Group Blog
 
 
ตุลาคม 2559
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
27 ตุลาคม 2559
 
All Blogs
 
3.3การปฏิบัติธรรมสายมโนมยิทธิโดยอ.คณานันท์ทวีโภคUPDATE 27102559



  3.3การปฏิบัติธรรมสายมโนมยิทธิโดยอ.คณานันท์ทวีโภคUPDATE 27102559

...

13-10-2008, 04:35 PM   Sawiiika
 การพิจารณาวิปัสนาญาณเรื่องร่างกาย ขันธ์ 5 ใน ฌาน 4 ใช้งาน

01-08-2006, 07:46 PM kananun หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ
สำหรับวันนี้พระท่านให้แนะนำใน
การพิจารณาวิปัสสนาญาณเรื่องร่างกาย ขันธ์ 5
เริ่มต้นให้ท่านจับลมสบาย ใช้อารมณ์สบายเป็นพื้นฐาน จากนั้น ตั้งจิตระลึกถึง ศีล ว่าขณะที่เรา
ทำความดีอยู่นี้ ศีลห้าของเราบริสุทธ์ จิตเราเต็มไปด้วยความ เมตตา ต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้ง
หลาย เรามีความ เคารพในพระรัตนไตย และ ขอให้ท่านเป็นที่พึ่งตลอดจนถึงพระนิพพาน
อธิฐาน ขออาราธนาบารมีพระพุทธคุณ ท่านมาคุ้มครอง ใช้จิตจับภาพ พระท่าน 3 ฐานให้สว่างไสว
แพรวพราวเป็นเพชร จนจิตใจเราชุ่มเย็นเป็นสุขสงบอธิฐาน
ขอขึ้น
กรรมฐาน 5 กับพระพุทธองค์ท่าน
ภาวนา " เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ " และ ย้อนกลับ
อนุโลม ปฏิโลม " ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา "
จากนั้นนึกให้เห็นภาพตัวเราเอง กำลังนั่งสมาธิ อยู่
มีองค์พระท่านเปร่งรัศมีเป็นเพชร อยู่ทั้งสาม 3 คือ บนศีรษะ + ในศีรษะ + ในอก
ภาวนาว่า " เกสา " กำหนดให้เห็นว่า
ผมบนศีรษะของเรา
หลุดร่วงจนหมด แล้วใช้อารมณ์ใจสบายๆพิจารณาว่าเมื่อร่างกาย
ของเราได้ปราศจากผมอันดำสลวยมีรูปทรงที่งามตาแล้ว
ร่างกายยังดูงดงามอยู่หรือไม่ ?
ภาวนาว่า " โลมา " กำหนดให้เห็นว่า
ขนทั่วทั้งร่างกายของเรา
อันมีคิ้ว ขนตา ไรขน ขน แขน ขนขาหลุดร่วงจนหมด แล้วพิจารณาว่า
ใบหน้าอันว่างเปล่าของเรายังมีความงดงามอยู่หรือไม่ ?
ภาวนาว่า " นะขา " กำหนดให้เห็นว่า
เล็บมือ เล็บเท้า ของเรา
หลุดร่อนออกจากมือ เท้า พิจารณาว่าเมื่อ มือ เท้า เราปราศจากเล็บที่ฉาบทา
ด้วยสีสรรที่ดูสวยงามแล้ว มีเพียงปลายเนื้อแดงๆ ยังดูสวยงามหรือไม่ ?
ภาวนาว่า " ทันตา " กำหนดให้เห็นว่า
ฟันทั้งปากของเรา
หลุดร่วงลงจากปากจนหมด พิจารณาว่า ใบหน้า และริมฝีปากของเรา
ที่งองุ้มปราศจากฟันฟางยังมีความสวยงามน่าลุ่มหลงหรือไม่ ?
ภาวนาว่า " ตะโจ " กำหนดให้เห็นว่า
ผิวหนังที่ห่อหุ้มร่างกายทั่วร่างของเรา
หลุดลอกออกทั่วทั้งร่าง พิจารณาดูว่า ร่างกายที่ปราศจากผิวหนังห่อหุ้มเหลือเพียงเลือดเนื้อ
แดงๆทั่วทั้งร่างนั้น ยังน่ารักน่าหลงไหล ในผิวพรรณวรรณะที่ว่ากันว่าสวยงามอยู่หรือไม่ ?
พิจารณารวม ต่อไปว่าร่างกายนี้ถูกห่อหุ้มไปด้วย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง และ ความโง่
ความหลงพาให้เข้าใจผิดว่า ร่างกายของเราเป็นสิ่งที่สวยงาม แท้ที่จริง
มีสภาพเป็นก้อน เนื้อ ชุ่มไปด้วย เลือด และ น้ำหนอง น้ำเหลือง

