม่มีอาการใดๆ ไปตลอดชีวิตก็เป็นได้ แต่หากอยากผ่าตัดก็สามารผ่าให้ได้ แต่หมอคิดว่านิ่วมันอาจหลุดเองได้ เราบอกหมอว่าเราประสงค์ที่จะผ่าตัด เพราะนิ่วก้อนใหญ่ขนาดนั้นไม่น่าจะหลุดเองตามที่หมอบอกได้ และเราไม่อยากให้เกิดการอักเสบ เพราะเราก็ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าอาการของโรคจะปะทุขึ้นมาเมื่อไร หากปวดท้อง แน่นจุกขึ้นมาช่วงกลางคืนจะทำยังไง ต้องเข้าแอดมิน รพ.เอกชน ก็ไม่น่าจะโอเคกับค่ารักษาที่สูงเกิน โดยหมอหาคิวผ่าให้ได้ช่วงวันที่ 4 พฤษภาคม 2566 แต่เราขอเลื่อนเพราะยังติดภาระกิจอื่นอยู่ หมอเลยนัดมาเจาะเลือดเพื่อตรวจสภาพร่างกายอีกครั้งในวันที่ 30 มิถุนายน 2566 หมอแจ้งว่าผลเลือดโอเค หมอยังยืนยันว่ายังไม่อยากให้ผ่าเพราะเรายังไม่มีอาการของโรค หมอยังก้ำกึ่งอยู่ระหว่างผ่ากับไม่ผ่า เราเลยบอกหมอว่าจะอัลตร้าซาวด์ใหม่ก็ได้นะหากหมอไม่ชัดเจนกับผลอัลต้าซาวด์ของคลินิกศูนย์แพทย์พัฒนาที่เราไปตรวจสุขภาพมา
หมอเลยนัดมาทำอัลตร้าซาวด์วันที่ 6 กรกฎาคม 2566
ถึงวันนัดเราก็ขึ้นไปรอทำอัลตร้าซาวด์ที่อาคาร 9 ชั้น 3 ใกล้ถึงคิวก็เปลี่ยนเสื้อตามที่เจ้าหน้าที่บอก
ค่าอัลตร้าซาวด์ 850 บาท
วันที่ 7 กรกฎาคม 2566 หมอนัดมาฟังผลอัลต้าซาวด์
ผลคือมีก้อนนิ่วในถุงน้ำดีขนาด 1.6-1.7 เซนติเมตร จำนวน 1 ก้อน เราแจ้งความประสงค์กับหมอว่าต้องการเข้ารับการผ่าตัด โดยขอให้เสร็จสิ้นทุกอย่างภายในเดือนกันยายน 2566 หมอเลยดูคิววันผ่าตัดให้คือมีวันที่ 20 กรกฎาคม 2566 และวันที่ 3 สิงหาคม 2566 เราตัดสินใจเลือกผ่าวันที่ 20 กรกฎาคม 2566 หมอแจ้งว่าให้เราเข้ามานอนเตรียมตัวที่โรงพยาบาลก่อน 1 คืน ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2566
หมอให้เราไปทำตามขั้นตอนของโรงพยาบาลต่อไป คือ ไปเช็คสิทธิ์การรักษา ที่ ชั้น 1 และขั้นตอนอื่นๆ ตามรายละเอียดในรูปภาพ
ขึ้นมาจองห้องผ่าตัดที่ชั้น 8 เห็นบรรยากาศรอบๆ ชั้นที่เราต้องผ่าตัดแล้วเข่าอ่อน หน้ามืด วิงเวียน เลยทีเดียว (กลัวไง แต่ทำใจกล้า) ยิ่งเห็นเจ้าหน้าที่ใส่ชุดเขียวแบบในห้องผ่าตัดด้วยนะ ถึงกับหยิบยาดมมาดมเฮือกใหญ่ เจ้าหน้าที่จัดการจองวันผ่าตัดให้ และแจ้งให้เตรียมค่าใช้จ่ายไว้ประมาณ 30,000 บาท เสร็จแล้วเราก็ลงมาที่ชั้น 6 ต่อเพื่อรอรับใบนัดในวันที่ 14 กรกฎาคม 2566 หมอนัดมาตรวจประเมินเตรียมความพร้อมก่อนการผ่าตัด
พอทราบวันที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดเราก็รีบกลับมาทำใบส่งตัวกับที่ทำงาน เพื่อจะได้นำไปยื่นที่โรงพยาบบาลในวันที่เข้านอนโรงพยาบาล
วันที่ 14 กรกฎาคม 2566 หมอนัดมาตรวจประเมินเตรียมความพร้อมก่อนการผ่าตัด
ขึ้นมาเจาะเลือดก่อนเป็นลำดับแรก
ต้องตรวจเลือดหาเอดส์ก่อนเข้าผ่าตัด
เจาะเลือดเสร็จก็เข้ามา X -Ray ปอด
X - Ray เสร็จก็ไปตรวจคลื่นหัวใจ และมารอผลเลือดอีก 1 ชั่วโมง แล้วไปแผนกอายุรกรรมเพื่อพบแพทย์ตามขั้นตอนต่างๆ ของโรงพยาบาลต่อไป
ผลตรวจสรุปว่าร่างกายเราปกติ สามารถเข้ารับการผ่าตัดได้
ค่าใช้จ่ายของวันที่ 14 กรกฎาคม 2566 รวมทั้งหมด 1,320 บาท
รับใบนัดนอนโรงพยาบาลวันพุธที่ 19 กรกฎาคม 2566
ไปจองห้องนอนพักรักษาตัว เราเลือกนอนห้องพิเศษ ไม่นอนรวมกับผู้อื่น เจ้าหน้าที่ก็เขียนราคาเต็มของห้องให้ก่อนที่จะใช้สิทธิส่วนลด
เช้าวันพุธที่ 19 กรกฎาคม 2566
เราไปโรงพยาบาลแต่เช้าสิ่งแรกที่ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ โรงพยาบาล เพื่อขอให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างราบรื่น ผ่านพ้นไปด้วยดี และขอให้เราฟื้นตัวไวไว
1. ไหว้ศาลพระภูมิเจ้าที่ ด้วยดอกดาวเรือง พร้อมจุดธูป 9 ดอก
2. ไหว้
พระพุทธอโรคยาเทวราชา
ด้วยดอกดาวเรือง พร้อมจุดธูป 9 ดอก
จากนั้นก็ขึ้นไปพบหมอที่อาคาร 9 ชั้น 6 เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้านอนที่โรงพยาบาล ยังไม่ทันเข้าห้องนอนก็โดนจันใส่สายรัดข้อมือเลย หมอแจ้งว่าจะผ่าตัดตอน 11.00 น. ถึงประมาณ 14.00 น. ของวันที่ 20 กรกฎาคม 2566 จากนั้นเราก็ไปยื่นเอกสารสิทธิการเข้าเป็นผู้ป่วยในของโรงพยาบาล
แล้วก็ไปเข้าห้องพักที่อาคาร 1 ชั้น 5 เราได้ห้อง 503 ห้องราคา 2,100 ต่อคืน เปิดประตูออกมาก็ใกล้เคาเตอร์พยาบาลเลย
มีจาน ชาม ช้อน ส้อม พร้อม ที่ล้างจานอยู่นอกห้องต้องเดินออกไป
วิวจากห้องพักมองเห็นถนนวิภาวดีรังสิต
เจ้าหน้าที่จัดอาหารให้เลยมื้อกลางวัน และมื้อเย็น เพราะเขาถือว่าเราเข้านอนที่โรงพยาบาลแล้ว ถือเป็นผู้ป่วยแล้ว (ในส่วนรสชาติอาหารกลางวัน ต้มจืดแบบว่าไม่ปรุงรสอะไรเลย จืดสนิท ขนมหวานที่เป็นสาคูแคนตาลูปหวานมาก เราก็เลือกทานเฉพาะที่เราทานได้)
เจ้าหน้าที่แจ้งว่าไม่ควรออกไปไหน เดินเพ่นพ่านไม่ได้ แถมให้เราเปลี่ยนเป็นชุดโรงพยาบาล พร้อมแจ้งว่าประตูตึกจะปิดเวลา 18.00 หรือ 20.00 น.นี่แหละจำไม่ได้
มื้อเย็นของวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 แก้งส้มไม่เน้นปรุงรสจัดจ้านเท่าไร ถั่วเขียวต้มน้ำตาลยังคงหวานมากเช่นเดิม นอกนั้นอร่อย ฮ่าๆๆ พยาบาลให้เรางดน้ำ งดอาหารหลังเที่ยงคืน เพราะจะผ่าตัดตอน 11.00 น.
วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม 2566
อาหารมื้อเช้า เราทานไม่ได้ ยกให้สามีทาน
พยาบาลเข้ามาปลุกตอน 6.00-6.30 น.บอกให้เราเตรียมอาบน้ำแต่งตัว และเปลี่ยนเป็นชุดเตรียมผ่าตัด พอเวลา 8.00 น. เขาก็เข้ามาเจาะสายน้ำเกลือ ตอนเจาะเข็มนำนี้เจ็บอยู่นะ แต่ต้องอดทน ใจเต้นตึกๆ มากเพราะทุกอย่างคือครั้งแรกในชีวิต
10.30 น. พนักงานเปลมารับและเข็นเราไปห้องผ่าตัดที่อาคาร 9 ชั้น 8 พอถึงห้องผ่าตัดต้องรอเจ้าหน้าที่เช็ตห้องซักพัก เราเลยนอนคุยกับคุณลุงข้างๆ เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด (ตื่นเต้นมา กลัวไปหมด ใจหวิวๆ แบบอยากให้มันจบๆ ลงเสียที)ตอนเข็นเข้าไปในห้องผ่าตัด ลักษณะเป็นห้องสี่เหลี่ยมกว้างพอสมควร ห้องทาสีขาวทั่วทั้งห้อง มีจอมอนิเตอร์ 3-4 เครื่องรอบห้อง แล้วก็มีดวงไฟกลมๆ ใหญ่ๆ สำหรับส่องเวลาผ่าตัด เราต้องย้ายเตียงอีกรอบ เจ้าหน้าที่ให้กระเถิบตัวไปนอนเตียงแคบๆ ที่จะผ่าตัดเตียงพอดีตัวเลย มือข้างขวาเจ้าหน้าที่รัดที่วัดความดันและมัดเราไว้กับเตียง มือข้างซ้ายพยาบาลจับแนบไว้กับลำตัวและเอาผ้าสีเขียวมาห่อตัวเราไม่ให้ดิ้นพร้อมกับรัดเข็มขัดทั้งตัว (เหมือนเราเป็นผู้ป่วยโรคจิตในหนังฝรั่งเพื่อกันเราดิ้น)จากนั้นเจ้าหน้าที่เดินมาเช็คว่าเราชื่ออะไร นามสกุลอะไรและจะมาผ่าตัดอะไร พร้อมใส่ที่ครอบจมูกให้เราที่ครอบจมูกเล็กมากใส่แล้วรู้สึกหายใจลำบากกว่าใส่ที่ดำน้ำเสียอีก เจ้าหน้าที่ก็พยายามใส่ที่ครอบจมูก 2-3 ครั้ง พยายามกดแล้วลองให้เราฝึกหายใจเราก็บอกเรากำลังพยายามอยู่และจะพยายามทำสมาธิหลับ หลังจากนั้นรู้สึกแป๊บๆ วาบๆ ที่หลังแขนด้านซ้ายตรงที่เจาะสายน้ำเกลือ แต่ไม่เจ็บ เจ้าหน้าที่น่าจะฉีดยาสลบเข้าไปด้วยสักพักก็หลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ตอนอยู่ในห้องผ่าตัดช่วงกำลังจะฟื้นตัวรู้สึก เรารู้สึกว่าตัวเองเหมือนล่องลอยอยู่บนปุยเมฆขาวๆ แล้วก็เริ่มได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลคุยกันและได้ยินเสียงเรียกชื่อเรา ว่าคุณ....รู้สึกตัวไหมคะ ได้ยินไหมคะ ลืมตาได้หรือเปล่า ให้ขยับตัวเพื่อเปลี่ยนไปนอนเตียงรถเข็น จะเข็นผู้ป่วยกลับห้องพักแล้วนะ เราก็พยายามขยับตัวตามเสียงและมือที่เจ้าหน้าที่ช่วยจับโดยที่ไม่ลืมตา ตอนนั้นรู้สึกตึงพุง เจ็บพุงมากแต่ยังพอทนได้ ชาๆ ไปหมด แต่เราบอกว่าเราเวียนหัวแล้วก็เจ็บพุง อยากนอนพร้อมกับอาการเหงื่อแตกเต็มตัว เหงื่อออกเยอะมากอากาศร้อนไปหมด เหงื่อเม็ดเท่าหัวแม่โป้งไหลเต็มหน้าไหลเต็มหัวจนพยาบาลยังตกใจ (ตอนผ่าตัดรู้สึกนอนฝันดีไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย ผ่าแบบส่องกล้องไม่ผ่าน เลยต้องผ่าเปิดหน้าท้องด้วย โดน 2 เด้งเลยตรู)
อาหารมื้อกลางวันกับเย็นของวันที่ 20 กรกฎาคม 2566 ก็ยกให้สามีทาน (เราจะถ่ายรูปอาหารที่โรงพยบาลจัดให้ทุกมื้อ ทุกวัน จะได้รู้ว่าเขาจัดอาหารอะไรให้ทานบ้างสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี)
เข้าผ่าตัดตอน 11.00 น. กลับมาห้องพักตอน 16.00 น. ใช้เวลา 5 ชั่วโมงในการผ่าตัด หมอบอกว่าส่องกล้องไม่ผ่านเพราะหน้าท้องมีพังผืดและมีไขมันในช่องท้อง อีกทั้งบริเวณไขมันยังมีเส้นเลือดแดงขนาดใหญ่ไปหล่อเลี้ยงทำให้การส่องกล้องเป็นไปด้วยความยากลำบาก เลยต้องเปลี่ยนมาผ่าแบบเปิดช่องท้องแทน พอเจ้าหน้าที่เปลเข็นเรามาถึงห้อง เขาก็ให้เราขยับตัวเปลี่ยนเตียงอีก แต่เราขยับไม่ไหวแล้ว มึนหัวมาก ง่วงมาก แบบคนเมายา เจ้าหน้าที่เลยต้องใช้แผ่นสไลด์ดันตัวเราเพื่อย้ายและช่วยกันดึงยกตัวเราขึ้นเทียบเตียงในห้องพักแทน แถมตอนนั้นเราเหงื่อแตกอีกแตกแบบปะเก็นแตก เหงื่อแตกเยอะมากร้อนแต่มีความรู้สึกว่าเจ็บพุงมึนหัวเมายาอยากนอน ก็หลับเป็นพักๆ แต่ยังมีสติบอกสามีให้โทรหาพ่อกับแม่ ว่าเราออกจากห้องผ่าตัดแล้ว สบายดีไม่ต้องเป็นกังวล จากนั้นเราก็หลับไปอีก บางครั้งพอเริ่มพูดมากจะรู้สึกเหนื่อยเจ็บแผลตึงแผล
20:30 น. เริ่มหายเมายาสลบ พอฟื้นจากยาสลบเรารู้สึกเจ็บคอนิดๆ คอแห้ง เวียนหัวมึนหัว อยากอาเจียน และอยากนอน พยาบาลบอกให้ค่อยๆ จิบน้ำทีละนิดบ่อยๆ พยาบาลบอกให้ลุกเดินไปปัสสาวะเองถ้าสี่ทุ่มยังไม่ปัสสาวะเองต้องสวนใส่สายฉี่ ตอนนั้นความรู้สึกไม่ปวดฉี่เลย เพลียอยากนอนอย่างเดียว
22.00 น. พยายามลุกตึงแผลเจ็บแผลแต่พอทนได้ ต้องตะแคงตัวด้านที่ไม่ได้ผ่าตัดลุกขึ้น ค้องมีคนช่วยพยุงตัว เพราะไหนจะเจ็บแผล ไหนจะสายน้ำเกลือที่คาอยู่ที่หลังมือซ้าย จับหรือเอามือเท้าอะไรก็ไม่ได้รำคาญสายน้ำเกลือมาก ตอนลุกยืนครั้งแรกมีอาการเวียนหัว มึนหัวเซนิดหน่อย มีอาการลมตีจากท้องขึ้นมาที่ลำคอ อยากเรอ อยากอาเจียน พอเดินถึงห้องน้ำอาเจียนเป็นน้ำย่อยออกมาเยอะมากสีเขียวเข้มคล้ำดำ สีเขียวเหมือนเขียวขี้ม้า ลมตีขึ้นมา 3 รอบ อาเจียนออกไป 3 รอบแบบเยอะมาก จนสามียังตกใจ พยาบาลก็เร่งให้ถอดชุดผ่าตัดออกแล้วให้เปลี่ยนเป็นชุดคนป่วยแทน ไอ้เราก็แบบว่า เออ....ขออ้วกก่อนได้ไหมฟระ หมุนหันไปหันมาพอดีอ้วกใส่หน้าคนช่วยพยุง หลังจากนั้นเราแปรงฟันเองได้ แต่ก้มตัวที่อ่างไม่ได้มากตึงแผล เจ็บแผล พออาเจียนออกมารู้สึกหายเวียนหัวมึนหัวรู้สึกโล่ง ลองนั่งปัสสาวะเองได้ ออกมาไม่เยอะ ส่วนน้ำเกลือใกล้หมดเหลือติดก้นถุงพยาบาลเลยมาถอดสายน้ำเกลือ และเปลี่ยนเป็นสายน้ำเกลือสั้นเอาไว้เวลาฉีดยาเท่านั้น
