Group Blog
 
<<
เมษายน 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
10 เมษายน 2554
 
All Blogs
 
ประวัติหลวี่ปู้ (ลิโป้)

หลวี่ปู้ (AD : unknown – 198)






หลวี่ปู้(ลิโป้)มีชื่อเรียกทางการว่าเฟิ่งเซียน เกิดที่ตำบลจิ่วหยวนเมืองอู่หยวน มีกิตติศัพท์ด้านความกล้าหาญเป็นที่เลื่องระบือ จึงได้รับการชักชวนให้รับราชการในมณฑลปิ้งโจว ครั้งติงหยวน(เต๊งหงวน)ข้าหลวงประจำมณฑลได้รับการโปรดเกล้าฯเลื่อนขึ้นเป็นที่จอมพลทหารม้า ยั้งประจำการณ์อยู่ ณ แดนเหอเน่ย จึงได้เกลี้ยกล่อมชักชวนหลวี่ปู้เข้าสังกัดอยู่ใต้ร่มธงและให้ความไว้วางใจในตัวหลวี่ปู้เป็นอย่างสูง

ครั้น(ฮั่น)หลิงตี้(พระเจ้าเลนเต้)ถึงกาลสวรรคต ติงหยวนนำพลเข้าสู่นครหลวงลั่วหยางเพื่อถวายความภักดี ในวาระนี้เขาร่วมวางแผนการกำจัดกวาดล้างเหล่าขันทีกับเหอจิ้น(โฮจิ๋น)และได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์ประจำวังหลวง แต่การณ์กลับปรากฎว่าเหอจิ้นทำการล้มเหลว ต่งจวอ(ตั๋งโต๊ะ)เคลื่อนทัพเข้านครหลวง วางแผนสร้างกลียุคอันปั่นป่วน จุดมุ่งหมายประการแรกของต่งจวอคือสังหารติงหยวนเพื่อผนวกกองกำลังอันขึ้นตรงต่อติงหยวนเข้าอยู่ภายใต้สังกัดอาณัติต่งจวอในทันที ด้วยต่งจวอทราบว่าหลวี่ปู้คือบุคคลใกล้ชิดเป็นที่ไว้ใจของติงหยวน จึงใช้รางวัลล่อใจหลวี่ปู้เพื่อให้ทำการสังหารติงหยวน หลวี่ปู้ตกลงกระทำการเป็นผลสำเร็จแล้วจึงนำศีรษะติงหยวนไปมอบแก่ต่งจวอ ต่งจวอบำเหน็จแต่งตั้งหลวี่ปู้เป็นที่ผู้บัญชาการกองทหารม้า และให้ความรักใคร่สนิทสนมต่อหลวี่ปู้เป็นอันมาก ทั้งสองกระทำสัตย์สาบานเป็นบิดาและบุตรบุญธรรมต่อกัน *1

หลวี่ปู้เชี่ยวชาญในการขี่ม้ายิงธนู มีกำลังแขนไร้ผู้ต่อต้าน เขาได้รับการขนานฉายาว่า “ขุนพลทะยานฟ้า” ต่อมาไม่นานเขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพประจำส่วนกลางพร้อมบรรดาศักดิ์พระราชทานเป็นที่ “ตูถิงโหว” ด้วยเหตุที่ต่งตวอทราบดีว่าตนเองปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความป่าเถื่อน จึงบังเกิดความเกรงกลัวว่าจะถูกผู้อื่นลอบสังหารอยู่เสมอมา ฉะนั้นต่งจวอจึงให้หลวี่ปู้เป็นองครักษ์ประจำตัวติดตามเขาไปทุกแห่งหน แต่กระนั้นต่งจวอมีอุปนิสัยดื้อรั้นเจ้าอารมณ์เกิดโทสะโดยง่ายอยู่บ่อยครั้ง เมื่อบันดาลโทสะขึ้นมาคราใดก็มักระบายกับคนรอบข้างโดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ใดๆทั้งสิ้น ครั้งหนึ่งต่งจวอเกิดบันดาลโทสะใส่หลวี่ปู้ คว้าหอกขึ้นมาได้ก็ขว้างเข้าใส่หลวี่ปู้โดยทันที หลวี่ปู้มีความเข้มแข็งว่องไวจึงถลันหลบคมหอกนั้นได้แล้วกลับเป็นฝ่ายขอขมาโทษต่อต่งจวอเสียเอง ต่งจวอจึงคลายเพลิงโทสะลงได้ แต่หลวี่ปู้ก็ได้เก็บความเคียดแค้นชิงชังที่มีต่อต่งจวอไว้ภายในอกเสียแล้ว ต่งจวอมักให้หลวี่ปู้ทำการอารักขาถึงในเขตตึกใน หลวี่ปู้กลับลอบมีสัมพันธ์กับสตรีของต่งจวอนางหนึ่ง ด้วยความที่หลวี่ปู้เกรงว่าเรื่องนี้จะล่วงรู้เข้าถึงหูต่งจวอ เขาจึงมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดระแวงเสมอมา *2

