|
|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
3 มกราคม 2554
|
|
|
|
[SPOILER!!!] World Embryo ตอนที่ 43 - ช่วงเวลา 7 วันของอากาซึมะ ยูอิ -
กลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากห่างหายไปเกือบเดือนเต็มๆ นะครับ
ขึ้นชื่อตอนแบบนี้คงรู้กันแล้วว่าเนื้อเรื่องในตอนนี้แพนกล้องไปหาใคร ซึ่งใจจริงแล้วผมอยากรู้เรื่องของทางริคุ สำนักงานใหญ่ กับหน่วยย่อยของ F.L.A.G. มากกว่า อย่างไรก็ตาม ก็ต้องยอมรับว่าเนื้อเรื่องของส่วนยูอินั้นเป็นส่วนสำคัญที่เป็นจุดเริ่มต้น ของเรื่องในช่วง 2 - 3 ตอนที่ผ่านมาทั้งหมด ดังนั้นถ้าไม่เปิดเผยเรื่องเลย ก็คงไม่สามารถดำเนินเรื่องในส่วนอื่นต่อไปได้
ว่าแล้วก็เชิญชม Spoil แบบเดือนนึงออกครั้งของ World Embryo ได้เลยครับ
เปิด ตอนมาต่อจากตอนที่แล้วที่ริคุได้รับเมล์ของยูอิที่เรน่าฟอร์เวิร์ดมาให้จาก เครื่องของโคมากิ เนื้อหาในเมล์ทำให้ริคุสับสนไปหมดว่าในช่วงเวลา 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกับยูอิกันแน่ ยังมีเรื่องอะไรที่เขาไม่รู้อยู่อีกงั้นหรือ
------------------------------------------------------------------------
ตัดฉากย้อนอดีตไปยังเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อน ณ วันที่ริคุเจอกับยูอิเป็นครั้งสุดท้าย แม้ยูอิจะยอมเลิกติดตามริคุไปไหนต่อไหนแต่โดยดี (ตามที่ริคุวางแผนไว้) แต่หลังจากแยกกันในวันนั้น ยูอิกลับรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดของริคุที่บอกว่า "กลับไปสู่โลกอันอ่อนโยนของเธอเถอะ" อย่างน่าประหลาด
เพราะสำหรับยูอินั้น "โลกอันอ่อนโยน" ที่ริคุพูดถึงไม่เหลือที่อยู่ใดๆ อีกต่อไปแล้ว
ทั้งโลกอินเตอร์เน็ตที่เต็มไปด้วยคอมเมนต์น่าโมโห...
ทั้งบ้านสกปรกที่มีแต่พ่อน่าเบื่อไม่เคยสนใจใยดีครอบครัว...
ด้วยเหตุนี้ คำพูดของริคุที่มีเจตนาจะกันไม่ให้ยูอิเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องของคังชุ หรือเรื่องของเนเน่จึงกลับให้ผลตรงกันข้าม คืนวันเดียวกับที่แยกจากริคุนั้นเอง ยูอิซึ่งหงุดหงิดกับเรื่องต่างๆ จนทนไม่ไหวก็แอบออกจากบ้านกลางดึก ตรงไปยังกองทีวีขนาดใหญ่กองหนึ่งซึ่งริคุเคยพาเธอมาสำรวจแล้ว หวังอย่างลมๆ แล้งๆ ว่าถ้าเข้าไปอาจจะพบเบาะแสอะไรซักอย่างที่พอจะเป็นประโยชน์ในการตามหาตัวทา คาโอะบ้างก็เป็นได้ (แน่นอนว่ายูอิไม่รู้ตัวเลยซักนิดว่าตัวเองกำลังถูกคนของ F.L.A.G. จับตามองอยู่ และจะกลายมาเป็นสาเหตุให้ริคุกับคนรอบตัวต้องเดือดร้อนสาหัสในภายหลัง)