23.00 น. และตีสอง พยาบาลมาวัดความดัน ฉีดยาแก้ปวด และน้ำเกลือให้ เวลามาฉีดยาเราหลับสบายมาก หลับยาวเลย
วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม 2566 (หลังผ่าตัดวันที่ 1)
5:30 น. พยาบาลมาวัดความดันและบอกให้ล้างหน้าแปรงฟัน เราเลยตื่นไปล้างหน้าแปรงฟัน ช่วงนี้อาบน้ำไม่ได้ต้องเช็ดตัวเอา เวลาลุกต้องค่อยๆ ตะแคงตัวลุกเอียงตัวลำบากเพราะปวดแผลนิดๆ ตอนลุกยืนหรือนั่งยังจะมึนๆนิดๆ
6.10 น. พยาบาลมาฉีดยาแก้ปวดและน้ำเกลือ
8.00 น. ลุกขึ้นมาทานข้าวเช้าได้ 3-4 คำ แล้วก็เวียนหัว อาเจียนออกมาเป็นน้ำดีสีเขียวอ่อนมีเสมหะใสๆ และอาเจียนเป็นเสมหะใสๆ เป็นข่วงๆ นั่งมากก็จะเจ็บแผลแล้วเวียนหัว
9:10 น. พยาบาลมาวัดความดันและทำแผลให้
9.27 น. พยาบาลมาฉีดยาแก้ปวดเข้าเส้น ตอนดันยาปวดแสบหลังมือมาก ทุกครั้งที่ดันยาจะปวดมาก
10.30 น. หมอมาเยี่ยมสอบถามอาการ เราก็บอกเรื่องอาเจียน เวียนหัว (ซึ่งเราคิดว่ามันเป็นอาการปกติหลังผ่าตัด แต่จริงๆ ไม่ใช่)หมอบอกว่าน่าจะแพ้ยามอร์ฟีน หมอจะปรับยาแก้ปวด และให้พยาบาลมาฉีดยาแก้อาเจียนให้ หมอบอกให้พยายามลุกเดินบ่อยๆ แผลจะได้มีการยืดหยุ่นไม่เจ็บมาก
11.22 น. พยาบาลมาฉีดยาแก้ปวดเข้าเส้น หมอเปลี่ยนยาแก้ปวดให้ไหม่
12.00-13.15 เวียนหัวลุกขึ้นนั่งแล้วอาเจียนตลอด เหมือนมีเสมหะใสๆ ครืดคราดอยู่ในลำคออาเจียนออกมาเป็นฟองใสๆ เป็นน้ำสีเขียวๆเหลืองๆ ทานอาหารกลางวันได้ 3-4 คำ แล้วก็กินยาแก้ท้องอืดต่อ
นอนหลับไปถึง 15:00 น. ลุกขึ้นมามึนหัวเหมือนจะอาเจียน
16.00 น. ทานข้าวเย็น ทานยาแก้ท้องอืดแล้วพยาบาลมาฉีดยาแก้อาเจียนให้ วันนี้ลุกไปฉี่ 3 รอบ
18.00 น. ลุกขึ้นมาฉี่และแปรงฟัน ยังมีเสมหะใสๆ มึนหัวน้อยลงอย่าง อาเจียนน้อยลง พยาบาลมาฉีดยาแก้ปวดอีกรอบ
20.14 น. ลุกขึ้นมาฉี่
21.00 น. กินยาลดไขมันตามหมอสั่ง
22.00 น. ลุกมาฉี่ ยังระบมแผล ลุกนั่ง นอน ลำบาก
01:10 น ลุกมาฉี่ แล้วหลับยาวจนถึง 6 โมงเช้า
อาหารเช้าผู้ป่วยหน้าตาประมาณนี้
พยาบาลเข้ามาทำแผลผ่าตัดให้ ตอนทำแผลเราไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย มันชา และตึงแผลมาก สภาพแผลปิดไว้ยังกับมัมมี่ เลยให้สามีช่วยถ่ายภาพให้
รอยผ่าตัดยาว 14 เซนติเมตร หรือ 5.5 นิ้ว รอยผ่ายาวมาก แผลบวมเชียว
วันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม 2566 (หลังผ่าตัดวันที่ 2)
6.00 น. พยาบาลเข้ามาปิดแอร์ แล้ววัดความดัน เราเจ็บแผลมากเมื่อคืนพยาบาลไม่ได้เข้ามาฉีดยาแก้ปวด
6.10 น. ลุกไปฉี่ แปรงฟัน ก้มสระผมที่อ่างล้างหน้าเพราะหัวเหม็นมาก แม้ว่าจะตึงและเจ็บแผลมากก็เถอะ ยืนนานๆ จะเริ่มเจ็บแผล ระบมแผลมากตัวงอเลย แล้วอีกอย่างที่เป็นคือชอบมีอาการระคายคอเหมือนมีเสมหะเหนียวๆ ใสๆ ในลำคอตลอดเวลา อยากขากก็ทำไม่ได้เพราะเจ็บแผลมาก เวลาไอนี่สะเทือนเจ็บไปทั้งพุง ระหว่างวันก็ต้องพยายามคายเสมหะออก จิบน้ำบ่อยๆ แต่ไม่เยอะ
7.00 น. พยาบาลเข้ามาทำแผล สภาพแผลดูบวมน้อยลง รอยแผลที่สะดือที่ถูกส่องกล้องดูสภาพไม่โอเคเลย พยาบาลบอกให้พยายามถ่ายอุจาระให้ได้ ไม่อย่างนั้นต้องใช้ยาระบายหรือไม่ก็ใช้ที่สวนก้น โอ๊ย..เจ็บแผลก็เจ็บยังต้องมาให้พยายามถ่ายอุจาระอีก
7.28 น. ลุกมากินข้าวต้มได้มากขึ้นกว่าเดิม ไม่กินเนื้อสัตว์ กินไข่ต้ม 1 ฟอง กินน้ำและกินยาช่วยย่อย ตอนลุกนั่งเริ่มมีเสียงครืดคราดในท้องแต่ยังไม่ถ่าย
8.00 น. ลุกฉี่ พยาบาลเข้ามาฉีดน้ำเกลือ ยาแก้ปวดและฉีดยาแก้อาเจียนให้ เข้าเส้นที่หลังมือ (ฉีดจนเราแสบหลังมือ น้ำตาจะไหล เแสบมาก แบบว่าพอถึงเวลาฉีดยานี้แทบไม่อยากฉีด เพราะเรารู้สึกว่ามันเจ็บ วันต่อมาจึงบอกพยาบาลว่าฉีดยาแล้วเจ็บ พยาบาลบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องปกตินะ เวลารู้สึกอะไรต้องบอก เพราะเวลาฉีดยาเข้าเส้นที่หลังมือต้องไม่เจ็บ ที่เจ็บคือเส้นน่าจะใกล้พังแล้ว ไว้ต้องเปลี่ยนข้างเจาะ เราได้ยินโอ้ย !! อยากจะเป็นลม ต้องเจ็บตัว ต้องเจาะหาเส้นเลือดใหม่อีกแล้ว)
10.33 น. ลุกฉี่ มีเจ็บแผล นั่งได้ไม่เกินครึ่งชั่วโมง ตอนเปลี่ยนไปนอนหงายเหมือนเดิม หมอมาเยี่ยม บอกว่าให้นอนโรงพยาบาลต่อสัก 2 วันนะ ให้อาการดีขึ้นกว่านี้ก่อน
12.00 น. ลุกฉี่ มีเจ็บแผล กินข้าวได้มากกว่าเดิม แต่ถ้ากินเยอะจะรู้สึกโครกครากในท้อง หลังกินข้าวกินยาช่วยย่อย
12.15 น. พยายาลมาฉีด น้ำเกลือ ยาแก้ปวด แบบ 12 ชั่วโมง
13.15 น. วันนี้ผายลม มีเสมหะใสๆ น้อยลง
13.30 น. ลุกนั่งเองได้โดยเกาะราวที่เตียง
14.15 น. นอนลงเองเกาะราวที่เตียง แผลเจ็บน้อยลงเพราะหมอให้ยาแก้ปวด ไม่มีอาการมึนหัวไม่อาเจียน อยากตดแต่ก็ตดได้ทีละนิดตดไม่ค่อยออก
14.30 น. ลุกฉี่ หน้าห้องน้ำมีผายลมออกมาด้วย และเช็ดตัว ยังไม่อึ
15.15 น. เริ่มหิวท้องเริ่มร้องข้าวมาตอน 15:30 น
15:30 น. หลับไปถึง 16.00 น.