แรกเริ่มเดิมทีหลวี่ปู้ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากท่านซือถูหวังอวิ่น(อองอุ้น) ด้วยหวังอวิ่นทราบว่าหลวี่ปู้เป็นยอดบุรุษผู้มีความเข้มแข็งไร้ผู้ทัดเทียม ต่อมามีครั้งหนึ่งหลวี่ปู้ไปเยือนหวังอวิ่น ระหว่างพบปะสนทนาหลวี่ปู้แพร่งพรายให้หวังอวิ่นทราบถึงการที่เขาพบเห็นการกระทำอันเหี้ยมโหดอำมหิตของต่งจวออยู่หลายครั้ง ประจวบกับช่วงเวลานั้นหวังอวิ่นลอบวางแผนคบคิดกับผูเสอ(ชื่อตำแหน่งทางทหาร)สือซุนรุ่ยเพื่อสังหารต่งจวออยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นแล้วหวังอวิ่นจึงต้องการให้หลวี่ปู้ช่วยทำการอยู่ภายในเพื่อให้แผนการสังหารครั้งนี้สัมฤทธิ์ผล หลวี่ปู้บังเกิดความลำบากใจด้วยเหตุที่เขากับต่งจวอมีความสัมพันธ์ฉันบิดากับบุตร หวังอวิ่นจึงชี้แจงว่าแม้หลวี่ปู้กับต่งจวอได้กระทำสัตย์สาบานนับถือกันเป็นบิดาและบุตรบุญธรรม แต่ความสัมพันธ์นั้นไม่พึงต้องยึดถือเพราะทั้งสองต่างแซ่กัน และหลวี่ปู้ก็หาใช่บุตรต่งจวอโดยสายเลือดแต่อย่างใดไม่ หลวี่ปู้ถูกโน้มน้าวจนคล้อยตามและได้ทำการสังหารต่งจวอด้วยมือของตนเอง เมื่อการณ์สำเร็จสมประสงค์ หวังอวิ่นจึงตอบแทนความชอบของหลวี่ปู้ด้วยการกราบทูลให้พระราชทานแต่งตั้งหลวี่ปู้เป็นที่ “เฟินอู่เจียงจวิน” พร้อมตราอาญาสิทธิ์ทางราชการทหาร มีบรรดาศักดิ์เป็นที่ “เวินโหว” หลวี่ปู้ได้รับเกียรติอย่างเป็นทางการดุจดั่งขุนนางระดับซานกงก็ปานกัน หวังอวิ่นและหลวี่ปู้ได้ร่วมกันบริหารราชการแผ่นดิน แต่กระนั้นการที่หลวี่ปู้สังหารต่งจวอยังผลให้ชาวเหลียงโจวเกิดความหวาดระแวงและเกลียดชังในตัวเขาเป็นอย่างมาก หลี่เจวี๋ย(ลิฉุย)จึงนำพลพรรคแดนเหลียงโจวเข้าบุกตีนครหลวงฉางอัน(เตียงฮัน) หลวี่ปู้ไม่อาจต้านทานกองทัพเหลียงโจวได้จึงประสบความปราชัยหลังจากมรณกรรมของต่งจวอเพียงหกสิบวันเท่านั้น หลวี่ปู้หลบหนีไปพร้อมทหารม้าไม่กี่ร้อยนายผ่านทางด่านอู่กวน ด้วยประการฉะนี้นครหลวงฉางอันจึงตกอยู่ภายใต้การครอบครองของหลี่เจวี๋ย หลวี่ปู้ส่งสาสน์ไปถึงหยวนซู่(อ้วนสุด)เพื่อขอพำนักพึ่งพิง *3

หลวี่ปู้คิดว่าการที่เขาสังหารต่งจวอถือว่าได้กระทำความชอบต่อหยวนซู่เป็นอันมาก แต่หยวนซู่เกิดความชิงชังรังเกียจที่หลวี่ปู้มีพฤติการณ์หักหลังนายเหนือของตนถึงสองครั้งจึงไม่รับหลวี่ปู้เข้าไว้ในสังกัด เมื่อถูกหยวนซู่ปฏิเสธ หลวี่ปู้จึงเดินทางขึ้นแดนเหนือและได้รับการต้อนรับจากหยวนเส้า(อ้วนเสี้ยว) ขณะที่อยู่ใต้สังกัดหยวนเส้านั้นเอง หลวี่ปู้ได้รับบัญชาให้ยกทัพบุกตีจางเหยียนแห่งฉางซาน จางเหยียนมีไพร่พลหลายหมื่นคนและกองทหารม้าหลายพันนาย หลวี่ปู้ครอบครองม้าพันธุ์วิเศษเรียกว่าชื่อทู่(ม้าเซ็กเทาว์) ทำการร่วมกับเฉิงเหลียนและเว่ยเยวี่ยบุกเข้าโจมตีกองกำลังจางเหยียนอยู่หลายคราจนประสบชัยชนะในที่สุด แต่หยวนเส้ากลับบังเกิดความดูแคลนต่อยุทธการของหลวี่ปู้ประกอบกับทหารในสังกัดของหลวี่ปู้ทำการปล้นชิงทรัพย์ไว้เป็นของตน หลวี่ปู้ตระหนักดีว่าหยวนเส้าเกิดความไม่พอใจในตนเองจึงเข้าพบหยวนเส้าเพื่อขออำลา อย่างไรก็ตามหยวนเส้าบังเกิดความกริ่งเกรงว่าสักวันหนึ่งหลวี่ปู้จะหวนกลับมาเป็นเภทภัยภายหลังจึงบัญชานักบู๊ในสังกัดลอบสังหารหลวี่ปู้ในยามราตรี กระนั้นแผนการสังหารรายนี้ไม่สัมฤทธิ์ผล เมื่อแผนการร้ายถูกเปิดโปงหลวี่ปู้จึงหลบหนีเข้าสู่แดนเหอเน่ยสมัครพักพิงอยู่ด้วยจางหยาง หยวนเส้าสังการให้แม่ทัพนายกองของเขาไล่ตามจับหลวี่ปู้ในทันที แต่บรรดาแม่ทัพเหล่านั้นเกรงกลัวหลวี่ปู้จึงไม่กล้าไล่ติดตามไปโดยกระชั้นชิด