เดินหาได้พักหนึ่ง ครั้นไม่พบอะไรในกอไผ่ ยูอิก็ตีหน้าปลงตกแล้วทำท่าจะหันหลังกลับ
ตอนนั้นเองที่ยูอิเหลือบไปเห็นรอยเปื้อนแดงๆ อยู่บนพื้นจึงเข้าไปดู แล้วก็พบว่านั่นเป็นรอยหยดเลือด ไม่ใช่แค่รอยเดียวแต่มีหลายรอยทอดยาวไปตามทางเดิน ยูอิใจเต้นระทึกกับเบาะแสที่ไม่คาดฝันว่าจะเจอ และตัดสินใจเดินตามรอยเลือดนั้นไป
รอยเลือดพายูอิไปยังห้องห้องหนึ่ง เป็นห้องขนาดใหญ่โล่งๆ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรอยู่เลย นอกจากเบาะสำหรับปูนอนใบหนึ่ง ข้างหน้าต่างที่ปิดม่านจนทึบมีกล้องติดขาตั้งกับเลนส์สำหรับถ่ายภาพระยะไกล ตั้งอยู่ตัวหนึ่ง ปลายเลนส์ที่ยาวเฟื้อยเกือบหนึ่งไม้บรรทัดนั้นโผล่ออกไปตรงรอยต่อระหว่าง ม่านอย่างพอดิบพอดี ข้างๆ ที่ตั้งกล้องมีอุปกรณ์บางอย่างลักษณะคล้ายเครื่องรับส่งสัญญาณวิทยุตั้งอยู่ รอบเบาะปูนอนมีของใช้จิปาถะจำพวกหนังสือ กล่องใส่ข้าวของสองสามกล่อง ถุงพลาสติกร้านสะดวกซื้อ และกล่องอาหารสำเร็จรูปจำพวกข้าวกล่องอีซี่โกและบะหมี่กระป๋องที่กินหมดแล้ว วางอยู่ระเกะระกะ
แว่บแรก ยูอินึกว่าเป็นที่อยู่ของพวกคนจรจัด แต่ก็ลบความคิดนั้นทิ้งไปทันที เมื่อหันไปเห็นของอีกอย่างในห้อง
มันคือดาบซามูไรเล่มยาวใส่ฝักเรียบร้อยวางพิงอยู่กับมุมห้องด้านหนึ่ง ยูอิดีใจมากเพราะรู้ว่านั่นเป็นอาวุธประจำตัวของพี่เทพทาคาโอะ รีบตรงเข้าไปหยิบดาบนั้นขึ้นมาดูทันที
"ในที่สุดก็เจอแล้ว" ยูอิพึมพำ ความตื่นเต้นระคนยินดีซาบซ่านเต็มสมอง
วินาทีนั้นเองที่ยูอิได้ยินเสียงกุกกักคล้ายคนกำลังเคลื่อนไหว เด็กสาวหันกลับไปมอง และพบว่าเจ้าของเสียงนั้นคือ...
ได้มาเจอเทพบุตรในดวงใจซึ่งๆ หน้าแบบนี้ เล่นเอายูอิถึงกับพูดอะไรไม่ออก เธอพยายามแนะนำตัวว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้ของพี่เทพ แต่กลับทำได้แค่ตะกุกตะกักไม่เป็นภาษาเท่านั้น
ฝ่ายพี่เทพกลับไม่ สนใจอีร้าค่าอีรมใดๆ ปราดเข้าคว้าคอยูอิกดลงกับพื้น มือขวาชักดาบพรวดออกมาจ่อคอไว้แล้วตะคอกถามว่าเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่ ใช่พวก F.L.A.G. หรือเปล่า กิริยาดุร้ายของพี่เทพทำเอายูอิกลัวลนลานจนตอบอะไรไม่ออก ได้แต่คิดว่าตัวเองคงโดนฆ่าจริงๆ แล้วแน่
แต่แล้วอยู่ดีๆ พี่เทพก็กลับเบิกตาค้างเหมือนถูกผีหลอก พึมพำออกมาคำเดียวว่า "...จูริ..." แล้วก็ล้มปังลงทับร่างยูอิเหมือนตุ๊กตาหมดลาน ยูอิตกใจมาก รีบขยับออกห่าง เลยสังเกตเห็นว่าที่หลังตรงสีข้างขวาของพี่เทพมีแผลใหญ่เลือดอาบเต็มหลัง
