Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
10 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 
269 :: เด็กวัยขวบครึ่งถึงสองขวบ: ลักษณะเด็ก

() เด็กอายุสองขวบนั้น
ไม่ใช่เด็กทารกอีกต่อไปแล้ว
แกมีความเป็นตัวของตัวเองมากทีเดียว
สามารถยืนและเดินได้มั่นคงขึ้น
อาจจะหกล้มบ่อยๆแต่ก็พอวิ่งได้
ขึ้นลงบันได้เองก็ได้
หรือบางครั้งก็ปีนโต๊ะปีนเก้าอี้
แล้วกระโดดตุ้บลงมา รู้จักเตะบอล
รู้จักเรียงแท่งไม้ซ้อนกันขึ้นไปสัก5-6แท่ง
โดยไม่ล้ม
รู้จักใช้ปลายนิ้วได้ดีขึ้น
จนพลิกเปิดหนังสือทีละหน้าได้แล้ว

เด็กที่เคยพูดได้10คำตอบอายุขวบครึ่ง
เมื่อถึงสองขวบก็พอจะคุยกับผู้ใหญ่รู้เรื่อง
เช่น ได้ยินเสียงเด็กหญิงร้องไห้อยู่ข้างบ้าน
แกก็บอกว่า "กุนแม่..เก๋แงๆ"

ทดลองให้เด็กวัยนี้จับคู่สามเหลี่ยม
สี่เหลี่ยม และวงกลม แกก็ทำได้
เพลงโฆษณาทางโทรทัศน์ง่ายๆ
เด็กร้องชอบร้องเลียนแบบ
และมีอิทธิพลต่อเด็กมาก

"ตาวิเฉด..ตาวิเฉด..
อ๊ะ อ๊ะ อย่าทิ้งขยะ
ตาวิเฉดเห็นนะ"

อยากจะแสดงความขอบคุณ
ผู้ทำโฆษณาทางโทรทัศน์แบบนี้
จากใจจริง
งานรณรงค์ของท่าน
ซึ่งปลูกฝังอยู่ในตัวเด็กวันนี้
จะปรากฏผลในอีก10-20ปี
ข้างหน้าอย่างแน่นอน

เมื่อเด็กโตขึ้นแรงอาละวาดของแก
ก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว
เวลาอารมณ์ไม่ดี
เด็กบางคนล้มตัวลงนอน
ดิ้นพราดๆบนพื้น
บางคนก็ขว้างปาสิ่งของ

เวลามีเด็กวัยเดียวกันเข้ามาหา
แกจะแสดงความดีใจ
และชอบดูเด็กรุ่นโตกว่า
เล่นตามสนามหรือถนนใกล้บ้าน
อย่างไม่รู้จักเบื่อ

แต่พอจับเข้ากลุ่มเด็กวัยเดียวกัน
กลับเล่นด้วยกันไม่ได้
ความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
รุนแรงมาก
เมื่อเด็กอื่นมาจับของเล่นของตน
เจ้าหนูจะโกรธยื้อแย่ง
กลับมาคืนมาทันที ไม่ยอมให้ใครเล่น

ความสามารถในทางปัญญา
และในทางเคลื่อนไหวร่างกายของเด็ก
พัฒนาขึ้นจนใกล้จะเป็น
ปัจเจกบุคคลที่สมบูรณ์

อย่างไรก็ตามความรู้สึกติดพัน
แม่ของแกก็ยังแรงอยู่
เด็กที่ยังหย่านมแม่แม้แต่ในตอนกลางวัน
และถึงแม้ว่าจะเคยนอนเอง
ได้โดยไม่ต้องกล่อม
มาถึงตอนนี้มักจะดึงตัวแม่ให้อยู่ด้วย
ไม่ยอมนอนคนเดียว
ถ้าไม่สำเร็จแกก็กอดผ้าห่มหรือดูดผ้าห่ม
หรือไม่ก็ดูดนิ้วตนเองแทนจนกว่าจะหลับ

อาการพะว่าพะวงระหว่าง
ความเป็นตัวของตัวเองกับความติดแม่
เป็นลักษณะเด่น
ของเด็กวัยขวบครึ่งถึงสองขวบนี้

เพราะฉะนั้น หน้าที่ของแม่ในตอนนี้
คือสนับสนุนให้ลูกรู้จักพึ่งตนเอง
แต่ก็ยินยอมให้ลูกออดอ้อนบ้าง
ในระดับหนึ่ง
เพื่อปลอบใจแกไม่ให้เกิด
ความหวาดหวั่นสั่นกลัว