ขณะเวลานั้นยังมีบุรุษผู้หนึ่งนามจางเหมียว(เตียวเมา) มีชื่อทางการว่าเมิ่งจั๋ว เกิดที่ตำบลโซ่วจางเมืองตงผิง ตั้งแต่อายุยังเยาว์ก็มีชื่อเสียงเลื่องลือว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้มีความโอบอ้อมอารี ชอบช่วยเหลือคนยากจนและรับอุปการะคนยากไร้ คราหนึ่งเขานำทรัพย์สินเงินทองออกช่วยเหลือผู้คนจนหมดสิ้นจึงได้รับความนิยมจากปัญญาชนในแถบนั้นเป็นอย่างมาก ทั้งเฉาเชา(โจโฉ)และหยวนเส้าล้วนเป็นสหายของคนผู้นี้

จางเหมียวเดิมทีเป็นเพียงสามัญชนก่อนไต่เต้าเข้าสู่วงการราชการ โดยตำแหน่งแรกที่เขาได้รับคือผู้บัญชาการทหารม้า ต่อมาจึงได้รับการแต่งตั้งเลื่อนขึ้นเป็นที่ผู้ว่าราชการเมืองเฉินหลิว(ตันลิว) ท่ามกลางกลียุคอันมีต่งจวอเป็นปฐมเหตุ จางเหมียวกับเฉาเชาได้ร่วมกันก่อตั้งกองทัพธรรมขึ้นเพื่อต่อต้านอำนาจของต่งจวอ จางเหมียวยังได้ส่งแม่ทัพเว่ยจื่อเข้าร่วมรบเคียงข้างเฉาเชาในสมรภูมิแม่น้ำเปี้ยนสุ่ยอีกด้วย

คราวที่หยวนเส้าขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองทัพพันธมิตรได้แสดงกิริยาอาการเย่อหยิ่งยโสต่อแม่ทัพหัวเมืองอื่นๆ จางเหมียวจึงตำหนิหยวนเส้ากลางที่ประชุม หยวนเส้าบังเกิดความเคืองแค้นจึงสั่งให้เฉาเชาสังหารจางเหมียวเสีย เฉาเชาไม่ปฏิบัติตามบัญชากลับกล่าวแก่หยวนเส้าว่า “เมิ่งจั๋วนับเป็นสหายของพวกเรา จะดีชั่วยังควรรับฟังความเห็นของมันบ้าง บัดนี้ใต้หล้ายังไม่เป็นที่สงบเรียบร้อยจึงไม่บังควรประหัตประหารกันเสียเอง” เมื่อจางเหมียวทราบเรื่องนี้ก็ยิ่งให้ความเคารพเฉาเชาเป็นอย่างสูง ครั้งที่เฉาเชายาตราทัพเข้าทำสงครามกับเถาเชียน(โตเกี๋ยม) เขาเคยสั่งเสียกับครอบครัวว่าหากการไปของเขาครานี้ไม่อาจกลับมาได้ ให้ทั้งหมดอพยพไปอาศัยอยู่ด้วยจางเหมียว จนกระทั่งเฉาเชาเสร็จศึกกลับมาโดยปลอดภัย ทั้งสองเข้าพบกันด้วยน้ำตานองหน้า ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าทั้งสองมีความสนิทสนมกันเพียงไร

บัดนี้เมื่อหลวี่ปู้ตีจากหยวนเส้าไปขออาศัยอยู่ด้วยจางหยาง จำต้องผ่านเขตแดนของจางเหมียว ทั้งสองได้พบกันและก่อนอำลาต่างฝ่ายต่างกุมมือของอีกฝ่ายไว้ให้สัตย์สาบานในมิตรภาพต่อกัน ครั้นหยวนเส้าทราบเรื่องนี้ก็เกิดโทสะขึ้นเป็นอันมาก ในขณะที่จางเหมียวเองก็เกิดหวาดระแวงต่อเฉาเชาจึงตัดสินใจยกทัพเข้าตีดินแดนของเฉาเชาเพื่อประจบเอาใจหยวนเส้า

ซิงผิงศกปีที่หนึ่ง(ค.ศ.194) เฉาเชากรีฑาทัพเข้าตีเถาเชียนอีกครั้ง น้องชายของจางเหมียวนามจางเชาร่วมมือกับแม่ทัพเฉินกง(ตันก๋ง) ที่ปรึกษาของเฉาเชานามสวีซื่อและหวังเจี๋ย วางแผนการโค่นล้มอำนาจเฉาเชา เฉินกงให้คำแนะนำจางเหมียวว่า “กลียุคอันปั่นป่วนวุ่นวายในปัจจุบันก่อกำเนิดมวลหมู่วีรบุรุษ ท่านมีความสามารถครองใจมวลชน สร้างฐานะขึ้นเป็นผู้นำเหล่าผู้กล้า แต่เหตุไฉนบัดนี้ท่านยังมิอาจเผยอขึ้นทัดเทียมขุมกำลังอื่นเล่า ท่านมิบังเกิดความละอายใจบ้างหรือ? ตอนนี้กองกำลังประจำมณฑลล้วนเคลื่อนสู่บูรพาไปหมดสิ้นแล้ว ทิ้งไว้เพียงแนวหลังอันว่างเปล่าและเปราะบางยิ่ง หลวี่ปู้เป็นยอดนักรบผู้ชาญการณรงค์ หากท่านสามารถแบ่งปันอำนาจให้แก่หลวี่ปู้และร่วมกันปกครองมณฑลปิ้งโจว เยี่ยงนั้นท่านก็อาจสามารถรอสังเกตการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ในแผ่นดิน เมื่อโอกาสอันดีมาถึง ท่านค่อยนำทัพออกบุกพิชิต” จางเหมียวจึงถูกหว่านล้อมจนคล้อยตามด้วยแผนการในลักษณะนี้