-------------------------------------------------------
ฉากตัดอีกครั้ง กลายเป็นภาพความฝันของพี่เทพทาคาโอะในเหตุการณ์ช่วงปลายของ "พิธีปิดภาคการศึกษานองเลือด" โดยหลังจากฆ่าทั้งนักเรียนและผู้เกี่ยวข้องกับโรงเรียนดังกล่าวไปหลายศพแล้ว พี่เทพก็ยืนกุมดาบนิ่งอยู่กลางโรงยิมที่กลายเป็นทุ่งสังหารนั้น
จู่ๆ โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าก็ดังขึ้น พี่เทพกดรับ
"รู้สึกยังไงบ้างล่ะ หืมม์ 'มิชิม่า ทาคาโอะ' คุง" เสียงใครคนหนึ่งดังมาตามสาย
"...แกหลอกชั้นเรอะ" พี่เทพถามกลับ
"...สุดท้ายก็คงงั้นล่ะมั้ง" อีกฝ่ายตอบกลับ น้ำเสียงยียวนกวนบาทาเป็นที่สุด "ชั้นทำให้นาย 'ตาย' ไป ณ ที่นี้แล้ว อ๊ะ แต่ไม่ต้องห่วง ไม่ได้ตายตามความหมายตัวอักษรหรอก"
พี่เทพไม่มีทีท่าใดๆ กับคำพูดของคู่สาย เขาเดินสโลสเลไร้วิญญาณเหมือนหุ่นกระบอกตรงไปยังประตูโรงยิม นักเรียนบางคนที่อยู่แถวนั้นหวีดร้องแล้วลนลานตะเกียกตะกายหนีเป็นแถบๆ แต่พี่เทพไม่สนใจ ผลักประตูโรงยิมเดินออกไปหน้าตาเฉย
ภาพที่เขาเห็น คือกองทัพตำรวจหลายสิบคนออกันอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียน แต่ละคนสวมหมวกถือโล่กระบองสำหรับปราบจลาจลครบมือ ด้านหลังแนวป้องกันของตำรวจคือขบวนรถถ่ายทอดสดของสถานีโทรทัศน์ต่างๆ นักข่าวอีกนับสิบที่ถูกตำรวจกั้นไว้หลังรั้วโรงเรียน ยังไม่นับเฮลิคอปเตอร์ของสถานีโทรทัศน์แห่งใดแห่งหนึ่งที่พัดปั่บๆ อยู่เหนือศีรษะ
พวกตำรวจเป็นกลุ่มแรกที่แสดงปฏิกิริยาเมื่อเห็นว่า "คนร้าย" ออกมาจากโรงยิมแล้ว ตำรวจต่างคนต่างขยับตัวเบียดชิดเข้าหากัน ตั้งโล่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์หากมีการปะทะกันเกิดขึ้น ฝูงนักข่าวเริ่มมีปฏิกิริยาตามมา ต่างขยับกล้องตรงมายังทาคาโอะเป็นหนึ่งเดียวราวกับฝูงหมาป่าจ้องเหยื่อชิ้น โต
ท่ามกลางเสียงสั่งการล้งเล้งของตำรวจและเสียงรายงานข่าวของผู้ประกาศที่ปนเปกันจนแทบไม่เป็นภาษามนุษย์ มีเพียงเสียงของ "ใครบางคน" ในมือถือของพี่เทพเท่านั้นที่แจ่มชัดยิ่งกว่าเสียงอื่น
"โทษทีนะ แต่ชั้นทำให้นายตายในทางสังคมไปเรียบร้อยแล้วละ"
กร๊อบ!! พี่เทพบีบโทรศัพท์จนแหลกคามือในทันใด สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้นและเจ็บปวดแบบสุดๆ "...ยังงั้นเรอะ...ชิ...โร่...!!"