เป้าหมายของการเลี้ยงดูลูกในวัยนี้
คือปลูกฝังนิสัยให้แกดูแลตัวเอง
โดยมีแม่เป็นที่พึ่งคอยช่วยเหลือยามจำเป็น
แม่ควรพยายามให้ลูกมีโอกาส
คิดอะไรเอง ทำอะไรเอง
เมื่อเด็กทำได้สำเร็จก็เกิดความปิติยินดี
แต่ในการนี้ต้องป้องกันอุบัติเหตุไว้ล่วงหน้า
และให้ลูกหลาน
ทดสอบความสามารถของตน
หรือ "ผจญภัย" บ้าง
ปล่อยให้แกเดินหรือวิ่งด้วยตนเอง
เวลาหกล้มปล่อยให้ยืนหยัด
ลุกขึ้นมาเอง
ไม่จำเป็นต้องยื่นมือช่วยเหลือ
เพื่อสร้างจิตใจรู้จักพึ่งตนเองให้ลูก

แม่ซึ่งมีงานยุ่งและต้องการให้
งานทุกอย่างเสร็จโดยเร็ว
มักจะทนรอให้ลูกทำอะไรเองไม่ไหว
กว่าลูกจะถอดกางเกงและเปลี่ยนเสื้อผ้า
เสร็จก็เสียเวลานานมาก
จนแม่อดดูรายการละครโทรทัศน์
ที่กำลังติดตามอยู่

เวลาลูกกินข้าวแม่ก็ทนรอ
ให้ลูกตักกินเองไม่ได้
เพราะเลอะเทอะและเสียเวลา
ป้อนให้ดีกว่าเสร็จเร็วและสะอาดดีด้วย
ถ้วยน้ำห้ามลูกถือเด็ดขาด
เดี๋ยวทำหกเปียกเฉอะแฉะ
แม่ถือให้ลูกดื่มเอง
ถึงแม้เด็กจะเคยคิด
อยากทำอะไรด้วยตนเอง
แต่เมื่อแม่ทำให้เสียทุกอย่า
เช่นนี้ แกก็เลยคิดว่าสบายดี
ในที่สุดจึงไม่ยอมทำอะไรเอง
การกระทำของแม่กลายเป็น
การหยุดรั้งไม่ให้เด็กคิดพึ่งตนเอง
กลายเป็นลูกแหง่ติดแม่อยู่เรื่อยไป

แม่ไม่ควรเสียดายเวลา
ในการเลี้ยงดูลูก
เวลาเด็กอยากทำอะไรด้วยตนเอง
ควรสนับสนุนและยืนดูอยู่ข้างๆ
เมื่อลูกทำสำเร็จ
ก็ชมเชยให้กำลังใจ
เด็กอยากใช้ช้อนตักข้าวเอง
ก็ไม่ต้องกลัวหกเลอะ
เมื่อเด็กดื่มนมจากถ้วยได้เอง
ควรแสดงความยินดีด้วย
คอยให้กำลังใจว่า
"เก่งมาก อีกนิดเดียว
เกือบเสร็จแล้วจ้ะ" เป็นต้น

ไม่เพียงแต่ให้กำลังใจลูกเท่านั้น
แม่ต้องฝึกร่างกายของลูกให้แข็งแรง
และคล่องแคล่วว่องไว
จนทำอะไรด้วยตนเองได้ดีด้วย

เปิดโอกาสให้ลูกได้วิ่งเล่น
ออกกำลังกายในบริเวณกว้างๆเป็นดีที่สุด

นอกจากออกกำลังกายแล้ว
กำลังสมองก็ต้องฝึกด้วย
เด็กอายุขวบครึ่งขึ้นไป
ชอบถามซ้ำซากว่า"นี่อะไร"
เด็กรู้ว่าเมื่อถามคำถามนี้แล้ว
แม่จะหันมาพูดกับตน
เด็กจึงถามบ่อยๆ
และแม่ควรตอบคำถามของแกเสมอ
เด็กอยากคุยกับแม่และเรียนรู้สิ่งต่างๆ
จากบทสนทนากับแม่นี้เอง

แม่ไม่ควรตอบคำถามลูก
อย่างนักปราชญ์ผู้รอบรู้สารานุกรมทั้งชุด
แต่น่าจะตอบอย่างนักประพันธ์หรือกวี
ให้ลูกนำไปคิดเองด้วย