เดิมทีเฉาเชามีบัญชาให้เฉินกงตั้งมั่นอยู่ที่เมืองตงจวิ้น แต่เฉินกงฉวยโอกาสนี้นำไพร่พลใต้สังกัดตนเคลื่อนสู่เบื้องบูรพา เชื้อเชิญหลวี่ปู้ให้ขึ้นเป็นผู้ว่าราชการมณฑลเยียนโจว ในขณะที่ตัวเฉินกงเองนำทัพเข้ายึดเมืองผู่หยาง(ปักเอี๋ยง) การณ์เป็นไปเยี่ยงนี้ส่งผลให้หัวเมืองส่วนใหญ่ของเฉาเชาแปรพักตร์ไปแทบหมดสิ้น เว้นแต่เมืองเจวียนเฉิง ตงอาและฝานเฉิงที่ยังคงตรึงสภาพขึ้นตรงแก่เฉาเชาต่อไป เฉาเชาเร่งนำทัพกลับในทันทีและได้ปะทะกับกองทัพหลวี่ปู้ที่เมืองผู่หยาง การศึกครั้งนั้นยืดเยื้อเป็นเวลากว่าหนึ่งร้อยวันและจบลงโดยที่เฉาเชาไม่อาจทำอันใดได้ ในปีนั้นเกิดพิบัติภัยแร้งฝูงตั๊กแตนลงโจมตีพืชผล ราษฎรไร้ทางเลือกนอกจากกัดกินเลือดเนื้อมนุษย์ด้วยกันแล้วก็ต้องอดตาย หลวี่ปู้จำต้องย้ายไปตั้งมั่นที่เมืองซานหยาง ณ เบื้องบูรพา หลังจากนั้นภายในระยะเวลาสองปีเฉาเชาสามารถตีเมืองต่างๆกลับคืนมาได้จนหมดสิ้นและปราบพิชิตหลวี่ปู้ลงได้ ณ ตำบลจวี่เยี่ย หลวี่ปู้จึงมุ่งสู่ตะวันออกขอพำนักอยู่ด้วยหลิวเป้ย(เล่าปี่) จางเหมียวก็ได้ติดตามหลวี่ปู้เดินทางไปด้วยโดยมอบหมายให้จางเชาผู้น้องอพยพครอบครัวไปอาศัยอยู่ที่ตำบลหย่งชิว เฉาเชาใช้เวลาหลายเดือนจนตีหักตำบลนั้นเป็นผลสำเร็จ จึงประหารจางเชาพร้อมฆ่าล้างตระกูลจางจนหมดสิ้น จางเหมียวเดินทางไปขอความช่วยเหลือจากหยวนซู่แต่ถูกปฏิเสธบอกปัด ก่อนที่จะถูกทหารของหยวนซู่สังหารในเวลาต่อมา