17.00 น. กินข้าวได้เยอะขึ้นแต่ไม่ถึงครึ่งถ้วย ลุกฉี่ กินยาช่วยย่อย
17.30 น. พยาบาลมาวัดไข้ ไม่มีไข้ 37.6 วัดความดันได้ 144
20.00 น. ทานมะละกอ และลุกฉี่ รู้สึกตึงพุงเจ็บแผลนิดๆ
21.00 น. วันนี้หมอสั่งงดยาลดไขมัน
22.00 น. ลุกฉี่ พยาบาลมาฉีด น้ำเกลือ ยาแก้ปวด
ตี 1 ลุกฉี่
ตี 3 ลุกฉี่ ปวดแผล
ก่อนผ่าตัดเราบอกหมอว่าขอก้อนนิ่วด้วย เราอยากดูว่าลักษณะก้อนนิ่วเป็นอย่างไร ก้อนใหญ่ขนาดไหน (สามีบอกว่าตอนแรกคิดว่าเป็นนิ่วก้อนเล็กๆ ยังคิดว่าเราจะเจ็บตัวผ่าออกทำไม หาเรื่องเจ็บตัวโดยแท้ แต่พอสามีเห็นก้อนนิ่วที่หมอเอามาให้ เขาบอกว่า โอ้โห..ก้อนใหญ่มากผ่าออกไปดีแล้ว)
ก้อนนิ่วมีขนาดใหญ่พอสมควร แข็งมาก แต่เบา ไม่มีกลิ่น สีออกน้ำตาล เหลือง เป็นก้อนนิ่วที่เกิดจากการรวมตัวกันของน้ำดีและไขมันหรือคอเลสเตอรอล และขับออกไม่หมดเกิดการตกผลึกอยู่ในถุงน้ำดี หมอบอกว่าตัดถุงน้ำดีออกไปด้วยนะ ตอนนี้ไม่มีถุงน้ำดีแล้วจะทานอาหารอะไรต้องระวัง ไม่ควรทานอาหารมันๆ เพราะร่างกายจะย่อยยาก และแต่ละมื้อไม่ควรทานเยอะเกินเพราะจะรู้สึกแน่น จุกท้องได้
ก้อนนิ่วขนาด 1.7 -1.8 เซนติเมตร เกือบจะ 2 เซนติเมตร แล้ว ดีนะที่ตัดสินใจผ่าออก หากปล่อยไว้จนมันใหญ่กว่านี้ ต้องเกิดการอักเสบแน่นอน
วันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม 2566 (หลังผ่าตัดวันที่ 3)
อาหารคนป่วย 3 มื้อ น่าตาประมาณนี้ ทุกวันก็จะเป็นแบบนี้สลับเปลี่ยนกันไปแล้วแต่แผนกโภชนาการว่าจะจัดอะไรมาให้ทาน อาการอีกอย่างหลังผ่าตัดคือหากชอบถ่ายเหลว แต่ไม่ใช้แบบคนท้องเสีย คงเป็นเพราะไม่มีถุงน้ำดีแล้ว ร่างกายเลยกำลังปรับสภาพ
5.30 - 6.30 น. ลุกฉี่ แปรงฟันล้างหน้า ปวดแผล พยาบาลมาวัดความดันมาวัดไข้ได้ 37.4 ไม่มีไข้ พยาบาลมาฉีดน้ำเกลือและยาแก้ปวด หลังฉีดยารู้สึกเวียนหัวอยากอาเจียน
7.30 น. ลุกขึ้นมากินข้าวกินยาช่วยย่อย มีอาการตดตลอดทั้งคืนอยากถ่ายท้องแต่ก็ไม่ถ่าย มีอาการเรอ
8.00 น. ลุกไปฉี่แล้วลองเข้าห้องน้ำก็ยังไม่ถ่าย ก็เลยเช็ดตัวแล้วก็สระผมได้ยาแก้ปวดไปแล้วอาการเจ็บแผลทุเลาลง
9.00 น. ลุกมาฉี่ ลุกมาถ่ายท้องได้นิดหน่อย ก่อนหน้าที่จะถ่ายมีอาการพะอืดพะอมเวียนหัวอยากอาเจียนไม่สบายท้อง
10.30 น. ลุกมาฉี่มีตึงๆ แผลเจ็บนิดๆ ยืนตัวตรงได้มากกว่าวันอื่นอาจเป็นเพราะฉีดยาแก้ปวดไป แสบท้องมากหิวข้าวเลยให้สามีเอาผลไม้แคนตาลูปในตู้เย็น ให้กินค่อยหายแสบท้องหน่อย
12.30 น. ทานข้าวทานยาช่วยย่อย หมอเปลี่ยนเป็นให้ทานยาพาราแบบเม็ด 500 mg 2 เม็ด
นั่งตั้งแต่ 11.30 น. ถึง 12:30 น เลยปวดหลังเจ็บท้องเจ็บแผล
13.40 น. อยากนอนก็นอนไม่หลับแอร์หนาวมาก มีอาการผายลมและมีกลิ่นเหม็น รู้สึกอยากถ่ายท้องเลยไปถ่ายท้องที่ห้องน้ำถ่ายออกมาแบบเหลวๆ พร้อมกับฉี่ไปในตัว อาการตึงแผลดีขึ้นยืดตัวได้มากขึ้นน่าจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาแก้ปวด
15.00 น. ลุกมาฉี่แล้วนั่งถึง 16.00 น. เดินเล่น 2 รอบในห้องยืนตัวตรงได้มากกว่าเดิม
17.00 น. ทานข้าวและทานยาช่วยย่อย เริ่มรู้สึกระบมแผล ลุกมาฉี่และแปรงฟัน ขอยาพาราพยาบาลมาทาน 2 เม็ด
17.44น. ทานยาแก้ปวดพาราไป 2 เม็ด นั่งนานเริ่มเมื่อยหลังระบมแผลเลยนอนเล่นหลับจนถึง 19:00 น.