ตัดฉากอีกครั้ง พี่เทพตื่นจากฝันร้ายปุ๊บ หันไปเห็นยูอิกำลังจะเอาผ้าชุบน้ำประคบหน้าผากให้ก็กระชากดาบพรวดออกมาจ่อคอ ยูอิอีกรอบ ทำเอาเด็กสาวตกใจเข่าอ่อนทรุดฮวบ พี่เทพจ้องหน้าเอาเรื่องแล้วเค้นเสียงถามว่าเธอเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่ แต่พอมองไปที่เนื้อตัวเห็นมีผ้าพันแผลพันไว้อย่างดีก็ชะงักลดดาบลง ยูอิเห็นช่องเลยรีบอธิบายว่าพี่เทพนอนหลับไป 2 วันเต็มๆ เลย โดยระหว่างที่ไม่รู้สึกตัวเพราะพิษบาดแผลนั้น ยูอิเป็นคนคอยดูแลทำแผลเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้มาตลอด (แม่ของยูอิเป็นนางพยาบาลมาก่อน ยูอิเลยมีความรู้เรื่องดูแลคนป่วยติดตัวด้วย)
ได้ยินดังนั้น พี่เทพก็ขยับตัวเปลี่ยนจากท่าครึ่งนั่งครึ่งนอนเป็นคุกเข่าโค้งคำนับแบบ ซามูไร แล้วพูดขอบคุณยูอิอย่างนอบน้อม กิริยาท่าทางผิดกับตอนแรกชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้า เล่นเอายูอิถึงกับโมเอะเกจพุ่งปรี๊ดเลือดกำเดาไหล เพราะนึกไม่ถึงว่าพี่เทพจอมโหดจะแสดงทีท่าแบบนี้ได้ด้วย พี่เทพบอกต่อว่าเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ ถ้ายูอิต้องการอะไรก็ให้บอกมาได้เลย ยินดีทำให้ทุกเรื่อง ยูอิสบโอกาส รีบบอกทันทีว่า "ระหว่างที่แผลยังไม่หายดี ให้ชั้นได้อยู่ช่วยคุณเถอะนะคะ"
แล้วความสัมพันธ์อันแสนจะแปลกประหลาดระหว่างสาวน้อยใสซื่อไร้มลทิน (?) กับปีศาจฆาตกร (???) ก็เริ่มขึ้น โดยตลอดเวลา 3 วันที่พี่เทพยังพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บอยู่นั้น ยูอิแวะเวียนมาหาพี่เทพทุกวัน เอาอาหาร เสื้อผ้า หรือของใช้จำเป็นต่างๆ มาให้บ้าง มาดูแผลให้บ้างจนต่างฝ่ายต่างคุ้นเคยกันถึงขั้นเรียกชื่ออีกฝ่ายตรงๆ ได้อย่างไม่กระดากปาก (ยูอิเรียกพี่เทพว่า "ท่านทาคาโอะ" ส่วนพี่เทพก็เรียกยูอิว่า "ยูอิ" ตรงๆ ไม่เรียกนามสกุลเลย ซึ่งถือเป็นเรื่องกระดากปากสำหรับผู้ชายญี่ปุ่นมากในการเรียกชื่อผู้หญิงตรงๆ ไม่เรียกนามสกุล)
ระหว่างที่อยู่ด้วยกันนั้น ยูอินึกพิศวงต่ออะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับตัวของพี่เทพ ทั้งบาดแผลสาหัสที่สมานตัวกันอย่างรวดเร็วทั้งๆ ที่ผ่านไปแค่ไม่กี่วัน ทั้งอุปนิสัยที่คล้ายคลึงกับค้างคาว คือนอนตอนกลางวันแต่ตื่นตอนพลบค่ำ พอตื่นนอนปุ๊บก็ใช้อุปกรณ์คล้ายกล้องส่องทางไกลแอบดูผู้คนในแมนชั่นตรง ข้ามอยู่แทบตลอดเวลาราวกับกำลังเฝ้าจับตาอะไรบางอย่างอยู่
หลายครั้งที่ยูอินึกสงสัยว่าคนที่กำลังแอบดูอยู่นั้นใช่ "มนุษย์ต่างดาว" ที่ริคุพูดถึงหรือเปล่า แต่ก็ไม่เคยออกปากถามอะไรเลย ทั้งทาคาโอะก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนั้นให้ฟังอีกด้วย เนื่องจากอุปนิสัยของทาคาโอะเป็นคนเงียบๆ ไม่ใคร่พูดอะไรมากมายเกินความจำเป็นอยู่แล้ว ดังนั้น ในการพบปะกันแต่ละครั้ง ยูอิจึงเป็นคนคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ โดยที่พี่เทพทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี คือฟังอยู่เงียบๆ ตลอดเวลาไม่พูดอะไรไม่แสดงความเห็นอะไรไปจนจบเรื่อง เป็นแบบนี้ทุกครั้ง