หลังจากนั้นไม่นาน ในระหว่างช่วงเวลาที่หลิวเป้ยยาตราทัพเข้าทำสงครามกับหยวนซู่ หลวี่ปู้พลันยกทัพตลบเข้าหักตีชิงเมืองเซี่ยพี้(แห้ฝือ) หลิวเป้ยจำต้องยกทัพกลับจนกลายสถานะไปเป็นบริวารของหลวี่ปู้เสียเอง หลวี่ปู้จึงยกตนเองขึ้นเป็นข้าหลวงประจำมณฑลสวีโจว(ชีจิ๋ว) ต่อมาหยวนซู่มีบัญชาให้แม่ทัพจี้หลิง(กิเหลง)นำไพร่พลจำนวนสามหมื่นนายประกอบไปด้วยพลทหารราบและทหารม้าเข้าตีหลิวเป้ย หลิวเป้ยไร้ทางเลือกอื่นใดจึงต้องขอความช่วยเหลือจากหลวี่ปู้เพื่อต้านทัพหยวนซู่ครานี้ บรรดาแม่ทัพนายกองของหลวี่ปู้พากันกล่าวว่า “เจียงจวิน(แม่ทัพ)ท่านต้องการสังหารหลิวเป้ยอยู่เสมอมา บัดนี้นับเป็นโอกาสอันประเสริฐที่จะยืมมือหยวนซู่สะสางเรื่องนี้แทนท่าน” หลวี่ปู้กล่าวตอบไปว่า “ไม่ได้ หากหยวนซู่พิชิตหลิวเป้ยลงเมื่อใด มันย่อมสามารถติดต่อกับกองกำลังต่างๆซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือของขุนเขาไท่ซานเป็นผลสำเร็จ เมื่อนั้นเราจักถูกโอบล้อมอย่างโดดเดี่ยวไปในทันใด หากต้องการหลีกเลี่ยงจากสภาพเยี่ยงนั้น เราจำต้องช่วยเหลือหลิวเป้ยสักครา” ดังนั้นหลวี่ปู้จึงนำพลทหารราบหนึ่งพันนายพร้อมทหารม้าสองร้อยนายเดินทางเข้าพบหลิวเป้ย เมื่อจี้หลิงทราบว่าหลวี่ปู้เดินทางมาด้วยตนเองจึงยั้งทัพไม่กล้าเคลื่อนพลเข้าโจมตี หลวี่ปู้ตั้งค่ายมั่นลง ณ เบื้องหรดีเขตเมืองเซี่ยวเพ่ย จากนั้นใช้คนนำสาสน์ไปเชิญแม่ทัพจี้หลิงเข้ามากินเลี้ยงภายในค่าย(อีกด้านหนึ่งก็ใช้คนไปเชิญหลิวเป้ยมาด้วย) ระหว่างงานเลี้ยงดำเนินไปนั้น หลวี่ปู้กล่าวแก่จี้หลิงว่า “หลิวเป้ยนั้นเปรียบเสมือนพี่น้องของข้าพเจ้า ท่านและนายเหนือของท่านทำการโอบล้อมเขาไว้เช่นนี้ ข้าพเจ้านอกจากช่วยเหลือเขาแล้วก็ไร้ซึ่งทางเลือกอื่นใดทั้งสิ้น แต่กระนั้นข้าพเจ้าก็หาใช่บุคคลจำพวกชมชอบใช้พลกำลังเข้าหักหาญชิงชัยแต่อย่างใดไม่ ตรงกันข้ามข้าพเจ้ากลับชมชอบทำหน้าที่เป็นคนกลางเชื่อมประสานความสัมพันธ์เพื่อยุติความขัดแย้งเสียมากกว่า” กล่าวจบคำ หลวี่ปู้ก็สั่งให้ทหารเฝ้าประตูนำทวนของเขาไปตั้งไว้ ณ ประตูค่ายแล้วกล่าวขึ้นอีกว่า “แม่ทัพทั้งหลายจงเป็นสักขีพยานดูข้าพเจ้ายิงลูกเกาทัณฑ์เสียบ ณ ปลายทวนเถิด หากข้าพเจ้ายิงเข้าเป้าหมายแล้วไซร้ ท่านจงถอนทัพกลับไป แต่หากข้าพเจ้ายิงพลาดเป้าผิดไป ท่านก็จงตั้งทัพต่อรบกันไปเถิด” หลวี่ปู้จึงง้างคันเกาทัณฑ์ปล่อยศรออกไปถูกเป้าหมายโดยไม่พลาดเป้า บรรดาแม่ทัพนายกองที่ประจักษ์เหตุการณ์นั้นต่างพากันตกตะลึงและร้องอุทานออกมาเป็นเสียงเดียว “ท่านแม่ทัพหลวี่ปู้มีความอาจหาญดุจฟ้าประทานมาอย่างแท้จริง” เมื่องานเลี้ยงเลิกราลง ทั้งสองฝ่ายต่างพากันถอนทัพกลับไป

หยวนซู่ปรารถนาผูกไมตรีกับหลวี่ปู้จึงสู่ขอบุตรีของหลวี่ปู้เพื่อเข้าพิธีสมรสกับบุตรชายของตน หลวี่ปู้ตกลงอนุญาต หยวนซู่จึงส่งทูตนามหานอิ้นเข้ามาแจ้งให้หลวี่ปู้ทราบถึงเรื่องที่ตนมีแผนสถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิ และขอให้หลวี่ปู้ส่งตัวบุตรีมาโดยพลัน

ขณะนั้นเฉินกุย(ตันกุ๋ย)เสนาบดีแห่งเมืองเพ่ยบังเกิดจิตกริ่งเกรงว่าหากหลวี่ปู้กับหยวนซู่เกี่ยวดองเป็นญาติกันเมื่อใด แดนสวีโจวกับหยางโจวต้องผนึกรวมเป็นพันธมิตรอันเข้มแข็งเมื่อนั้น ภัยพิบัติต้องเกิดขึ้นแก่แผ่นดินเป็นแน่แท้ ดังนั้นเขาจึงเข้าพบหลวี่ปู้แล้วกล่าวว่า “เฉาเฉิงเซี่ยง(สมุหนายกโจโฉ)ค้ำชูโอรสสวรรค์ ได้รับพระบัญชาให้บริหารราชการแผ่นดินทั้งปวง เขาจึงเป็นผู้มีคุณสมบัติบงการไปทั่วพิภพ อีกทั้งรูปการณ์มีแนวโน้มว่าอีกไม่ช้าเขาคงกำราบหัวเมืองทั้งปวงไปทั่วสี่ทิศทะเลเป็นแน่แท้ โอ ท่านเจียงจวินเหตุใดไม่หาหนทางผูกไมตรีกับเขาไว้เพื่อสันติสุขสถาพรดุจดั่งเขาไท่ซานเล่า บัดนี้หากท่านกลับยอมให้มีการสมรสด้วยหวังผูกมิตรกับหยวนซู่ ท่านย่อมถูกผู้คนทั้งแผ่นดินก่นด่าประณาม เมื่อนั้นเภทภัยร้ายแรงจักมาถึงท่านโดยเร็วเป็นมั่นคง”

โดยความสัตย์แล้วหลวี่ปู้ยังบังเกิดความเคืองแค้นหยวนซู่ที่ไม่ยอมรับการสวามิภักดิ์ของตนแต่แรกเริ่ม หลวี่ปู้จึงออกคำสั่งเรียกตัวบุตรีซึ่งอยู่ระหว่างการเดินทางกลับทันที ประกาศยกเลิกการแต่งงานรายนี้เสีย อีกทั้งยังให้ทหารคุมตัวหานอิ้นกลับมาด้วย แล้วประหารชีวิตเสียที่กลางตลาด