18.00 น. ตอนนอนแสบท้องท้องร้อง แสบท้องมากไม่รู้เกิดจากอะไร น่าจะเป็นเพราะแต่ละมื้อทานอาหารได้ไม่มาก แค่ 3-4 คำก็อิ่ม ไม่มีความอยากอาหารเลย
19.00 น. ฝนตกหนักมาก อากาศหนาวจนนอนไม่ได้ ลุกมาฉี่และนั่งเล่นมือถือต่อ
19.30 น. ทานแคนตาลูปไป 3 - 4 ชิ้น แล้วก็นอนเล่น ตอนนอนเล่นมีอาการแสบท้องเหมือนหิวข้าวแสบจี๊ดๆ ตลอดเวลาไม่รู้เกิดจากอะไร
20.53 น. ลุกมากินยาลดไขมัน นั่งเล่นจนถึง 21.48 ก็นอน ก่อนนอนก็ลุกไปฉี่
23:00 น. กินยาแก้ปวดพาราไป 2 เม็ด ลุกไปฉี่
ตี 4 ลุกมาฉี่ ตึงแผลเจ็บแผลนิดๆ พอทนได้
จากที่เราเคยบอกพยาบาลว่าฉีดยาที่หลังมือแล้วแสบ ช่วงบ่ายพยาบาลเลยมาเจาะเปลี่ยนมือให้ใหม่ เพราะเส้นข้างซ้ายพัง ฉีดยาไม่เข้าแล้ว คงเป็นเพราะเวลาเราจะลุกจากที่นอนต้องตะแคงตัวและใช้มือทั้งสองจับราวเหล็กขอบเตียงพยุงตัวลุกขึ้น ใช้มือกดสายฉีดชำระ และบางครั้งเผลอหงายหลังมือ หรือเท้าแขนก็ส่งผลให้เส้นเลือดพังได้ (ทางที่ดีหากไม่อยากเจ็บตัวโดนเจาะหาเส้นเลือดใหม่ ไม่ควรใช้มือข้างที่เจาะทำอะไรเลย)
ตอนที่อยู่โรงพยาบาลเข้าใจความรู้สึกของผู้ป่วยอาการหนักเลย ที่ตัวต้องมีสายระโยงระยาง แขนถูกเจาะใส่สายโน่น นี่ เต็มไปหมด หลังผ่าตัดวันที่ 3 เรายังเจ็บแผลอยู่ เดินตัวตรงไม่ได้ เดินเอียงขวาข้างที่โดนผ่า บางครั้งเดินตัวงอเป็นกุ้งเลย เวลาเดินต้องเอามือกุมพุงตลอดเพราะเจ็บแผล ลุกนั่งทีก็ลำบาก เจ็บระบมไปหมด แถมอยู่ในห้องแอร์ทั้งวันยิ่งเจ็บแผล นอนตะแคงก็ไม่ได้ นอนหงายได้อย่างเดียว นั่งๆ นอนๆ กินข้าว กิยยา วนไป ช่วงกลางคืนหมอเริ่มปรับมาให้ทานยาแก้ปวดแบบเม็ดแทนการฉีดยาเข้าเส้นเลือด
วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม 2566 (หลังผ่าตัดวันที่ 4)
6.15 น. พยาบาลมาวัดความดันแล้ววัดไข้
6.30 น. ลุกมาฉี่แล้วก็แปรงฟัน แผลเจ็บแผลพอทนได้
6:40 น. เช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า
7.00 น. พยาบาลเข้ามาทำแผล
7.30 น. กินข้าวเช้า กินยาช่วยย่อย และกินพาราแก้ปวดไป 2 เม็ด 500 mg มีเสมหะใสๆ
7:50 น. ลุกขึ้นไปถ่ายท้องอึ มีอาการตึงๆ แผลเจ็บคอทนได้เดินตัวตรงได้หน่อยนึง มีเสมหะใสๆ ต้องคายออก
9.00 น. หมอมาตรวจเยี่ยมและบอกว่าจะจ่ายยาแก้ปวดแบบเม็ดให้ พร้อมทั้งวันนี้บ่ายๆ ให้ออกจากโรงพยาบาลได้ แต่นัดให้มาทำแผลที่โรงพยาบาลวันเว้นวัน หรือจะไปทำแผลโรงพยาบาลแถวบ้านก็ได้ เราดีใจมาก จะได้ถอดเข็มเจาะที่หลังมือเสียที ทำไรไม่สะดวกเลย รอหมอและพยาบาลจัดเตรียมเอกสาร เราก็เตรียมตัวเก็บของกลับบ้าน และหมอจะนัดเลาะแม็กซ์ออกวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 (ปรากฎว่ารัฐบาลสั่งให้วันที่ 31 ก.ค. 66 เป็นวันหยุด เจ้าหน้าที่เลยโทรมาเลื่อนนัดเป็นวันที่ 4 สิงหาคม 2566 แทน ในใจนี้อยากเลาะแม็กซ์ออกเร็วๆ เพราะอยากอาบน้ำ ถูสบู่ ทั้งตัวแล้ว)
12.00 น. ทานมื้อกลางวันที่โรงพยาบาล (กลางวันเราให้สามีซื้อเส้นใหญ่ราดหน้าผักรวม เพราะเบื่อกับข้าวโรงพยาบาลแล้ว ทานไปได้ครึ่งเดียวก็อิ่ม และไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหลังทานอาหารเสร็จ งานเข้าค่ะ ต้องเข้าห้องน้ำแบบด่วน เพราะอยากถ่ายท้อง มันแบบจู๊ดๆ อั้นไม่ไหวแล้ว ร่างกายยังต้องการปรับสภาพทานอาหารเยอะไม่ได้ ทานเผ็ดไม่ได้)ก่อนออกจากโรงพยาบาลก็ไปเดินเรื่องจ่ายค่ารักษา
13.30 น. ออกจากโรงพยาบาลเดินทางกลับบ้าน
เสียค่าส่วนต่างที่เบิกไม่ได้ 8,400.50 บาท
หมอจ่ายยามาเพียบ
ค่ารักษาส่วนเกินที่เราต้องจ่ายเอง 8,400.50 บาท
15.00 น. กลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ
17.00 น. ออกไปซื้อกับข้าวที่ตลาด ถ้าเดินมากจะมีอาการเจ็บแผลตึงแผล
20.00 น. เช็ดตัว ขี้ไคลออกมาเต็มไปหมด หมอยังไม่ให้แผลโดนน้ำ ไม่ให้อาบน้ำ
22.30 น. มีอาการปวดแผลระบมแผลเจ็บแผลต้องกินยาพารา ยิ่งอากาศหนาวๆ เย็นๆ อยู่ในห้องแอร์ จะปวดแผลมาก
ช่วงกลางคืนลุกไปฉี่ 3-4 ครั้งก็ยังมีอาการเจ็บแผลอยู่แต่รู้สึกว่าทนได้ในระดับหนึ่ง
***********************************************************************************
ช่วงกลับมาพักรักษาตัวที่บ้าน
วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม 2566
8.00 น. ตื่นเช้าเช็ดตัว
8.30 น. กินยาก่อนอาหาร 1 เม็ด (ปรับอาการคลื่นไส้ แก้อาเจียนลำไส้แปรปรวน)อาการตึงแผลน้อยลงยังมีเจ็บอยู่นิดๆพอทน
9.30 น. กินอาหารเช้าและกินยาหลังอาหารแก้บวมอักเสบ
13.30น. กินอาหารกลางวันและกินยาหลังอาหาร และกินยาแก้ปวดพารา 2 เม็ด
*** วันนี้ทำกับข้าวตั้งแต่ 16.00 น. - 18.00 น.หลังทำเริ่มมีอาการเจ็บแผลนิดๆ ***
18.00 น.กินอาหารเย็นและกินยาหลังอาหาร
เที่ยงคืนกินยาพารา 2 เม็ด เริ่มรู้สึกตึงแผลและเจ็บแผลเมื่ออยู่ในห้องแอร์หรือโดนอากาศเย็นๆ
*** แต่ละมื้ออาหารทานได้ไม่เยอะ เหมือนร่างกายกำลังปรับสภาพ เช่น อาหารตามสั่ง 1 กล่องแบ่งทานได้ 3 มื้อ ***
วันพุธที่ 26 กรกฎาคม 2566
8.30 น. กินยาก่อนอาหาร