จากนั้น กำหนดนึกให้ร่างกายชุ่มเลือดนี้ค่อยๆเน่าเปื่อย ขึ้นเขียว มีน้ำเหลืองน้ำหนองฉุอืดขึ้น จนเนื้อ
และอวัยวะเน่าเปื่อยหลุดร่อนออกจากร่าง
พิจารณาว่า นี่คือ สภาพความเป็นจริงในร่างกายนี้ ซักวันหนึ่ง
เมื่อเราตาย ร่างกายของเรา ก็จะมีสภาวะเช่นนี้เช่นกัน เราจะมีปัญญาฉลาดในร่างกาย ขันธ์ 5 นี้ว่า
เป็นสิ่งไม่สวยงาม เป็นของสกปรก มีความเสื่อมสลาย และ ถึงแก่ความตายในที่สุด
จิต เราจะคลายจาก
ความยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย ขันธ์ 5 นี้
 เราคือ จิต หรือ อาทิสมานกายที่มาอาศัยร่างกายนี้อยู่ชั่วคราว
ในชาติภพนี้เท่านั้น เมื่อตายแล้ว
เราก็จะ
ไม่ยึดมั่นถือมั่นในร่างกายนี้อีกต่อไป
พิจารณาต่อไป จนเห็นเนื้อเน่าเปื่อยแห้งเกรอะกรัง เหลือแต่โครงกระดูก จากนั้นโครงกระดูกค่อยๆแห้ง
ผุพัง
เมื่อมีกระแสลมพัดมา กระดูกก็ผุสลายเป็นผุยผง หายไปกับสายลม พิจารณาว่า
ร่างกายนี้ไร้แก่นสารใดๆ ทรัพย์สมบัติในโลกนี้ ก็ล้วนแต่สิ่งสมมติ ทั้งสิ้น
แท้จริงเรา คือ จิต สิ่งที่ติดตัวเราไปได้จริงๆก็มีเพียง
บุญ กุศลบารมี สัมมาทิษฐิ เท่านั้น ส่วนที่พึ่งอาศัยอื่นไม่ว่าทรัพย์สิน เงินทอง หรือวิชาความรู้
ก็ไม่อาจช่วยเราได้ มีเพียง
บารมีพระรัตนไตย ท่านเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งที่อาศัยให้เราได้ตลอดทุกชาติภพ
จนถึง พระนิพพาน ...

จากนั้นกำหนดให้เราเหลือเพียงดวงจิตเป็นแก้วใสระยิบระแพรวพราว อธิฐานว่า
เรา คือ จิตดวงนี้ มาอาศัยในร่างกายปัจจุบันตามแรงของกฏแห่งกรรมก็ดี ด้วย แรงอธิฐานก็ดี เพื่อการลงมาสร้างบารมีก็ดี ณ บัดนี้จิตของเราได้ตื่นขึ้นจากการ ยึดติด ในร่างกายขันธ์ 5 แล้ว
ขอให้วิชชา และ สัมมาทิษฐิ ในอดีตชาติของข้าพเจ้า กลับคืนมาด้วยเทอญ แล้ว จับภาพพระ 3 ฐานอีกครั้ง และ กำหนดให้เห็นดวงจิต
แก้วใสของเรา อยู่ในท้องของเราตลอดเวลา
ระลึกรู้ว่า
เรานี้คือ จิต
เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา

แล้ว กำหนดจิต แผ่เมตตาในอัปปมาณฌาน โดยมีแผ่จากจุดศูนย์กลางจากดวงจิตของเรา เมื่อสำเร็จ
แล้ว จิตใจเต็มไปด้วยความปิติ ชุ่มเย็นหัวใจ ด้วยความสุขจากการให้ การเสียสละแล้ว
จากนั้น ค่อยๆ ถอนจิตออกจากสมาธิช้า ๆ พร้อมกับหายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ
ว่า " พุทธโธ ธรรมโม สังฆโฆ " ตามลำดับ
♥♥♥
ที่แนะนำไปนี้เป็น
 