จากนั้นเฉินกุยจึงออกอุบายให้เฉินเติง(ตันเต๋ง)บุตรชายของเขาเดินทางเข้าพบเฉาเชาเพื่อรายงานว่าหลวี่ปู้ยกเลิกการส่งตัวบุตรีให้แก่หยวนซู่แล้ว ขณะนั้นได้มีทูตจากราชสำนักเดินทางมาอวยยศแต่งตั้งหลวี่ปู้ให้เป็นที่ “ซวอเจียงจวิน” (ขุนพลซ้าย) ทันที หลวี่ปู้ปลาบปลื้มปีติเป็นอันมากจึงให้เฉินเติงเดินทางเข้านครหลวงเพื่อถวายหนังสือแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ

ดังนั้นเฉินเติงจึงเข้าพบเฉาเชาแล้วรายงานว่า แม้หลวี่ปู้จะมีความห้าวหาญเป็นเลิศแต่ก็มีสติปัญญาอันจำกัด สามารถชักชวนให้คล้อยตามได้โดยง่ายดาย ทางที่ประเสริฐควรกำจัดหลวี่ปู้โดยเร็วที่สุด เฉาเชาจึงกล่าวตอบไปว่า “หลวี่ปู้เปรียบเสมือนลูกสุนัขป่า ดูไปแม้ไม่น่ามีพิษภัยใดแต่โดยส่วนลึกกลับแฝงไว้ด้วยความทะเยอทะยานอันแรงกล้า โดยสัตย์จริงเราก็ไม่คิดปล่อยให้มันอยู่รอดนานไป ท่านสมควรทำหน้าที่เป็นผู้สืบหยั่งข้อมูลภายในให้กับเรา” แล้วเฉาเชาก็เพิ่มบำเหน็จให้เฉินกุยได้รับข้าวเปลือกเป็นปีละสองพันสือ แต่งตั้งเฉินเติงเป็นผู้ว่าราชการเมืองกวงหลิง ก่อนจากลา เฉาเชาฉุดมือเฉินเติงไว้แล้วกล่าวว่า “บัดนี้เราได้ฝากฝังกิจการใหญ่เบื้องบูรพาไว้แก่ท่านเพียงผู้เดียวเท่านั้น” จากนั้นยังกำชับให้เฉินเติงลอบซ่องสุมผู้คนเป็นการลับเพื่อทำหน้าที่เป็นสายอยู่ภายใน

ก่อนหน้านั้นหลวี่ปู้ต้องการได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการมณฑลสวีโจวอย่างเป็นทางการ จึงได้สั่งให้เฉินเติงถ่ายทอดเจตนารมณ์ของเขาต่อเฉาเชา แต่เฉินเติงกลับมาโดยปราศจากประโยชน์สิ่งใดแก่หลวี่ปู้ หลวี่ปู้เกิดโทสะเป็นอย่างมากถึงกับคว้าอาวุธคู่มือขึ้นมาฟาดทำลายสิ่งของเพื่อระบายความโกรธแค้น หลวี่ปู้กล่าวกับเฉินเติงว่า “บิดาของเจ้าแนะนำให้เราผูกมิตรกับเฉาเชา ยกเลิกการหมั้นหมายระหว่างบุตรีเรากับบุตรกงลู่(ชื่อทางการของหยวนซู่) มาบัดนี้เจ้ากลับมาโดยปราศจากสิ่งใดแก่เรา ส่วนเจ้ากับบิดากลับดูเหมือนได้รับผลประโยชน์มากมายไม่น้อยอยู่ เรามั่นใจอย่างยิ่งว่าเจ้าต้องทรยศเราเป็นแน่แท้ จงบอกมาว่าเจ้าพูดสิ่งไรถึงเราต่อหน้าเฉาเชา”

เฉินเติงไม่สะทกสะท้านต่ออาการโกรธเกรี้ยวของหลวี่ปู้ เขาแสดงอาการทบทวนถึงสิ่งที่พูดกับเฉาเชาอย่างเยือกเย็นแล้วกล่าวว่า “เมื่อข้าพเจ้าได้เข้าพบเฉาเชา ข้าพเจ้าได้กล่าวไปว่า ‘การคบหลวี่ปู้ก็เหมือนการเลี้ยงพยัคฆ์ เมื่อได้กินเนื้อเข้าไปจนเต็มที่แล้วจึงอิ่ม หากเกิดหิวโหยขึ้นมาเพลาใด พยัคฆ์ย่อมต้องลุกขึ้นมากัดกินคนเมื่อนั้น’ จากนั้นเฉาเชาก็กล่าวตอบมาว่า ‘เรากลับคิดเห็นตรงกันข้าม หากจะเปรียบให้เหมาะควรเห็นว่าประดุจการเลี้ยงเหยี่ยว เหยี่ยวจะทำประโยชน์แก่ผู้เป็นนายก็ต่อเมื่อถึงเวลาที่มันหิว เมื่อมันกินจนอิ่มหนำแล้ว มันย่อมบินจากไปเอง’ ทั้งหมดที่ได้สนทนาไปมีเพียงนี้เท่านั้น” หลวี่ปู้ได้ฟังดังนั้นจึงค่อยคลายโทสะลง

ต่อมาไม่นาน หยวนซู่หมดความอดทนต่อพฤติการณ์ของหลวี่ปู้ จึงบัญชาแม่ทัพจางสวินร่วมกับหานเซียน(หันเซียม)หยางเฟิง(เอียวฮอง)นำทัพเข้าตีหลวี่ปู้ เมื่อหลวี่ปู้ทราบกิตติศัพท์กองทัพหยวนซู่ยกมาจึงถามเฉินกุยว่า “ทัพหยวนซู่ยกมาครานี้ ทั้งหมดเป็นเพราะท่านเพียงคนเดียว ท่านเห็นควรทำประการใดดี?”