(ปรับอาการคลื่นไส้ แก้อาเจียนลำไส้แปรปรวน)
9.00 น.ทานอาหารเช้าและกินยาหลังอาหาร ถ่ายท้อง 1 ครั้งไม่ค่อยมีน้ำเหลวๆ
13.00 น. กินอาหารกลางวันและกินยา วันนี้กินเผ็ดไปนิดนึงรู้สึกแสบพุงนิดๆ หลังจากนั้นไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็วิ่งเข้าห้องน้ำถ่ายท้องแบบท้องเสีย
15.41 น.สระผมและเริ่มรู้สึกเจ็บตึงที่แผลนิดๆ เพราะวันนี้ยังไม่ได้กินยาพาราแก้ปวด
19.15 น. กินอาหารเย็น กินยาหลังอาหาร ไม่ได้กินยาพารา
22.30 กินยาพารา 2 เม็ดเริ่มรู้สึกตึงแผลและเจ็บแผลเมื่ออยู่ในห้องแอร์หรือโดนอากาศเย็นๆ
*** คืนนี้นอนตะแคงข้างซ้ายได้มากขึ้นกว่าวันอื่น ***
วันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม 2566 (ทำแผลวันที่ 1 จ่ายไป 140 บาท)
7.00 น. ตื่นเช้าถ่ายท้องปกติ
8.30 น. กินยาก่อนอาหาร(ปรับอาการคลื่นไส้ แก้อาเจียนลำไส้แปรปรวน)
9.15 น. ทานอาหารเช้าสุกี้หมาล่าแบบไม่เผ็ด และกินยาหลังอาหารแก้ปวดอักเสบ กินน้ำจิ้มหมาล่าเผ็ดนิดๆ วิ่งเข้าห้องน้ำเลยตอน
9.30 น. ถ่ายออกมามีน้ำๆ เหลวๆ แต่ไม่ได้ท้องเสีย
17.00 น.ไปทำแผลที่โรงพยาบาลทหารอากาศสีกัน ค่าทำแผล 140 บาท พยาบาลให้มาทำแผลวันเว้นวัน พยาบาลบอกแผลดูดีมาก ตอนทำแผลรู้สึกคันๆ และมีเจ็บแปล๊บๆ เหมือนมือพยาบาลไปโดนแม็ก สะดุ้งเลยเพราะแสบจี๊ดๆ
ตอนเย็นกินอาหารและกินยาตามปกติ
เริ่มมีรอยแดงบริเวณขาแม็กซ์
ทำแผลเสร็จพยาบาลจะแปะแผลไว้ให้แบบนี้ทุกวัน ห้ามโดนน้ำเด็ดขาด
วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม 2566
9.15 น. ตื่นนอนและกินยาก่อนอาหาร มีอาการตึงแผล
12.00 น.กินอาหารกลางวัน และกินยาหลังอาหาร กินยาพารา 2 เม็ด เพราะเริ่มรู้สึกปวดแผลตึงแผล
17.00 น.ออกไปตลาด นั่งมอเตอร์ไซค์แบบคร่อมได้แล้ว เดินตลาดได้มากกว่าเดิม
ช่วงค่ำๆ ถึงตอนเช้าของวันที่ 29 เริ่มตึงแผล เจ็บแผล และคันแผลอยากเกามาก
วันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม 2566 (ทำแผลวันที่ 2 จ่ายไป 240 บาท)
8.05 น. ตื่นนอนและกินยาก่อนอาหารเริ่มรู้สึกคันแผลยิกๆ หลังอาหารเช้าก็กินยาหลังอาหารตามปกติ
13.00 น. ทานอาหารกลางวัน กินยาหลังอาหาร และกินยาพาราแก้ปวด 2 เม็ด เพราะรู้สึกคันแผลตึงแผลเจ็บแปล๊บๆ เป็นบางครั้ง
17.30 น. กินยาก่อนอาหาร และไปทำแผลที่โรงพยาบาลทหารอากาศสีกันราคา 240 บาท
18.00 น. กินข้าว แล้วกลับมากินยาหลังอาหาร
*** วันนี้บ่ายเผลอลุกเร็วเพราะมีของมาส่ง ยังเจ็บแป๊บที่แผลและตึงแผลมากหลังจากไปทำแผลอาการคันแผลน้อยลง ***
วันอาทิตย์ที่ 30 กรกฎาคม 2566
9.00 น. ตื่นนอนและกินยา
13.00 น.กินอาหารกลางวันแล้วกินยาหลังอาหาร
18.00 น.อาหารเย็นและกินยาตามปกติ
รู้สึกคันแผลและตึงแผลนิดๆ วันนี้เดินมาก นั่งมอเตอร์ไซค์นานปวดแผลเลย
วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2566 (ทำแผลวันที่ 3 จ่ายไป 190 บาท)
10.00 น. ตื่นเช้า กินยาก่อนอาหารและกินข้าวเช้า ระหว่างวันรู้สึกคันแผลและตึงแผล
17.00 น. กินข้าวเย็นและกินยาหลังอาหาร
ตอนไปทำแผลรู้สึกเจ็บแผลแปล๊บๆ สะดุ้งเลยเหมือนแม็กทิ่มเนื้อทางสีข้าง จ่ายค่าทำแผล 190 บาท พยาบาลบอกว่าแผลแห้งดี แผลสวย
วันอังคารที่ 1 สิงหาคม 2566
9.00 น. ตื่นเช้ามาก็กินยาก่อนอาหาร จากนั้นก็กินยาหลังอาหารตามปกติ
วันนี้ออกไปทำบุญถวายสังฆทานที่วัดแถวบ้าน หลังทำบุญเสร็จแวะกินก๋วยเตี๋ยวขาหมู กินหนังหมูมันๆ เข้าไป 2 ช้อน รู้สึกแน่นท้องอืดๆท้อง วันนี้อยู่บ้านทั้งวันไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่ได้กินยาพาราแก้ปวดตอนกลางวันกับตอนกลางคืน เพราะเห็นว่ากินยาพารามานานมากแล้ วมีอาการคันแผลตึงๆ แผลบางครั้งชาที่บริเวณรอบๆ แผลหน้าท้องฝั่งที่โดนผ่า แถมเป็นประจำเดือนเลยทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายตัว
วันพุธที่ 2 สิงหาคม 2566 (ทำแผลวันที่ 4 จ่ายไป 190 บาท)
8.00 น. ตื่นมาก็กินยาก่อนอาหารและกินข้าวเช้าหลังจากนั้นก็กินยาหลังอาหารตามปกติ
มีอาการตึงๆ แผลและชาๆที่แผล ตรงสะดือไม่ค่อยชาและไม่ค่อยตึงแผล
16.00 น. ไปล้างแผล เราบอกพยาบาลว่าเวลาทำแผลมักแสบบริเวณแผล พยาบาลบอกว่ามีรอยถลอกที่ผิวหนัง และเรายังรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ เวลาเขาทำแผลไปโดนแม็ก ทำแผลจ่ายไป 190 บาท
ช่วงกลางวันและช่วงเย็นก็กินยาก่อนอาหารและหลังอาหารตามปกติ
กลางคืนมีเจ็บแผลตึงๆ แผล คันแผลมาก วันนี้ไม่ได้กินยาพารา ประจำเดือนก็มาเยอะตอนกลางวัน มีปวดท้องนิดๆ
❌
ค่าใช้จ่ายในกา
รไปทำแผล รวมทำแผลไป 760 บาท
❌
ครั้งที่ 1 วันที่ 27 กรกฎาคม 2566 ทำแผลจ่ายไป 140
ครั้งที่ 2 วันที่ 29 กรกฎาคม 2566 ทำแผลจ่ายไป 240
ครั้งที่ 3 วันที่ 31 กรกฎาคม 2566 ทำแผลจ่ายไป 190
ครั้งที่ 4 วันที่ 2 สิงหาคม 2566 ทำแผลจ่ายไป 190
วันพฤหัสบดีที่ 3 สิงหาคม 2566
8.30 น. กินยาก่อนอาหารกินข้าวเช้า และกินยาหลังอาหารตามปกติมีตึงๆ ชาๆ และเจ็บแปล๊บๆ ที่แผล