การพิจารณาวิปัสสนาญาณเรื่องร่างกาย ขันธ์ 5 ใน ฌาน 4 ใช้งาน ครับ
ถ้าลอง
สังเกตุอารมณ์จิตของตนเองดู จะสังเกตุว่าอารมณ์ใจของเราจะมีความเข้าใจความจริงของร่างกาย
และ เบื่อหน่ายในขันธ์ห้าเพิ่มขึ้น มากกว่าการอ่าน หรือ การพิจารณาในอารมณ์ ปกติครับ และ ถ้ายิ่ง
อารมณ์วิปัสนาญาณยิ่งสูงก็จะ เกิด สังขารุเบกขาญาณ ญาณความรู้ความเป็นจริงในร่างกาย จนทำให้
เกิดความวางเฉย หรือ อุเบกขา ในสังขารร่างกายทั้งของตนเองของบุคคลอื่น
นั่นคือ จิตของเราก็จะยิ่ง
บริสุทธ์เพิ่มขึ้น สภาวะดวงจิตของเรามีความใส สะอาดสว่างไสวยิ่งขึ้นครับ จิตดีขึ้น สมาธิดีขึ้นตั้งขึ้นขึ้น
เนื่องจากกิเลส และ นิวรณ์ 5 ลดลง เป็นไปโดยความสัมพันธ์กันขององค์สมถะ และ วิปัสสนา ร่วม กัน
พยายามปฏิบัติให้บ่อยเป็นปกติครับ อย่าลืมว่าในทุกอารมณ์
ในการปฏิบัติล้วนแต่ทรงอยู่ใน
อารมณ์สบาย
เหมือนกันหมดครับ
13-10-2008, 06:40 PM   Sawiiika  สมาชิก
ทบทวนหลักของ การฝึกปฏิบัติธรรม  
________________________________________
04-08-2006, 07:40 PM kananun หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ
ทบทวนหลักของ การฝึกปฏิบัติธรรม
เผื่อท่านที่เพิ่งมาอ่านทีหลังหรือท่านที่อ่านข้ามไปครับ
♥♥♥
1. มีสัจจะ คุณธรรม และ ความกตัญญูต่อ พระรัตนไตย
พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ และ ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลายไม่ว่าจะ มีกายเนื้อ หรือ ท่านที่มีกายทิพย์
ผู้มีคุณธรรม และ ความกตัญญู สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านย่อมเมตตาคุ้มครองและสงเคราะห์ครับ

