|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ผู้ผูกขาด คุณธรรมจริยธรรม
มองมุมใหม่ : ผู้ผูกขาด คุณธรรมจริยธรรม
วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2549 รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ลักษณะสำคัญข้อหนึ่งของการขับไล่นายกรัฐมนตรีในวันนี้คือ การเข้าร่วมอย่างค่อนข้างกว้างขวางของปัญญาชน นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัยบางส่วนและราษฎรอาวุโส
หากนำเอาสถานการณ์ในวันนี้ไปเทียบกับเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 ก็จะเห็นมุมมองเชิงประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจและขบขันยิ่ง เพราะพฤษภาคม 2535 เป็นการเคลื่อนไหวของปัญญาชนเพื่อขับไล่นายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่มาจากการสืบทอดอำนาจรัฐประหาร และยังเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญว่า นายกฯต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งก็คือ ต้องมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น เพื่อมิให้อำนาจนอกระบบเข้ามาแทรกแซงรัฐสภาและรัฐบาลได้อีกต่อไป
แต่วันนี้กลับตรงข้าม ปัญญาชนในเมืองบางส่วนกำลังเคลื่อนไหวขับไล่นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่เอาเลือกตั้ง 2 เมษายน แต่ร้องขอ นายกฯพระราชทาน แทน ที่น่าสนใจคือ คนที่เรียกร้องส่วนหนึ่งก็เป็นกลุ่มเดียวกับที่เคยต่อสู้เมื่อพฤษภาคม 2535 มาแล้ว การสลับขั้วของปัญญาชนในสองยุคสมัย อธิบายได้จากบริบทเศรษฐกิจการเมืองและจากลักษณะเฉพาะทางความคิดกับสถานะทางสังคมของปัญญาชนเอง
การเคลื่อนไหวเมื่อพฤษภาคม 2535 เป็นการต่อสู้เพื่อขจัดอำนาจระบบราชการและทหารให้ออกไปจากการเมือง เพื่อให้ประเทศไทยก้าวหน้าต่อไปเป็นเสรีประชาธิปไตยเยี่ยงบรรดาประเทศที่เจริญแล้ว จึงมีลักษณะก้าวหน้า แต่ความขัดแย้งหลักในวันนี้ ไม่ใช่เรื่องการขจัดอำนาจนอกประชาธิปไตย หากเป็นการต่อสู้ระหว่างรัฐบาลที่ต้องการผลักดันเศรษฐกิจสังคมไทยไปตามแนวทางทุนนิยมโลกาภิวัตน์ กับกลุ่มต่อต้านโลกาภิวัตน์ที่ต้องการดึงประเทศไทยให้ถอยหลังไปเป็นทุนนิยมด้อยพัฒนาตลอดกาล
ปัญญาชน นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัยบางส่วนและราษฎรอาวุโส โดยเนื้อแท้แล้วเป็นอนุรักษนิยม ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง เกลียดชังอารยธรรมตะวันตก ไม่เข้าใจและไม่เอาโลกาภิวัตน์ พวกเขาจึงไม่พึงประสงค์รัฐบาลไทยรักไทยมาแต่ไหนแต่ไร
พวกเขาใช้สถานะของตนที่สังคมเชื่อว่า มีความรู้ มีคุณธรรมจริยธรรม และไม่มีผลประโยชน์เบื้องหลัง มาเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกด้วยเหตุผล ขาดจริยธรรม หมดความชอบธรรม แม้นายกฯจะได้ผ่านการเลือกตั้งมาอย่างถูกต้องตามรัฐธรรมนูญก็ตาม พวกเขาโกรธแค้นเพราะเห็นว่า ผู้นำได้ใช้อำนาจในหน้าที่ไป แอบประกอบธุรกิจ ขายทรัพย์สินได้กำไรมหาศาล แล้วใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเลี่ยงการจ่ายภาษีนับหมื่นล้านบาท
ความโกรธเคืองเรื่องการเลี่ยงภาษีอย่างถูกกฎหมายยังพอจะเข้าใจได้ เพราะแม้ว่านักธุรกิจทั่วโลกจะทำกันเป็นปกติ แต่นายกรัฐมนตรีเป็นนักการเมืองและเป็นผู้นำของประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่นักธุรกิจอีกต่อไปแล้ว การกระทำดังกล่าวถึงไม่ผิดกฎหมาย ก็ไม่เหมาะสม