แม้จะแทบไม่ได้ยินคำพูดตอบโต้อะไรจากอีกฝ่าย แต่แค่ได้คุยกันเฉยๆ กับคนที่รักและบูชาสุดหัวใจคนนี้ ยูอิก็มีความสุขมากแล้ว ดังนั้น ในการคุยแต่ละครั้ง ยูอิจึงมักพยายามหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงเรื่อง "มนุษย์ต่างดาว" หรือ "อามามิคุง" เลย ด้วยรู้ว่าทั้งคู่เป็นศัตรูกัน จึงเกรงว่าหากหลุดปากพูดเรื่องนั้นออกไปอาจไม่ได้อยู่ใกล้ๆ พี่เทพอีก
วันหนึ่งหลังจากยูอิแวะมาเยี่ยมและพูดคุยกันเสร็จ ยูอิก็ขอตัวกลับก่อนหลังจากอยู่คุยกันมาตั้งแต่เช้า โดยบอกว่าตอนเย็นจะแวะมาอีกครั้ง "อยากกินอะไรรึเปล่าคะ? เดี๋ยวชั้นจะซื้อมาฝาก"
พี่เทพเงียบไปครู่หนึ่งก็ตอบกลับสีหน้าเฉยชาแต่ท่าทางเคอะเขินว่า "อยากกินข้าวปั้นกับซุปมิโสะใส่หอยลาย ไม่ใช่แบบอุ่นจากร้านสะดวกซื้อนะ แต่เอาแบบอุ่นๆ ทำจากหม้อจริงๆ" ยูอิได้ยินดังนั้นก็หลอดโมเอะแตกปรี๊ดอีกรอบแล้วละล่ำละลักบอกว่าไว้ใจได้ เลย จะทำมาให้เอง พี่เทพแย้งว่า ไหนบอกว่าทำกับข้าวไม่เก่งไม่ใช่เหรอ ยูอิตอบกลับทันควันถ้าง่ายๆ ก็พอทำได้ค่ะ
แล้วจู่ๆ ทาคาโอะก็ทำในสิ่งที่ยูอิ (รวมทั้งคนอ่าน) ไม่คาดคิดว่าผู้ที่ได้ชื่อว่าปีศาจฆาตกรจะมีวันทำ นั่นคือลุกขึ้นเดินมาหยุดตรงหน้ายูอิ แล้วยกมือขึ้นลูบหัวเธออย่างอ่อนโยน แล้วหลับตาพึมพำเบาๆ แทบเป็นเสียงกระซิบ "งั้นเหรอ...แล้วจะรอนะ..."
น้ำเสียงนุ่มนวลของพี่เทพทำเอายูอิหัวใจเต้นโครมคราม ใบหน้าแดงซ่าน ดวงตาเป็นประกายด้วยความปลาบปลื้ม ก่อนจะก้มหน้าเดินตัวเกร็งออกจากตึกที่ซ่อนตัวของพี่เทพออกไป
ภายหลังจากยูอิออกไปแล้ว โทรศัพท์ของพี่เทพก็ดังขึ้น พี่เทพกดรับแล้วพูดกรอกลงไปทันที "เออ ไม่ต้องบอกชั้นก็รู้ดีน่า ก่อนที่จะเข้ามาพัวพันมากกว่านี้ ชั้นจะจัดการให้เรียบร้อยเอง ขีดจำกัดของชั้นอยู่แค่นี้ละ"
ทางด้านยูอิที่รอเวลาเย็นอยู่ที่บ้านอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อใกล้จะถึงเวลาไปหาพี่เทพ ก็รีบทำข้าวกล่องด้วยอารมณ์ดี๊ด๊าสุดเหวี่ยง แต่ด้วยสกิลทำอาหารเข้าขั้นรองบ๊วย กับข้าวที่ออกมาจึงเละเทะไม่เป็นท่า
แม้สารรูปกับข้าวจะออกมาน่าสังเวชถึงเพียงนั้น แต่ยูอิก็ปลุกปลอบตัวเองด้วยคำพูดว่า รูปร่างหน้าตาไม่สำคัญหรอก สำคัญที่ความรู้สึกต่างหากล่ะ ว่าแล้วก็หลับตาพริ้มนึกเคลิ้มอยู่คนเดียวว่า ถ้าหากคนคนนั้นดีใจก็คงดีเนอะ