2.  อธิฐาน ให้วิถีชีวิตของเราทั้งในทางโลก และ
ทางธรรมตั้งมั่นอยู่ในสัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา
เมื่อจิตใจเราตั้งมั่นอยู่ในทางที่ชอบ
ถูกแนวตรงแนวแล้ว โอกาศที่
จะผิดเพี้ยน ปฏิบัติผิดแนวเพี้ยนเป็น มิจฉาทิษฐิ ย่อมไม่มี
3. มีศีลเป็นปกติ เป็นธรรมชาติ มีความเคารพในพระรัตนไตยยิ่งชีวิต
4. หมั่นเจริญวิปัสสนาญาณสม่ำเสมอ มองเห็น การเกิด การแก่ การเจ็บป่วย และ ความตาย
เป็นธรรมดา จนจิตใจเรานิ่งไม่กลัวความตาย แต่มองความตายว่า เป็นธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่ว่าเรา
หรือผู้อื่นก็ไม่อาจหลีกหนีความตายไปได้สิ่งสำคัญก็คือเราตั้งใจอธิฐานว่าเมื่อเราตายแล้วเราจะไปไหน
แล้วถ้าเราต้องตายไปในนาทีนี้ เรามีความดี และ บุญกุศล เพียงพอที่จะไปที่นั้นได้แล้วหรือไม่ถ้ายังเรา
จะเร่งสร้างบารมีอย่างไร ปฏิบัติตนอย่างไร อบรมใจเราอย่างไร ... ?
5. ฝึกสมถะสมาธิในอานาปานสติ เสมอ จำลมสบาย
ที่จิตใจมีความสบายไว้เสมอต้องทำให้ได้
ระดับที่เข้าได้ตลอดเวลาทุกครั้งที่ต้องการ ทุกอิริยาบทไม่
ว่าลืมตาหลับตา ภายนอกเงียบ หรือ ดัง อากาศร้อน หรือ หนาว ไม่ใช่ข้ออ้างต้องทำให้ได้ทุกครั้งเสมอ
6. อารมณ์จิต ที่ต้องการในการปฏิบัติคือ
จิตสบาย มีความสุข มีความปิติ มีความเมตตา เต็มหัวจิต หัวใจ
มีความเบา มีความสะอาด มีความสว่าง มีความสงบ จงรู้จักความสุขจากความสงบ ความสุข
ที่เราไม่ ต้องแก่งแย่ง ไขว่คว้า ความสุขที่ไม่เจืออามิส คือไม่อิงด้วยวัตถุ เราสามารถมีความสุขได้ในทุกที่
ทุก เวลา ทุกขณะจิต
ส่วน อารมณ์ที่ไม่ต้องการในการปฏิบัติ คือ อารมณ์หนัก อารมณ์เพ่ง
อารมณ์บีบอารมณ์กดทับกดดัน เพราะอารมณ์เหล่านี้จะทำให้จิตวิปปราส
7. การเจริญ และ แผ่เมตตา เราต้องทำให้ความสุขความรัก
ความเมตตาของเราเต็มล้นในหัวใจของท่านก่อน
แล้วจึง กำหนดจิต
แผ่อารมณ์ใจที่ดีนั้นออกไปทั่วอนันตจักรวาล ท่านจะได้รู้จักความสุข
จากการให้ ความสุขที่เป็นวิสัยที่แท้จริงของ พระโพธิสัตว์ ครับ
8.การ จับภาพพระพุทธรูป นั้น ต้องพยายามจับให้องค์พระท่านใสเป็นแก้ว
ประกายพรึก
คือ เป็นเพชรระยิบระยับแพรวพราวจนใจของเรามีความสุขความสบายใจ จากนั้นจงอธิฐาน
และ เชื่อมั่น ไม่ลังเลสังสัย ว่า
บารมีของพระพุทธเจ้าท่านเมตตา ลงมาสถิตอยู่เป็นหนึ่งเดียวกับ พุทธนิมิตรในจิต ของเราครับและ ถ้าผมใช้คำว่าจับภาพพระ เราหมายถึงการทำจิตถึงอารมณ์นี้ครับ
9. การจะทำการใดๆ เราอธิฐาน
ขอบารมีพระท่านให้มาเมตตาสงเคราะห์ทุกครั้ง
อย่าใช้กำลังใจเราเองอย่างเดียว เพราะ ไม่ว่าอย่างไรเราไม่เก่งกว่าพระพุทธเจ้าท่านหรอกครับ และ
อีกอย่างจะเป็นเครื่องป้องกันจิตเราไม่ให้หลงผิดคิดว่า เราดี เราเก่ง เพราะถ้าคิดอย่างนั้น ไม่ช้า
อภิญญาจะเสื่อมต้องกลับไปแก้
จิตให้เป็นสัมมาทิษฐิ และ ขอขมาพระรัตนไตยครับ
10. หมั่นศึกษาทบทวนการอธิฐาน การใช้กำลังใจการวางอารมณ์ใจให้สม่ำเสมอครับ
♥♥♥
การปฏิบัติในทุกสิ่งที่แนะนำไปมีผลทั้งสิ้นครับ
หวังว่าทุกท่านจะ เจริญรุ่งเรืองในธรรมยิ่งๆขึ้นไป ด้วยครับ
17-10-2008, 12:52 PM   Sawiiika  สมาชิก
07-08-2006, 05:04 PM kananun หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ
ขอให้ท่านที่เคยได้มโนฯแล้ว และ มีความคล่องตัว
กำหนดจิตแยก
อาทิสมานกายพระวิสุทธิเทพ ขึ้นไป
กราบพระพุทธเจ้าท่าน ที่พระนิพพาน
ได้เลยครับ