ถึงกระนั้น ต่อให้ข้อกล่าวหาว่า ใช้อำนาจแอบประกอบธุรกิจ มีมูลความจริง รวมทั้งพฤติการณ์เลี่ยงภาษีที่ไม่เหมาะสม แต่การเรียกร้องว่า ต้องลาออกเพราะขาดจริยธรรมและไม่มีความชอบธรรม ไม่เอาการเลือกตั้ง เอานายกฯพระราชทาน ก็ไม่ใช่ข้อสรุปที่ถูกต้อง แต่เป็นการทำลายประชาธิปไตย ฉีกรัฐธรรมนูญ เอาอำนาจจารีตนิยมหวนกลับคืนมา ทำให้การเมืองไทยถอยหลังไปสามสิบปี ถึงปี 2516 แต่ที่น่าสนใจคือ ข้อเรียกร้องดังกล่าวยังสะท้อนถึงอัตตาตัวตนของปัญญาชนกลุ่มนี้ได้อย่างชัดแจ้ง
พวกเขาอยู่ในสถานะของผู้ผูกขาดวิชาความรู้และวางตัวเป็นบรรทัดฐานทางคุณธรรม จริยธรรมของสังคม บางคนเชื่อมั่นในระดับคุณธรรมจริยธรรมของตัวเองอย่างยิ่งยวด ถึงขั้นกลายเป็นผู้ผูกขาดจริยธรรมและความชอบธรรม เราจึงได้เห็นนักวิชาการอาจารย์มหาวิทยาลัยบางคนและราษฎรอาวุโสทำตัวเป็น ผู้พิพากษา นั่งอยู่บนบันไดจริยธรรมขั้นสูงสุด พร่ำบ่นคำว่า จริยธรรม คอยชี้นิ้วลงมาตัดสินชี้ขาดระดับคุณธรรมจริยธรรมของคนอื่น
แต่ความจริงแล้ว ในสังคมแวดวงวิชาการ ก็มิได้ขาวสะอาด เต็มไปด้วยคุณธรรมจริยธรรมสูงส่งเป็นพิเศษ หากเป็นแวดวงสังคมที่มีการเล่นพรรคเล่นพวก เส้นสายโยงใย ผลประโยชน์ทับซ้อนและความไม่โปร่งใสเช่นเดียวกับแวดวงอื่นในสังคมไทย และในบางกรณี คนที่ร้องตะโกนเรื่อง คุณธรรมจริยธรรม ดังที่สุด กลับมีความไม่โปร่งใสซับซ้อนมากที่สุดด้วย
นักวิชาการอาจารย์มหาวิทยาลัยและราษฎรอาวุโสบางคนพูดถึง คนจน ชนชั้นล่าง ศึกษาและพูดเรื่องความยากจนและการพัฒนามาตลอดชีวิต แต่แทบไม่เคยสัมผัสกับคนจนและความยากจนที่แท้จริง อยู่แต่บนหอคอยงาช้างอันสุขสบายเพียบพร้อมไปด้วยอภิสิทธิ์และความมั่นคงในชีวิต ห่างไกลจากกลิ่นอายขี้ดินและสาบโคลนของความจน
พวกเขาดูถูกดูแคลนชนชั้นล่างทั้งในเมืองและชนบทที่ให้การสนับสนุนผู้นำรัฐบาลอย่างเข้มแข็งล้นหลามในขณะนี้ว่า "ไม่มีการศึกษา" "ถูกหลอก" "ถูกซื้อด้วยเงินเอื้ออาทร" พวกเขาโทษชนชั้นล่างตลอดมาว่า ในการเลือกตั้งทุกครั้ง ชนชั้นล่างเอาแต่ "ประโยชน์ส่วนตนเฉพาะหน้า" "ขายสิทธิขายเสียงให้นักการเมือง" ทำให้สภาเต็มไปด้วยนักการเมืองฉ้อฉล
พวกเขาจึงไม่เอาระบอบประชาธิปไตยเต็มรูปและรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะให้สิทธิให้เสียงประชาชนชั้นล่าง หนึ่งคนหนึ่งเสียง เท่ากับพวกตน แล้วไปลงคะแนนเลือก กลุ่มก๊วนนักการเมือง เข้ามาเต็มสภา ยกมือสนับสนุนนายกฯคนปัจจุบัน พวกเขาจึงต้องการไล่ผู้นำรัฐบาล ไม่เอาการเลือกตั้ง ขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน ซึ่งก็คือฉีกรัฐธรรมนูญและทำลายประชาธิปไตย แต่ยังกลัวเสียภาพพจน์ จริยธรรม จึงต้องไถลไปอ้างมาตรา 7 ว่า นายกฯพระราชทานมีได้ตามรัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่ทำไม่ได้ ขัดรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นประชาธิปไตย และถอยหลังเข้าคลอง
หนทางนั้นยาวไกล ขบวนรถโลกาภิวัตน์และประชาธิปไตยพุ่งไปเร็วจนบางคนที่มีสถานภาพสูงและได้ประโยชน์มายาวนาน วิ่งตามไม่ทันตกขบวน แล้วยังก่นด่าให้ขบวนรถถอยหลังกลับ ... เสียงเพลงเพื่อชีวิตแว่วมา ... ผู้ปกครองต่างมาแล้วสาบสูญ ไม่มีใครล้ำเลิศน่าเทิดทูน ประชาชนสมบูรณ์นิรันดร์ไป ...
Create Date : 04 สิงหาคม 2549 |
Last Update : 4 สิงหาคม 2549 22:12:06 น. |
|
0 comments
|
Counter : 238 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|