ระหว่าง ที่ยูอิกำลังฝันหวานอยู่นั้นเอง ใครคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหา ยูอิหันกลับไปมอง พบกับชายวัยกลางคนคนหนึ่ง เขาสวมชุดเสื้อเชิ้ตขาวกางเกงสแล็กอย่างพนักงานกินเงินเดือนทั่วไป รูปร่างค่อนข้างอวบหนา และดวงตาเลื่อนลอยเหมือนไม่นำพาต่อทุกสิ่งรอบตัว
"คุณพ่อ" สีหน้าชวนฝันเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาแกมรังเกียจในทันใด น้ำเสียงขณะเรียกพ่อก็ฟังดูห้วนจัด ไม่มีความเคารพแม้แต่น้อย ดูก็รู้ว่าพ่อลูกคู่นี้ท่าทางไม่ค่อยลงรอยกันนัก ตาพ่อท่าทางเฉยสุดๆ ลูกพูดอะไรด้วยก็ตอบแต่อืออาลูกเดียว
คุยกันได้แค่สองสามประโยค ยูอิก็ตัดบทตีจากเพราะทนความเฉยเมยของพ่อไม่ไหว ก่อนไปยังมีการกระทบพ่ออีกว่า หนูจะไปหา "แฟน" ละ คงไม่กลับมาแล้วด้วย ตาพ่อแทนที่จะกระวีกระวาดลุกขึ้นโวยวาย กลับพูดหน้าตาเฉยไม่ยินดียินร้ายว่า "ไปดีมาดีละ"
ยูอิชะงักค้าง โกรธจนหูอื้อ พอได้สติก็ก้าวพรวดเดียวออกไปหยุดยืนหน้าประตูบ้านแล้วแช่งพ่อว่า "ไปตายซะ" น้ำเสียงเคียดแค้นแบบสุดๆ สีหน้าแววตาไม่สะทกสะท้านต่อบาปกรรมที่พูดจาว่าร้ายบุพการีแม้แต่น้อย
"เพราะทำตัวแบบนี้ไงล่ะ แม่ถึงได้ออกจากบ้านไป" เด็กสาวนึกในใจขณะก้าวพรวดๆ ไปตามทาง พยายามปรับอารมณ์ตัวเองให้เป็นปกติเพื่อจะได้ไม่แสดงกิริยาไม่ดีอะไรต่อหน้า "ท่านทาคาโอะ" ที่รัก
ใจส่วนหนึ่งของเด็กสาวอดคิดไม่ได้ ว่าหากเธอทำตามที่กระแทกใส่พ่อ ไปอยู่กับ "ท่านทาคาโอะ" กันสองคนได้จริงๆ จะดีแค่ไหนนะ หากใจอีกส่วนก็รีบดึงจินตนาการที่ชักจะเลยเถิดกลับมาสู่โลกแห่งความจริง ไม่มีทางหรอกที่ท่านทาคาโอะจะใจดีให้โอกาสคนอย่างเราถึงขนาดนั้น
แต่ถึงจะไม่ให้โอกาส อย่างน้อยเขาก็ต้องรับฟังคำพูดเราเงียบๆ ฟังจบก็ลูบหัวเราอย่างอ่อนโยนแน่...
เพียงแค่นั้น เราก็จะผ่านพ้นวันนี้ไปได้...
ดวงตาของเด็กสาวเป็นประกายสุกสกาวราวกับพระจันทร์ล้อมกรอบด้วยหมู่ดารา น้ำตาปริ่มเต็มขอบตาล่าง ใบหน้ายิ้มแย้มกึ่งดีใจกึ่งคาดหวัง แต่ก็แฝงความเศร้าเหมือนเด็กที่ต้องการความรักความเมตตาจากใครสักคน...เพื่อ เติมเต็มช่องว่างที่หายไปในหัวใจ
ทว่า สิ่งที่ยูอิผู้เต็มเปี่ยมด้วยความหวังได้พบเห็น ณ ที่นั้น กลับเป็นภาพของชายที่เธอเคารพยิ่งกว่าพ่อแท้ๆ ขณะกำลังสังหารคนในอพาร์ทเม้นท์ที่เคยแอบดูอยู่อย่างโหดเหี้ยม มือที่เคยลูบศีรษะเธออย่างนุ่มนวล... มือที่หยิบยื่นความอ่อนโยนให้ข้างนั้น... บัดนี้กำลังหยิบยื่นความตายให้กับคนบริสุทธิ์อย่างไร้ความปราณี
ภาพ ที่เห็นสุดที่ยูอิจะทานทนต่อไปได้ เธอเข่าอ่อนล้มลงนั่งแผละกับพื้นอย่างหมดแรง สองไหล่สั่นสะท้าน ดวงตานองไปด้วยน้ำตาฉายแววหวาดกลัวถึงขีดสุด แต่ริมฝีปากกลับเผยอยิ้มออกมา ราวกับไม่แน่ใจว่าตัวเองควรแสดงสีหน้าอย่างไร
"ทั้งๆ ที่ควรจะเป็นแบบนั้นแท้ๆ..." เด็กสาวร่ำร้องอยู่ในใจ "แล้วทำไม...ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้..."