ส่วนท่านที่ยังใหม่ไม่คล่องให้จับลมสบายจนจิตสงบ
กำหนดจิตตัดขันธ์ 5 ด้วยวิปัสนาญาณว่าร่างกายนี้เป็นเหตุแห่งทุกข์ มีความแก่เจ็บตาย ไปในที่สุด เมื่อ
ตายแล้วก็ยังต้องวนเวียนใน สังสารวัฏไม่มีที่สิ้นสุดเราเห็นโทษภัยใน สังสารวัฏนี้
แล้วตั้งจิตระลึกถึง
พระนิพพานอันเป็นที่สุด
แห่งทุกข์ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก เราจะมีพระรัตนไตยเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
ตลอดจนถึงพระนิพพานและในขณะที่เราปฏิบัติธรรม ในความดีอยู่นี้เรามีศีลที่บริสุทธ์เรามีจิตใจที่ดีงามและ
มีเมตตาพรหมวิหารสี่เป็นปกติ จากนั้นทำใจให้ โปร่ง เบา สบาย ..
ใช้จิตจับภาพพระให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก
กำหนดจิตขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านให้แผ่พุทธบารมีลงมาเป็นหนึ่งเดียวกับพระพุทธนิมิตรในจิตของเรา แล้วแยกอาทิสมานกายของเราออกมากราบพระพุทธเจ้า
ท่านแทบตักและอธิฐานขอให้พระพุทธเจ้าท่านเมตตาพาอาทิสมานกายของเราขึ้นไปบนพระนิพพาน


ต่อไปให้ทุกท่านทั้งที่ เก่า และใหม่ ทำกำลังใจว่า
เมื่อเห็นสภาวะบนพระนิพพานแล้วจิตใจเราสบาย ปราศจากกิเลส
อธิฐาน ต่อไปว่าด้วยกำลังใจของข้าพเจ้า ณ บัดนี้ขอให้พระพุทธเจ้า โปรดเมตตารักษากำลังใจของข้าพเจ้าให้มั่นคงใน สัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ
และ สามารถยกจิตขึ้นมาสู่พระนิพพานได้ทุกขณะจิตที่ข้าพเจ้าต้องการ
ขอให้ข้าพเจ้าได้ทรงอารมณ์นิพพานรักในพระนิพพานพอใจในพระนิพพานมั่นคงในพระนิพพาน