ช่วงบ่ายๆ กินยาก่อนอาหารแล้วก็กินยาหลังอาหารตามปกติ บ่ายมีเจ็บแปลบๆ คันๆ ที่แผลเหมือนแม็กทิ่ม
18.00 น.กินยาก่อนอาหารและกินยาหลังอาหารพร้อมกับกินยาพาราแก้ปวด 2 เม็ด
วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2566
(วันนี้ช่วงสายๆ หลังเสร็จธุระจากโรงพยาบาล แวะเข้าที่ทำงาน)
9.00 น. ไปโรงพยาบาลทหารผ่านศึกเพราะมีนัดไปเลาะแม็ซเย็บแผลออกจากพุง ไปถึงโรงพยาบาลต้องไปเอาผลเนื้อเยื่อที่ส่งตรวจชิ้นเนื้อ เพื่อตรวจหามะเร็ง ผลคือไม่ได้เป็นมะเร็ง หมอบอกว่าเป็นนิ่วในถุงน้ำดีชนิดอักเสบเรื้อรัง
*** ตอนแกะแม็กตรงรอยผ่าตัดเจ็บจี๊ดๆ หนึบๆ เจ็บแบบทนได้ แต่ตรงสะดือด้านซ้าย มีแม็ก 2 ตัว ที่ดึงออกยาก พยาบาลต้องออกแรงดึงนิดๆ ทำให้เราปวดจี๊ดที่แผลมาก เจ็บมากปวดตุ๊บๆ ปิ๊ดๆ จนเรากำมือแน่นเลย มันเหมือนถอนแม็กออกจากกระดาษยังไงอย่างนั้น แต่นี่มันผิวหนังคน ตอนเลาะแม็กบางอันรู้สึกได้เลยว่าเจ็บจี๊ดๆ หนึบๆ แสบๆ คันๆ ตอนแกะแม็กตรงสะดือออก พยาบาลบอกว่ามีรอยเหมือนหนอง พอเอาไฟฉายส่องดูหมอบอกว่าไม่ใช่ หมอบอกมันอับชื้นเลยทำให้มีรอยแดงๆ ไม่ต้องกินยาแก้อักเสบ เรายังคงมีอาการชาที่แผล และปวดแผลอยู่ คันแผลมากอยากเกา หมอบอกจะจ่ายยาทาฆ่าเชื้อให้ และนัดมาดูแผลอีกครั้งวันที่ 11 สิงหาคม 2566 ***
ช่วงเย็นห้ามอาบน้ำให้เช็ดตัวไปก่อน
ชื่อยาโคจีติน ยาปฏิชีวนะ /ยาฆ่าเชื้อที่หมอสั่งให้ทาแผลเช้า และเย็น เกือบ 1 อาทิตย์
จ่ายค่ารักษาไป 256 บาท
วันเสาร์ที่ 5 สิงหาคม 2566
เช้า - แกะผ้าก็อตออกทำแผลเอง โดยทายาโคจีติน (ยาปฎิชีวนะ ยาฆ่าเชื้อ) ยังคงมีน้ำเหลืองซึมๆ ออกมาตามรอยแผลที่เลาะแม็กออก
เย็น - อาบน้ำ มีสะเก็ดแผลล่อนออกนิดๆ แสบและเจ็บแผล หลังอาบน้ำทำแผลทายาโคจีติน
กลางคืนนอนห่มผ้าไม่ค่อยได้เพราะเจ็บจี๊ดๆ ที่แผล เหมือนผ้าห่มไปโดนแผลแล้วแสบๆ คันๆ แผลยังแดงอยู่
ยาโคจีติน ยาปฏิชีวนะ /ยาฆ่าเชื้อที่หมอสั่งให้ทาแผลเช้า และเย็น
รอยแผลที่เลาะแม็กออก
วันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม 2566
ทายาโคจีตินเช้า และเย็น งดอาบน้ำ
กลางคืนนอนห่มผ้าไม่ค่อยได้เพราะเจ็บจี๊ดๆ ที่แผล เหมือนผ้าห่มไปโดนแผลแล้วแสบๆ คันๆ แผลยังแดงอยู่
วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2566
(ไปทำงานตามปกติ)
ทายาโคจีตินเช้า และเย็น งดอาบน้ำ
กลางวัน นั่งนานๆ ตึงแผล
กลางคืนนอนห่มผ้าไม่ค่อยได้เพราะเจ็บจี๊ดๆ ที่แผล แต่ดีขึ้นกว่าตอนถอดแม็กซ์ช่วง 2- 3 วันแรก แผลเริ่มเป็นสีน้ำตาลมากกว่าแดง
วันอังคารที่ 8 สิงหาคม 2566
ทายาโคจีตินเช้า และเย็น งดอาบน้ำ
กลางวัน – มีน้ำเหลืองเยิ้มออกมาจากสีข้างตรงรอยกรีด 3-4 หยด ไม่มาก นั่งนานๆ ตึงแผล
วันพุธที่ 9 สิงหาคม 2566
ทายาโคจีตินเช้า และเย็น งดอาบน้ำ นั่งนานๆ ตึงแผล เริ่มมีผื่นคัน แสบๆ ตุ่มแดงๆ รอบเหนือแผล เย็นต้องเอาคาลาไมล์ทา ไม่รู้แพ้แอลกอฮอล์ที่ทารอบแผลก่อนทำความสะอาดแผลหรือแพ้กาวปิดตอนช่วงทำแผลหรือเปล่า
วันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม 2566
ทายาโคจีตินเช้า และเย็น งดอาบน้ำตอนเช้า ตอนเย็นอาบน้ำตามปกติ แต่ไม่ให้โดนแผล มีผื่นคัน ตุ่มแดงๆ ที่แผล เย็นต้องเอาคาลาไมล์ทา บรรเทาความคันได้บ้าง
วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2566
ทายาโคจีตินเช้า วันนี้หมอนัดติดตามอาการดูแผล เราแจ้งหมอว่ามีผื่นคัน หมอดูรอยผื่นแล้วบิกว่าน่าจะแพ้กาวที่ปิดตอนทำแผล หมอเลยสั่งยาแก้คนมาให้ทาบางๆ และให้หยุดทายาโคจิตินแก้อักเสบได้แล้ว และให้เราเริ่มทายาลดรอยแผลเป็นยี่ห้อ Dematix ultra ได้เลย โดยต้องไปซื้อยาทาเองที่ รพ. ไม่มีจำหน่าย
*** ช่วง 3-4 อาทิตย์ที่กลับมารักษาตัวที่บ้าน แต่ละมื้ออาหารทานได้ไม่เยอะ รู้สึกอิ่มเร็ว ถ้าทานอาหารที่มีน้ำมันลอยหน้าหรือเนื้อสัตว์ติดมัน จะรู้สึกอืดๆ เลี่ยนๆ ในท้อง และไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจะต้องเข้าห้องน้ำเพื่อถ่ายท้อง เหมือนจะท้องเสียก็ไม่เชิง รู้สึกโครกครากในท้อง ***
ยาทาแก้ผื่นคัน ใช้ทาบางๆ เราทาเช้าและเย็น ประมาณ 1 อาทิตย์ก็หาย
วันนี้จ่ายไป 90 บาท
หมอนัดมาดูอาการอีกทีวันที่ 3 พฤศจิกายน 2566 ประมาณ 2 เดือนครึ่ง
ช่วงวันที่ 11-15 สิงหาคม 2566
ยาลดรอยแผลเป็น ยี่ห้อ Dematix ultra ขนาด 15 กรัม ซื้อที่ร้านขายยาราคาประมาณ 800 บาท (ยาแพงมาก น้ำตาจะไหล) ทาเช้า-เย็นบางๆ หมอบอกไม่ต้องทำแผลแล้ว พอทายาแก้ผื่นคันที่หมอให้ ผื่นคันเริ่มดีขึ้น คันน้อยลง รอยแผลเป็นยังไม่จางลง
เนื้อยาเป็นเจลสีใสๆ ทาแล้วเหมือนมีฟิลม์มาเคลือบผิวหนังไว้ ตัวยาซึมเข้าผิวได้ง่าย ไม่เหนอะหนะ เข้าบอกว่าตัวยาจะออกฤิทธิ์ได้นาน 12 ชั่วโมง
มาดูรอยแผลหลังจากที่ทดลองทายา Dematix ultra ไปแล้ว 5 วัน
สีแผลค่อยๆ จางลงจากที่เคยเป็นสีน้ำตาลเข้ม
เราปล่อยให้สะเก็ดแผลค่อยๆ ล่อนหลุดเอง
วันที่ 16-28 สิงหาคม 2566
