กองทุนดัชนี อีกหนึ่งทางเลือกในการลงทุน
ดุลยทัศน์ พืชมงคล
กองทุนดัชนี นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่นักลงทุนกำลังให้ความสนใจแพร่หลายอยู่ในขณะนี้
เพราะจากผลประกอบการกองทุนในรอบปี 2548 ที่ผ่านมา กองทุนดัชนีทั้งหมดที่มีอยู่ในท้องตลาดต่างก็มีผลประกอบการที่เหนือกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์กันถ้วนหน้า ซึ่งนับเป็นผลประกอบการที่สามารถดึงดูดใจนักลงทุนแม้ในภาวะอัตราดอกเบี้ยสูงได้เป็นอย่างดี
จากผลประกอบการกองทุนรวมในปีที่ผ่านมาระบุว่า ปัจจุบันกองทุนหุ้นที่เป็นกองทุนดัชนีในระบบกองทุนรวมมีอยู่ทั้งสิ้น 11 กองทุน และมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารรวม ณ สิ้นปี 2548 อยู่ที่ 8,742 ล้านบาท ซึ่งมี บลจ.ทหารไทยเป็นผู้ครองส่วนแบ่งการตลาดมากเป็นอันดับหนึ่งที่ 65.58% และ กองทุนเปิดทหารไทย SET50" ซึ่งเป็นกองทุนของ บลจ.ทหารไทย เองที่เป็นกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดถึง 13.32%
ทั้งนี้ ภาพรวมของกองทุนดัชนีนั้น มีกองทุนที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุดยู่ที่ 9.52% ในขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) และดัชนี SET50 Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นในระดับที่ต่ำกว่าที่ บวก 6.83% และ 7.29% ตามลำดับ
แม้กองทุนดัชนีจะเป็นกองทุนที่ลงทุนสอดคล้องไปกับดัชนี (Index Investing) ของตลาด โดยใช้ SET50, SET 100 หรือ SET INDEX เป็นดัชนีอ้างอิง และมีนโยบายการลงทุนที่ลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี SET เป็นหลัก เพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับดัชนีให้มากที่สุด
แต่อย่างไรก็ดี การใช้เกณฑ์มาตราฐานที่ใกล้เคียงจำนวนหลักทรัพย์ของกองทุนดัชนีนั้น ไม่ได้หมายความว่าบริษัทผู้จัดการกองทุนดังนี้จะต้องลงทุนตามจำนวนหุ้นทุกตัวเสมอไป
กรณีอย่างเช่นกองทุน SET100 หรือ SET INDEX ซึ่งมีจำนวนหลักทรัพย์ที่มากและบางหลักทรัพย์มีสภาพคล่องต่ำหรือมีผลประกอบการที่ยังไม่เป็นที่น่าพอใจสำหรับการลงทุนนั้น บริษัทจัดการกองทุนหรือผู้จัดการกองทุนอาจไม่จำเป็นต้องลงทุนในหลักทรัพย์ให้ครบถ้วนทั้ง 100 หลักทรัพย์หรือทั้งหมด แต่สามารถที่จะใช้หลักคณิตศาสตร์ในการคำนวณเลือกหลักทรัพย์บางส่วนขึ้นมาเป็นตัวแทนในการลงทุนที่ใกล้เคียงกับดัชนีให้มากที่สุดได้ และผลการตัดสินใจเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ต่างๆของผู้บริหารกองทุนแต่ละกองทุนนี้เอง ที่เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผลตอบแทนจากการบริหารจัดการของกองทุนต่างๆแม้จะใกล้เคียง แต่ก็มีความแตกต่างกัน
นอกจากนี้ เนื่องจากกองทุนดัชนีเป็นการบริหารเชิงรับหรือ Passive Management Strategy ซึ่งหมายถึงการบริหารกองทุนจะตัดสินใจภายใต้เกณฑ์ของดัชนีเป็นหลักมากกว่าการจัดการในเชิงรุกเหมือนกองทุนหุ้นอื่นที่ต้องอาศัยการบริหารจัดการที่เคลื่อนไหวตลอดเวลา
ตัวอย่างเช่น ในขณะที่กองทุนหุ้นโดยทั่วไปในกรณีที่ภาวะหุ้นที่ถือมีความไม่แน่นอนหรือราคาตก ผู้จัดการกองทุนจะเป็นผู้ตัดสินใจในการปรับพอร์ตการลงทุนเช่นขายหุ้นที่มีปัญหาออกไปหรืออาจลดสัดส่วนในการถือหลักทรัพย์มาถือเป็นตราสารอื่นที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าในภาวะการณ์นั้นๆ เพื่อป้องกันความเสี่ยงให้กับกองทุนและผู้ลงทุนได้ แต่สำหรับกองทุนดัชนีไม่ว่าจะในกรณีที่หุ้นขึ้นหรือปรับตัวลดลง ผู้จัดการกองทุนก็ยังจะต้องบริหารจัดการโดยยึดเกณฑ์ดัชนีต่อไปตามนโยบายของกองทุน ในกรณีดังกล่าวจึงเป็นข้อแตกต่างสำคัญระหว่างกองทุนดัชนีกับกองทุนประเภทอื่นๆ
ดังนั้น ผู้ลงทุนในกองทุนประเภทดัชนี นอกจากจะต้องยอมรับความผันผวนของผลประกอบการได้สูงแล้ว ยังจะควรเป็นนักลงทุนที่มีความสนใจที่จะติดตามความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของกองทุนอย่างใกล้ชิดในระดับหนึ่ง เพื่อที่จะสามารถตัดสินใจปรับพอร์ตการลงทุนด้วยตัวเองได้ในบางกรณี ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้แล้วก็เชื่อได้ว่าการลงทุนในกองทุนดังชีจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้กับผู้ลงทุนได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ต้องไม่ลืมว่าการลงทุนนั้นมีความเสี่ยง จึงสมควรที่จะลงทุนด้วยความระมัดระวังและศึกษาข้อมูลโดยละเอียดก่อนการลงทุนอยู่เสมอ.
Create Date : 07 พฤศจิกายน 2550 |
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2550 20:22:50 น. |
|
1 comments
|
Counter : 491 Pageviews. |
|
|
|