ท่านที่ปรารถนาสาวกภูมิ ต้องการไปนิพพานชาตินี้ อธิฐานว่า
" ขอให้การเกิดของข้าพเจ้าชาตินี้เป็น
ชาติสุดท้ายเมื่อข้าพเจ้าสิ้นอายุขัยในชาตินี้ข้าพเจ้าขอเข้าถึงซึ่ง พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ
"
ท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิ อธิฐานว่า
" ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงอารมณ์นิพพานในทุกๆชาติในการบำเพ็ญบารมี และ ขอให้ได้วิชามโนมยิทธินี้ในทุกๆชาติเพื่อได้เข้าใจ จดจำสภาวะที่ถูกต้องตามความเป็นจริงของพระนิพพานได้ตราบจนเมื่อบรรลุถึงซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณอันมีพระนิพพานเป็นที่สุดด้วยเทอญ "
จากนั้นอธิฐานให้เกิด ดอกบัวแก้ว ใสสว่างในมือของกายพระวิสุทธิเทพ
กำหนดจิตว่า
ดอกบัวนี้เป็นการรวม
บุญกุศลบารมีของเรานับ จากอดีตชาติ ให้มาปรากฏขึ้นณบัดนี้เราขอน้อมถวายความดีทั้งหมดของเรานี้
เป็นเครื่องบูชาพระจอมไตรศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าณ บัดนี้
แล้วน้อมถวายดอกบัวแก้วให้พระพุทธองค์
ท่าน กราบขอบูชาให้ท่านได้ เป็นบรมครูสั่งสอนธรรมมะความดีให้เราได้ก้าวหน้ยิ่งๆขึ้นไปโดยตรงด้วยเทอญ
ลำดับต่อไป
อธิฐานจิตให้ ปรากฏ เทพ พรหมเทวดาและบิดามารดา ท่านผู้มีคุณของเราในอดีตชาติให้ท่านมาปรากฏ
อยู่เบื้องหน้า แยกอาทิสมานกายออกเท่าจำนวนท่านเหล่านั้น แล้วเนรมิต ดอกบัวแก้ว น้อมถวายท่าน
ทุกๆพระองค์เพื่อเป็นเครื่องบูชาความดีและแสดงความกตัญญูต่อทุกๆท่าน ขอให้ท่านคุ้มครองกายวาจา
ใจ ให้อยู่ใน สัมมาทิษฐิ เสมอปลอดภัยจากภยันอันตรายทั้งปวงมีสุขภาพที่แข็งแรงเพื่อใช้สร้างบารมี
สร้างกุศลจนถึงพระนิพพานต่อไป
.
กราบขอขมาพระรัตนไตยและ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
ตามที่เคยได้ทำมาในตอนต้นแต่ข้อแตกต่างคือขณะนี้ให้กราบขอขมาในอาทิสมานกายพระวิสุทธิเทพ
บนพระนิพพานต่อหน้าองค์สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อได้ทำการขอขมาแล้วจะสังเกตุได้ว่าจิตใจเรา
โปรงขึ้นเบาขึ้นอาทิสมานกายมีแสงสว่างเพิ่มขึ้นตามไปด้วย รักษากำลังใจให้แช่มชื่น เบิกบาน อธิฐาน
ขอขมาลาโทษต่อเจ้ากรรมนายเวร ขออโหสิกรรมไม่ขอเป็นเจ้ากรรมนายเวรของท่านผู้ใดก็ตาม
ที่ได้ เคยทำมาใน อารมณ์พระนิพพานเช่นกันจะสังเกตุเห็นว่าจิต ยิ่งโปร่งขึ้นเบาขึ้นอีกเนื่องจากกิเลส
นิวรณ์ และ ปฏิฆะ เบาตัวสลายตัวไป อาทิสมานกายยิ่งสว่างยิ่งขึ้น
มหาโมทนาบุญด้วยกำลังใจในขณะที่เราอยู่บนพระนิพพาน
แห่งนี้ตามที่เคยได้ทำมาจะสังเกตุเห็นว่ามีลำแสงสว่างส่องตรงลงมายังอาทิสมานกายของเราด้วยอำนาจ
บุญจากโมทนามัยมาทำให้กายเรา สว่างขึ้นอีกเมื่ออาทิสมานกายของเราเต็มไปด้วยแสงสว่างแห่งบุญกุศล
อธิฐานเจริญเมตตาอัปปมาณฌาน
โดยมีจุดศูนย์กลางการแผ่เมตตาจิตนี้
จาก พระนิพพาน จนสว่างทั่วทั้ง พระนิพพาน
แผ่ปกคลุมลงมายัง พรหมโลก และ อรูปพรหมทั้งปวง สวรรค์ทั้ง 6 ชั้น ภุมเทวดา อากาศเทวดา โลกมนุษย์ทั่วอนันตจักรวาล
ตลอดจนภพภูมิ แห่งเปรตอสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ลงไปถึงมวลหมู่นรกทุกขุม
ให้เห็นเป็น คลื่นรัศมีสีขาว
สะอาดระยิบระยับ ละเอียดแพรวพราวแผ่ไปทั่วแล้ว
อธิฐานว่า
 " ขอให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่มี
ที่สุดไม่มีประมาณทั้ง สามไตรภูมิ หนึ่งนิพพาน

ขอจงประสพแต่ความสุข
พ้นจากความทุกข์พ้นภัยจากวัฏฏะสงสาร
และได้สัมผัสพระนิพพานอันเป็นบรมสุขด้วยเทอญ"
แผ่ความรู้สึกในอารมณ์นิพพาน
ออกไปโดยใช้ความละเอียดปราณี และ ความเป็นทิพย์ของจิตให้แผ่ขยายออกไปยัง ดวงจิต ของสรรพ
สัตว์ ทั้งหลาย ทำครั้งแรกๆใจเย็นๆไม่ต้องรีบเน้นที่ความรู้สึกละเอียดอ่อนเป็นรัศมีแผ่กว้างออกๆไป
ยิ่งแผ่กว้างไกลเพียงไรจิตเรายิ่งสว่าง และ แย้มยิ้มเบิกบานยิ่งขึ้นเพียงนั้น