หลังทายาแก้ผื่นคัน 1 อาทิตย์ อาการคันหาย และทายาลดรอยแผลเป็น ยี่ห้อ Dermatix Ultra รอยแผลเป็นจางลงนิดเดียว แผลยังเหมือนเดิม / เริ่มนอนตะแคงซ้ายได้มากกว่าเดิม มีเจ็บแผลแปล๊บๆ ยังนอนตะแคงขวาด้านที่ผ่าตัดไม่ได้
วันที่ 6 กันยายน 2566
ยังคงทายาลดรอยแผลเป็น Dematix ultra วนไปเช้าและเย็น ด้วยความหวังที่ว่าแผลจะดีขึ้น หากทำงานบ้านเยอะ หรือเผลอยกของหนักจะมีอาหารชาที่แผลข้างใน และรู้สึกเจ็บๆ หน่วงๆ ยังคงนอนตะแคงขวาด้านที่ผ่าและนอนคว่ำหน้าไม่ได้
แค่รอยแผลกรีดผ่าตัดก็แย่มากพอแล้ว ยังจะมีรอยจุดกลมๆ ของแม็กเย็บแผลอีก เห็นแล้วปวดใจ ฮ่าๆๆ หลังจากที่เราตัดถุงน้ำดีออกไปแล้ว อาการปวดเมื่อยตามตัว และอาการปวดร้าวที่สะบักขวาหายไปเลย หายแบบเป็นปลิดทิ้ง มหัศจรรย์มาก อาการปวดดังกล่าวน่าจะเป็นอาการข้างเคียงของนิ่วในถุงน้ำดี แต่เราไม่รู้ตัว นึกว่าปวดเมื่อยเฉยๆ ตามอายุที่มากขึ้น ไว้จะมาอัพเดทรอยแผลเป็นเรื่อยๆ จนกว่ามันจะจางหาย แผลใหญ่ขนาดนี้น่าจะต้องใช้เวลาเป็นปี ขนาดแค่รอยแมวข่วนยังใช้เวลาตั้ง 8 เดือน กว่ารอยแผลเป็นจะจางหายไป
*****************************************************************************************
ในที่สุดเอกสารเรียกเก็บเงินจากทางโรงพยาบาลก็ส่งมาถึงที่ทำงานเรา เนื่องจากเราทำหนังสือส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล และต้องจ่ายเงินส่วนเกินเอง
โรงพยาบาลเรียกเก็บ 26,791.25 บาท (เราจ่ายค่าส่วนเกินไป 8,400.50 บาท) รวมเงินค่ารักษาทั้งสิ้น 35,191.75 บาท
เอกสารแสดงรายการค่าใช้จ่ายต่างๆ
อัพเดทรอยแผลเมื่อผ่านไป 4 เดือน รอยแผลถ่ายเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ที่สะดือเราทายา
ฮีรูดอยด์ ฟอร์เต้ ชนิดครีมเช้าและเย็นทุกวัน
รอยแผลที่ผ่าเราทายา
Dematix ultra เช้าและเย็นทุกวัน รอยแผลเริ่มดีขึ้นนิดนึง ร่องรอยรูกลมๆ ที่เป็นรอยแม็กซ์เริ่มจางลงแล้ว แต่เหมือนว่าทายามากจนขนอ่อนเริ่มสีเข็มขึ้นแล้วนะ
มาอัพเดทรอยแผลเป็นกันหน่อย ถ่ายเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2567 รอยตรงสะดือดูดีขึ้น เวลาสัมผัสตอนทายายังรู้สึกมีผิวหนังแข็งๆ ตรงที่โดนเจาะอยู่ ที่สะดือเราทายา
ฮีรูดอยด์ ฟอร์เต้ ชนิดครีมเช้าและเย็นทุกวัน
เราว่ารอยแผลจางลงมากกว่าเดิม ตรงรอยแม็กซ์กลมๆ ที่ถูกเย็บเริ่มจางหายไป แต่แผลที่ถูกกรีดผ่ายังมีรอยนูนๆ อยู่
รอยแผลที่ผ่าเราทายา
Dematix ultra เช้าและเย็นเกือบทุกวัน
อัพเดทรอยแผลเป็นกันหน่อย ถ่ายเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2567 ถามว่าจางลงรึเปล่า เราว่ามันค่อยๆ จางลงกว่าเดิมเยอะนะ ตรงที่เป็นแผลนูนๆ รู้สึกว่านูนน้อยลงกว่าเดิม
ยังทายา
Dematix ultra เช้าและเย็นทุกวัน
อัพเดทรอยแผลค่ะ ถ่ายเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 จางลงกว่าเดิมเยอะเลย เดี๋ยวนี้เราทายาไม่ทุกวัน สลับกัน 2-3 วันทา กลัวทาติดต่อกันนานๆ แล้วจะเป็นอันตราย รอยแผลดีขึ้นนะ ถึงแม้ว่ามันจะไม่หายไปก็ตาม
Create Date : 28 สิงหาคม 2566
Last Update : 29 กรกฎาคม 2568 9:48:32 น.
3 comments
Counter : 5350 Pageviews.
Share
Tweet
ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณหอมกร
,
คุณปัญญา Dh
,
คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร
,
คุณไวน์กับสายน้ำ
,
คุณนายแว่นขยันเที่ยว
,
คุณสองแผ่นดิน
,
คุณเริงฤดีนะ
รักษาสุขภาพ ลดน้ำหนักบ้างจะดีค่ะ
โดย:
หอมกร
วันที่: 8 กันยายน 2566 เวลา:11:15:56 น.
เห็นแค่เอกสารต่าง ๆ ก็มึนแล้วครับ การผ่าตัดผ่านเรียบร้อยเพิ่งเคย
เห็นเม็ดนิ่วชัด ๆ คราวนี่้เอง
พักผ่อนเยอะ ๆ นะครับ
โดย:
ไวน์กับสายน้ำ
วันที่: 8 กันยายน 2566 เวลา:16:26:31 น.
ทายาลดรอยแผลเป็น อีกไม่นานก็ค่อยๆจางลงครับ
โดย:
สองแผ่นดิน
วันที่: 9 กันยายน 2566 เวลา:23:17:06 น.
ชื่อ :
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
BlogGang Popular Award#21
Emmy Journey พากิน พาเที่ยว
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [
?
]
จับกล้องท่องเที่ยวไปกับการเดินทางของฉัน ด้วยการถ่ายภาพที่ใช้อารมณ์ และหัวใจ มากกว่าเทคนิคและกฏเกณฑ์ /Step by step with my journey.
Page : Emmy Journey พากิน พาเที่ยว
https://www.facebook.com/EmmyJourney
Blog : https://emilia0412.bloggang.com
** ขอสงวนสิทธิ์ ***
ข้อมูลทั้งหมด อันรวมถึงข้อความและรูปภาพที่ปรากฏอยู่บน https://emilia0412.bloggang.com ห้ามมิให้ผู้ใดเผยแพร่ ลอกเลียน ทำซ้ำ หรือแก้ไข ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับการยินยอมจากเจ้าของบล็อก
Friends' blogs
Webmaster - BlogGang
[Add Emmy Journey พากิน พาเที่ยว's blog to your web]
Links
https://www.facebook.com/EmmyJourney
https://www.facebook.com/aboutcatsanddogsbyemmy
https://th.readme.me/
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.