ลักษณะเด่นของแต่ละบุคคล
ปรากฏชัดตั้งแต่วัยนี้แล้ว
เด็กที่ชอบดนตรี
พอได้ยินเสียงเพลงจากวิทยุ
หรือโทรทัศน์เป็นหูกาง
โยกตัวตามทันที

เด็กที่ชอบวาดรูป
ขอให้มีกระดาษและดินสอหรือสีเทียนเถอะ
แกละเลงได้ไม่รู้เบื่อ

เด็กที่ชอบหนังสือแกจะนั่งดูหนังสือภาพ
อย่างดูดดดื่ม

พวกที่ชอบออกกำลัง
ก็จะกระโดดโลดเต้นทั้งวัน

พวกนายช่างเก่ากลับชาติมาเกิด
ก็จะรื้อของมาแกะสำรวจตรวจวิเคราะห์
บางทีก็หมุนหมุดโต๊ะ
เก้าอี้ ถอดออกมาดูหมด

การได้ทำไนสิ่งที่ตนชอบ
คือเวลาที่มีความสุขและสนุกที่สุด
พ่อแม่ควรช่วยลูกในเรื่องนี้
เด็กที่ชอบดนตรี
พ่อแม่ก็น่าจะร่วมร้องเพลงด้วย
ถ้าลูกชอบวาดรูปก็หากระดาษแผ่นใหญ่ๆให้
ลูกชอบหนังสือก็พาไปร้านหนังสือ
เลือกซื้อหนังสือภาพด้วยกัน
ลูกชอบออกกำลังก็ซื้อรถสามล้อเล็กให้
สำหรับนายช่างน้อยก็ซื้อของเล่น
ที่แกะได้ประกอบได้ให้ลูกเล่น

ระยะเวลานอนตอนกลางคืน
จะยาวหรือสั้นขึ้นอยู่กับความว่องไวของเด็ก
เด็กที่ซนมากมักจะนอนดึกและตื่นเช้า
เด็กที่มีนิสัยเงียบเฉยนั้น
นอนเร็วและนอนนาน

เวลานอนตอนกลางวันก็เช่นเดียวกัน
เด็กซนมากซนน้อย
เด็กซนน้อยจะนอนมาก
บางคนนอนนานกว่า 2 ชั่วโมง

ก่อนนอนตอนกลางคืน
ควรหัดให้เด็กเปลี่ยนชุดนอนเอง
โดยมีแม่ช่วยปลดและติดกระดุมให้เท่านั้น



ฟันของเด็กวัยนี้
นอกจากฟันหน้าบนล่าง
อย่างละ4ซี่แล้ว
ยังมีเขี้ยวและฟันกรามขึ้นแล้ว
รวมเป็น16ซี่

ก่อนนอนหัดให้ลูกแปรงฟันเอง
โดยมีแม่คอยดูแลให้สะอาดอีกครั้ง


อาหารของเด็กวัยนี้
ก็คืออาหารหลัก3มื้อ ขนม2มื้อ
และนม2-3ขวด

อาหารเช้าเด็กมักไม่ยอมกิน
บางคนกินแต่ขนมปังนิดหน่อยหรือไข่ต้ม
หรือนมขวดเดียวเท่านั้น

เด็กวัยนี้กินข้าวไม่มาก
แต่ละมื้อกินข้าวไม่ถึงหนึ่งชาม
เป็นส่วนใหญ่
บางคนรวม3มื้อแล้ว
ก็กินข้าวเพียงชามเล็กๆชามเดียว
แต่ถ้าเด็กกินปลา กินไข่ด้วยไม่เป็นไร
เด็กบางคนข้าวไม่ค่อยกิน
กับข้าวก็ไม่ค่อยกิน
กินแต่นมวันละ4-5ขวด
ถึงจะเป็นเช่นนี้ก็พอเพียง
สำหรับเด็กวัยขวบครึ่งถึงสองขวบ
ไม่มีปัญหาอะไรในอนาคต

เมื่อเด็กกินอาหารได้มากประเภทขึ้น
ชนิดของกับข้าวก็มากขึ้น
และเกิดปัญหา "เลือกกิน" ตามขึ้นมา

นิสัยเลือกกินคือ
ลักษณะเฉพาะตัวของเด็ก
ในเรื่องรสชาติเท่านั้นเอง
การที่เด็กชอบกินสิ่งที่ไม่ชอบกินสิ่งนั้น
ไม่น่าจะถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรง
แม่คอยดูแลให้ลูกได้
อาหารครบตามหลักโภชนาก็พอแล้ว