วิชานี้จะได้ให้ช่วยนำไปใช้เมื่อถึงเวลาที่เกิดภัยพิบัติ มีคนตายมากมายกลายเป็นสัมภเวสีเต็มไปหมด
ในทุกที่ ส่งคลื่นแห่งความอาฆาตแค้นพยาบาล และ ความผิดความหลงปั่นป่วนอยู่ในภาวะของโลกที่มีมิติ
ทับซ้อนกันอยู่ ส่งผลให้คนเป็นเห็นแต่ภูติผีปีศาจโหยหวนครวญครางเป็นที่น่าหวาดกลัวของคนเป็น
พวกเราจะได้ใช้วิชานี้ปลดปล่อยวิญญานเหล่านั้น
ให้หลุดพ้น จากอวิชชาและ ความยึดติดในโลกนี้ทั้งที่
ตัวตายไปแล้ว
ให้ไปจุติยังภพภูมิที่ดีด้วยอำนาจแห่ง เมตตาอัปปมาณฌาน นี้เอง
ดังนั้นฝึกไว้ให้เป็นปรกติครับ
สำหรับวันนี้พอแค่นี้ก่อน
ให้ทรงอารมณ์ใจในพระนิพพานไว้เป็นปกติ
แยกอาทิสมานกายออกไปกราบลา
พระพุทธเจ้าและท่านผู้มีพระคุณ

จากนั้น
ทิ้งอาทิสมานกายไว้บนพระนิพพานแล้วกำหนดจิตว่า
เรานี้จะมี
จิตตั้งมั่นไม่คลาดจากพระนิพพาน
จากนั้นถอนจิตออกจากสมาธิช้าๆ
แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลหรือกรวดน้ำ
ขอกราบโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่ทำได้ด้วยครับ
17-10-2008, 01:57 PM   Sawiiika  สมาชิก
วิชชาพื้นฐาน จากกระทู้วิชชาฯ หน้า 4
________________________________________
08-08-2006, 10:47 PM kananun หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ
จุดประสงค์ที่ ให้ทิ้งอาทิสมานกายไว้ที่นิพพาน
นั้น เพื่อที่ว่า

ให้ทุกท่านได้อธิฐาน
เพื่อความไม่คลาดจากพระนิพพานไม่ว่ายามตื่น ยามหลับ

เพราะ
การที่อาทิสมานกายของเราอยู่บนพระนิพพานนั้น จะมีสายใยโยงจิตอาทิสมานกายของเราไว้
กับกายเนื้อบนโลกมนุษย์

สมมุติว่าถ้าขณะจิตหรือในคืนที่เราหลับอยู่นี้เราเกิดตายโดยปัจุบันทันด่วนโดย ไม่รู้ตัว
สายใยนั้นก็จะขาดการเชื่อมกับร่างกาย
อาทิสมานกายนั้นก็จะอยู่บนพระนิพพานเลยโดยอัตโนมัติ
เป็นการเข้าถึงซึ่งพระนิพพานที่ง่ายที่สุด

ที่สำคัญ
จึงมีการ
อธิฐานในหมู่ท่านนัก ปฏิบัติผู้รู้ว่า
ขอให้จิตไม่คลาดจากพระนิพพาน นั่นเอง
เมื่อจิตใจเราตั้งมั่นอยู่ในเป้าหมาย เรามีความศรัทธาในพระรัตนไตยเรามี
วิปัสสนาญาณ เห็นทุกข์ และ โทษภัยเบื่อการเวียนว่ายตายเกิด
 