เฉินกุยกล่าวตอบไปว่า “หานเซียน หยางเฟิงกับหยวนซู่แม้ยกทัพมาพร้อมกัน แต่ต้องไม่อาจร่วมมือกันได้อย่างยาวนานเป็นแน่แท้ เฉินเติงบุตรชายข้าพเจ้าคาดการณ์ไว้ว่าหานเซียน หยางเฟิงกับหยวนซู่เปรียบประดุจลูกไก่หลายตัวที่ถูกมัดรวมกันไว้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ไก่ทั้งหลายจะนั่งอยู่ในที่เดียวกันอย่างเป็นปรกติสุข เฉกเช่นดั่งพวกมันทั้งปวงต้องไม่อาจกระทำการร่วมกันได้เป็นอันขาด เยี่ยงนั้นสิ่งที่พวกเราต้องกระทำก็เพียงแค่หลอกล่อให้มันหวาดระแวงกันเอง เมื่อนั้นพวกมันต่างต้องแยกตัวสลายไปในที่สุด”

หลวี่ปู้เห็นชอบด้วยกับแผนการของเฉินกุย จึงส่งคนไปหว่านล้อมหานเซียนและหยางเฟิงให้ร่วมกันบุกตีทัพหยวนซู่ หากทั้งสองยอมกระทำตาม เมื่อสำเร็จการณ์แล้วทั้งสองจะได้เสบียงทั้งหมดของทัพหยวนซู่เป็นรางวัล หานเซียนกับหยางเฟิงตกลงด้วยหลวี่ปู้ ผลของการนี้ จางสวินจึงประสบความปราชัยย่อยยับ

เจี้ยนอันศกปีที่สาม หลวี่ปู้หักหลังเฉาเชาและหลิวเป้ยกลับไปเข้าด้วยหยวนซู่อีกครา หลวี่ปู้ส่งเกาซุ่น(โกซุ่น)ยกไปตีหลิวเป้ยที่เมืองเซี่ยวเพ่ย(เสียวพ่าย) หักเมืองเป็นผลสำเร็จ เฉาเชาส่งเซี่ยโหวตวุน(แฮหัวตุ้น)ยกไปช่วยหลิวเป้ยแต่ก็ประสบความปราชัยต่อเกาซุ่นเช่นกัน ดังนั้นเฉาเชาจึงตัดสินใจยกทัพไปปราบหลวี่ปู้ด้วยตนเอง เมื่อเฉาเชายกมาถึงหน้าเมืองของหลวี่ปู้ก็ส่งสาสน์เข้าไปถึงหลวี่ปู้บรรยายถึงผลประโยชน์มากมายซึ่งหลวี่ปู้อาจได้รับหากยอมจำนน หลวี่ปู้มีความคิดที่จะยอมจำนนขึ้นมาแต่เฉินกงสำนึกได้ถึงความผิดเก่าก่อนที่เขาเคยมีแก่เฉาเชาจึงห้ามหลวี่ปู้ไว้ หลวี่ปู้จึงส่งคนฝ่าออกไปหาหยวนซู่เพื่อขอให้หยวนซู่ส่งกองทัพมาช่วย ขณะเดียวกันหลวี่ปู้นำทัพม้ากว่าหนึ่งพันนายออกจากเมืองมาสู้รบ แต่ประสบความพ่ายแพ้จำต้องถอยกลับเข้าเมืองเป่าเฉิง ตั้งแต่นั้นมาเขาไม่กล้านำทัพออกมาสู้รบอีกเลย

หยวนซู่มิได้ส่งกองทัพมาช่วยหลวี่ปู้แต่อย่างใด แม้ว่าหลวี่ปู้เป็นนักรบอันฉกาจแต่เขาก็หาคิดแผนการอันใดได้ไม่ และเริ่มเกิดอาการหวาดระแวงต่อกิจการในกองทัพ แม้เขาจะยังคงไว้ใจบรรดาแม่ทัพของเขา กระนั้นแม่ทัพนายกองทั้งหลายก็เกิดความเห็นอันขัดแย้งกันขึ้น ก่อให้เกิดความคลางแคลงกันไปนานัปการ ผลจึงปรากฎว่าพวกเขาต่างประสบความปราชัยในสงครามที่ออกรบเป็นส่วนใหญ่ เมื่อถูกปิดล้อมจนถึงเดือนที่สาม ทหารทั้งหลายก็หมดใจที่จะสู้รบ แม่ทัพโหวเฉิง(เฮาเสง) ซ่งเซียน(ซงเหียน) เว่ยซวี(งุยซก)สมคบกันมัดตัวเฉินกงและนำกองกำลังของเฉินกงเดินทางไปสวามิภักดิ์ต่อเฉาเชา ในขณะที่หลวี่ปู้นำผู้ติดตามขึ้นหอไป๋เหมิน เมื่อถูกโอบล้อมอย่างแน่นหนา หลวี่ปู้จึงต้องยอมจำนนต่อเฉาเชา ตอนที่ถูกจับมัดหลวี่ปู้ร้องขึ้นว่า “เชือกนี้ผูกแน่นจนเกินไป คลายออกสักเล็กน้อยเถิด” *4

เฉาเชาจึงกล่าวตอบไปว่า “มัดเสือย่อมต้องมัดให้แน่นหนา”

ดังนั้นหลวี่ปู้จึงกล่าวต่อเฉาเชาอย่างนอบน้อมว่า “ข้าพเจ้าเป็นขุนศึกที่ท่านต้องเป็นกังวลอยู่เสมอมา บัดนี้ข้าพเจ้าประสงค์รับใช้ท่าน ท่านก็ปราศจากสิ่งใดให้กังวลอีกต่อไปแล้ว ท่านเฉิงเซี่ยงบงการไพร่พลทหารราบและให้ข้าพเจ้านำทัพอาชา เท่านี้ก็เพียงพอที่จะกำราบไปทั่วทั้งพิภพอย่างเกินพอ”

เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าเฉาเชาฉายแววลังเลใจขึ้น แต่หลิวเป้ยขัดขึ้นก่อนว่า “เฉิงเซี่ยงท่านคงไม่ลืมวาระสุดท้ายของติงหยวนกับต่งจวอกระมัง?”