เรื่อง"กินน้อย"หรือ"เลือกกิน"
ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ
การฝึกให้เด็กวัยนี้รู้จักกินข้าวด้วยตัวเอง
สนับสนุนให้เด็กใช้ช้อนตักข้าว
ป้อนเข้าปากของตนเอง
ถือถ้วยดื่มนมหรือน้ำเอง

แม่ที่กลุ้มใจกับปัญหาลูกกินน้อยหรือเลือกกิน
การที่เด็กจับช้อนตักกินข้าวกินเองนั้น
เป็นการสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง
และจิตใจที่รัการพึ่งพาตนเอง
ซึ่งสำคัญต่อชีวิตของเด็กมากกว่า
ข้าวอีกครึ่งชามที่แม่ยัดเยียดให้เป็นไหนๆ

มีเด็กจำนวนไม่น้อยที่ไม่ชอบกินผัก
โดยเฉพาะผักสด
แทนที่จะบังคับให้ลูกกินผักสด
แม่ควรปรุงอาหารที่ลูกชอบ
โดยใส่ผักลงไปด้วย
เด็กจะยอมกิน
และค่อยๆชินกับรสชาติของผัก
และที่สำคัญที่สุดคือตัวพ่อแม่เองนั่นแหละ
ถ้าแม่ไม่ชอบกินผัก
เวลากินข้าวกับลูกแม่เขี่ยเอาผักออก
ในขณะที่ปากพร่ำบอกลูกว่า
"หนูต้องกินผักนะจะได้แข็งแรง"
เด็กทีไหนจะเชื่อฟัง

โยเกิร์ตช่วยเด็กที่ท้องผูกง่าย
ให้ขับถ่ายได้ดีขึ้น
และยังเหมาะสำหรับเด็กที่กินเก่ง
ข้าวก็กินเยอะ แถมยังดื่มนมวันละ4-5ขวด
ให้แกกินโยเกริ์ตแทนนมบ้าง
เป็นการช่วยลดความ"อ้วนฉุ"

การฝึกให้เด็กรู้จักนั่งกระโถนเองนั้น
เริ่มได้แล้วในวัยนี้
แต่อย่าใจร้อนเพราะเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับ
นิสัยของเด็ก

อย่างไรก็ตาม
เด็กทุกคนจะทำได้เองไม่ร็วก็ช้า
การขับถ่ายเป็นเรื่องที่เด็กต้องช่วยตัวเอง
จึงเป็นการสร้างจิตใจ
รักการพึ่งพาตนเองอย่างหนึ่ง
ถ้าแม่ขยันจับลูกนั่งกระโถน
เด็กคงคิดพึ่งแม่เรื่อยไป
หรือถ้าแกเป็นคนรักความอิสระมาก
ก็จะต่อต้านแม่ทุกครั้ง

เด็กวัยนี้บางคน
บอกฉี่ได้แล้วในตอนกลางวัน
แต่ตอนกลางคืนมีน้อยคนจะบอกได้

เมื่อเด็กโตขึ้นและออกไป
เล่นกับเพื่อนๆนอกบ้านบ่อยมากขึ้น
หรือมีเด็กอื่นๆมาเล่นด้วยในบ้าน
โอกาสที่จะติดโรคติดต่อต่างๆ
เช่นหัด หัดเยอรมัน
อีสุกอีใส คางทูม ฯลฯ มีมากขึ้น

สำหรับหัด หัดเยอรมันและคางทูมนั้น
ฉีดวัคซีนป้องกันไว้ก่อนได้
โดยฉีดรวมกันเข็มเดียว
(ตามปกติหมอจะนัดฉีดตอนอายุ1ขวบ)

สำหรับวัยขวบครึ่งนี้
เด็กจะต้องฉีดวัคซีนป้องกัน
คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก
รวมทั้งการกินวัคซีนป้องกันโปลิโออีกครั้ง
เป็นการกระตุ้น
อย่างไรก็ตาม
โรคที่เด็กวัยนี้เป็นมากทีสุดก็คือ
โรคหวัดจากเชื้อไวรัสแชมป์ตลอดกาลนั่นเอง
ที่มาของสาระดีๆ ขอขอบคุณ


Create Date : 10 สิงหาคม 2553
Last Update : 10 สิงหาคม 2553 16:14:28 น. 0 comments
Counter : 407 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

หนูเหนือ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add หนูเหนือ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.