======= จบตอนที่ 43 =======
อ่านตอนนี้จบแล้วหลายคนคงจะอึ้งกับอิเมจของพี่เทพในตอน นี้สุดๆ ทั้งท่าทางเคอะเขินเวลาพูดกับยูอิ รวมถึงทีท่าอ่อนโยนที่มีให้ยูอินั้นเรียกว่าผิดจากพี่เทพตอนไล่ฆ่าคนหรือพวก นักล่าจิงกิชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้าเลย ยิ่งไม่นับฉากย้อนอดีตบางส่วนที่ทำให้เห็นเรื่องราวเพิ่มเติมของพี่เทพด้วย (ชวนให้สงสัยจริงๆ ว่าไอ้ตัวที่โทรฯ คุยกับพี่เทพในตอนนั้นจะใช่คนเดียวกับที่คุยอยู่ตอนนี้หรือเปล่า หรือว่าเป็นคนละคนกันจริงๆ)
เห็นอดีตบางส่วนของพี่เทพในตอนนี้แล้ว นึกถึงวิคเตอร์ ฟรีแมน พระเอกการ์ตูนเรื่อง Blaster Knuckle เลยครับ (Blaster Knuckle ชื่อภาษาไทย "กำปั้นโลกันตร์" 3 เล่มจบ ผลงานเก่าของผู้เขียนเรื่อง "เซสทัส จอมหมัดสนับเหล็ก" ลิขสิทธิ์โดยสำนักพิมพ์วิบูลย์กิจทั้ง 2 เรื่อง) ในเรื่อง Blaster Knuckle นั้น วิคเตอร์ถูกผู้คนกล่าวหาว่าเป็นปีศาจฆาตกรที่ฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยมไปถึง 9 ศพ แม้แต่ผู้หญิงหรือเด็กก็ไม่เว้น โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าแท้จริงแล้ว ทุกคนที่วิคเตอร์ฆ่าไปนั้น "ไม่ใช่มนุษย์" แต่เป็น "ปีศาจที่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้" ต่างหาก จากตรงนี้พอลองเอามาซ้อนกับอดีตของพี่เทพแล้ว ทำให้ผมคิดขึ้นมาได้ว่า "หรือพวกคนที่พี่เทพฆ่าไปส่วนหนึ่งจะ 'ไม่ใช่มนุษย์' จริงๆ แต่เป็นบางอย่างที่แฝงกายเป็นมนุษย์เท่านั้น" ซึ่งมันก็มีบอกใบ้อยู่กลายๆ ในเนื้อเรื่องของเล่ม 4 แล้วด้วย
อีกเรื่องที่น่าพูดถึงก็คือตัวยูอินั่นเอง ถ้าจะให้พูดคร่าวๆ ผมมองเห็นยูอิเป็นเหมือนภาพสะท้อนอีกด้านของตัวริคุน่ะครับ ภาพสะท้อนของคนที่สิ้นหวังกับชีวิตปกติจนอยากจะหลีกหนีความจริง ซึ่งคิดว่าตัวริคุเองก็คงมีความคิดอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ติดแต่ริคุยังโชคดีที่ไม่ได้หลีกหนีจากเพื่อนจากครอบครัวไปขนาดยูอิเท่านั้นเอง
เรื่องราวระหว่างพี่เทพกับยูอิจะเป็นยังไงต่อไป รอดูในวันที่ 30 เดือนหน้านะครับ
Create Date : 03 มกราคม 2554 |
Last Update : 3 มกราคม 2554 21:24:58 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1560 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
|
Drake |
|
|
|
|