เฉาเชาเห็นชอบตามหลิวเป้ย หลวี่ปู้ได้ยินดังนั้นจึงหันไปทางหลิวเป้ยแล้วกล่าวขึ้นว่า “เจ้ามันคนสับปลับที่สุดในโลก”

จากนั้นหลวี่ปู้ถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ ศีรษะของหลวี่ปู้ เฉินกง เกาซุ่นและแม่ทัพอื่นๆที่โดนประหารไปด้วยถูกส่งเข้านครหลวงสวี่ชาง(ฮูโต๋)และถูกฝังอยู่ที่นั่น

เมื่อเฉาเชาได้ตัวเฉินกง เขากล่าวถามเฉินกงว่าควรไว้ชีวิตมารดาและบุตรีของเฉินกงด้วยหรือไม่ เฉินกงกล่าวตอบไปว่า “ข้าพเจ้าเคยได้ยินมาว่าผู้นำที่ปกครองบ้านเมืองโดยเคารพหลักสืบสายโลหิตจักไม่สังหารบุพการีของนักโทษ ข้าพเจ้ายังเคยได้ยินมาว่าผู้นำที่กอปรด้วยคุณธรรมจักไม่สังหารผลาญตระกูลหรือทำอันตรายแก่บุตรหลานของนักโทษเลย ชะตากรรมของมารดาผู้เฒ่าไม่ได้อยู่ในมือข้าพเจ้า แต่ขึ้นอยู่กับท่าน”

หลังจากนั้นเฉาเชาจึงมีบัญชาให้ดูแลมารดาเฉินกงตามสมควรจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตนาง และจัดพิธีสมรสให้แก่บุตรีของเฉินกงด้วย


เชิงอรรถ


1) เหตุการณ์ที่หลวี่ปู้นับถือติงหยวนเป็นบิดาบุญธรรมไม่ปรากฎในประวัติศาสตร์ หลวี่ปู้เพียงเป็นผู้ใต้ับังคับบัญชาคนสนิทของติงหยวนเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากเนื้อหาในวรรณกรรมสามก๊กที่ว่าหลวี่ปู้นับถือติงหยวนเป็นบิดาบุญธรรม

2) แม้เตียวฉาน(เตียวเสี้ยน)จะไม่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ แต่อย่างไรก็ดีการที่หลวี่ปู้ผิดใจกับต่งจวอด้วยเรื่องสตรีนับว่ามีมูลเหตุบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เช่นกัน

3) จดหมายเหตุอิงสงจี้มีบันทึกเกี่ยวกับสงครามคราวพรรคพวกหลี่เจวี๋ยบุกตีนครฉางอันว่า หลวี่ปู้ยกทัพออกจากประตูเมือง ตั้งประจันกับกว๋อซื่อ(กุยกี) หลวี่ปู้กล่าวท้าขึ้นว่า "สองเราจงสั่งไพร่พลถอยกลับไป แล้วพิสูจน์ผลแพ้ชนะด้วยการดวลฝีมือกันเป็นไร" กว๋อซื่อรับคำท้า ทั้งคู่จึงดวลม้าพิสูจน์ฝีมือกัน กว๋อซื่อถูกหลวี่ปู้แทงตกม้า แต่โชคยังดีที่ผู้ติดตามขึ้นม้ามาช่วยชีวิตไว้ได้ทัน ทั้งสองฝ่ายจึงต่างถอนทัพกลับเข้าค่าย

4) มีจดหมายเหตุบันทึกไว้ว่า ก่อนหลวี่ปู้ขึ้นหอไป๋เหมินได้ออกคำสั่งให้ผู้ติดตามของเขาตัดศีรษะเขาไปมอบต่อเฉาเชาเพื่อเอารางวัล แต่ไม่มีผู้ใดกล้าทำเช่นนั้น หลวี่ปู้จึงขึ้นหอไป๋เหมิน เมื่อถูกล้อมอย่้างหนาแน่นจึงยอมจำนนต่อเฉาเชาในที่สุด


Create Date : 10 เมษายน 2554
Last Update : 13 เมษายน 2554 4:31:55 น. 3 comments
Counter : 1996 Pageviews.

 
เอาอีก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ


โดย: ลูกทุ่งคนยาก วันที่: 10 เมษายน 2554 เวลา:6:24:17 น.  

 
ช่วยพี่บิ๊กตรวจอักษรดีกว่า

บรรทัดที่ 3 จากท้าย

อยู่ในมือดข้าพเจ้า


โดย: พงษ์วิวัฒน์ IP: 223.207.165.189 วันที่: 10 เมษายน 2554 เวลา:13:02:42 น.  

 
ขอบคุณมากครับ ในที่สุดก็เสร็จสมบูรณ์พร้อมเชิงอรรถเสียที


โดย: ElClaSsicA วันที่: 10 เมษายน 2554 เวลา:21:02:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ElClaSsicA
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ElClaSsicA's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.