♥♥ เราต้องการจุดเดียวคือพระนิพพาน
การใช้วิชามโนมยิทธินำอาทิสมานกายเข้าสู่พระนิพพานนั้นเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด
แล้วเพราะที่จริงมีกำลังของ
ฌานสมาบัติและอภิญญาเข้ามาช่วยครับ แต่ ท่านที่บำเพ็ญบารมีมา ไม่พอที่จะได้ทิพย์จักษุญาณก็ ขอให้มี
ความพากเพียรวิริยะต่อไปครับอย่าได้ไปตำหนิติเตียนการปฏิบัติของท่านผู้อื่นที่ทำได้เพราะจะยิ่งเป็น
การผลักให้ตนเองถอยหลังลงจากความดีครับ
ฝึกอารมณ์วิปัสสนาญาณบนพระนิพพาน
เริ่มต้น
จับลมสบาย
มองเห็นร่างกาย ถูกลอก ผมขน เล็บ ฟัน หนัง ออกไปจนเหลือ
เนื้อ เลือด ที่ค่อยๆเน่าเปื่อย ผุพัง เน่า
สลายกลายเป็นผุยผงไร้ แก่นสาร
กำหนดจิต ว่า ร่างกายนี้เป็นของไม่เที่ยงมีความเสื่อม
ไปในที่สุด
เราคืออาทิสมานกายที่มาอาศัยร่างกายนี้สร้างบุญสร้างบารมีเพื่อปฏิบัติธรรมรับใช้พระศาสนา
เราไม่มีในร่างกายร่างกายไม่มีในเรา
จุดเดียวที่เราต้องการคือพระนิพพานเท่านั้น ไม่ว่าเราจะ ปรารถนา
พุทธภูมิ หรือ สาวกภูมิ ก็ตาม ท้ายสุดเราย่อมถึงซึ่งพระนิพพาน เช่นเดียวกันจากนั้น
กำหนดจิตถึงพระพุทธเจ้าท่านขอพุทธบารมีท่านมาสงเคราะห์
ให้ ยกจิตอาทิสมานกายของเราขึ้นสู่พระนิพพาน ณ บัดนี้ เมื่อขึ้นไปถึงแล้ว
ขอให้อธิฐานกราบพระพุทธเจ้าท่าน และ หลวงพ่อ จากนั้น อธิฐานว่า
" หลวงปู่ หลวงพ่อครูบาอาจารย์
ท่านใดที่ท่านเคยเมตตาเราและอยู่ในวิสัยที่จะอบรม สั่งสอนเราให้ถูกต้องในแนวทางปฏิบัติของ สัมมาทิษฐิ
สัมมาสมาธิสัมมาปัญญา เพื่อความก้าวหน้า และ รุ่งเรืองในธรรม ขอให้ท่านเมตตา มาโปรดข้าพเจ้าใน
นิมิตรด้วยเทอญ
"
เมื่อเห็นภาพพระพุทธเจ้า หลวงปู่หลวงพ่อองค์ใดปรากฏขึ้นในจิตให้แยกอาทิสมานกาย
ออกไปกราบท่าน และ เนรมิตพานครู ดอกไม้ธูปเทียนแก้ว อันเป็นของทิพย์ขึ้นถวายท่านเป็นการไหว้ครู
อธิฐาน
" ขอให้ท่านเป็นครูบาอาจารย์ มาเมตตาสั่งสอนคุ้มครองตัวเรา ในสภาวะของกายทิพย์ด้วยเทอญ
"
จากนั้น อธิฐานจิต ต่อหน้า พระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์บนพระนิพพาน
ขอเจริญวิปัสนากรรมฐาน
ในความเป็นจริงของร่างกายขั้นธ์ 5 ด้วยเทอญ

เนรมิตร่างกายเนื้อของเราขึ้นมาอีกร่างให้ปรากฏบนพระนิพพาน
เหมือนเป็นตุ๊กตาหรือหุ่นจากนั้นใช้จิต พิจารณาเปรียบเทียบ ผิวกายของร่างมนุษย์กับผิวของ
อาทิสมานกายจากนั้นพิจารณาให้เห็นสภาวะ ของร่างกายเนื้อนั้นค่อยแก่ เสื่อมโทรมไปทีละน้อย
ทีละน้อย ใช้จิตในอารมณ์ที่อยู่บนพระนิพพานนี้พิจารณาให้ละเอียดสบายๆให้เห็นจริงในสิ่งที่
พระพุทธเจ้าทรงตรัสสั่งสอนเราไว้ ร่างกายนี้มีความเกิด แก่ เจ็บ และ ตาย ไปในที่สุด
พิจารณาให้เห็น ร่างกายแก่ จนล้มนอน ป่วย จน ตาย แห้งเหลือแต่โครงกระดูก
จาก กระดูกแห้งผุกร่อนจนเป็นผงถุลีจากนั้นมารวมตัว เป็นทารกแรกเกิดกำลังร้องไห้ค่อย ๆ โตขึ้น ช้า ๆ
จนถึงวัยรุ่นกลายเป็นหนุ่มเป็นสาว ค่อยเสื่อมจนเป็นวัยกลางคน จนแก่และ เจ็บ ตาย ให้พิจารณาอย่างนี้
ทบทวน โดยตัวคิดตัวพิจารณานั้น อาทิสมานกายเป็นตัวคิดพิจารณาด้วยอารมณ์ใจสบาย ไม่หนักเกินไป
จนเห็นถึงสภาวะ ความน่าเบื่อหน่ายในร่างกาย และ ขันธ์ 5 นี้ว่า เป็นปัจจัย ให้เกิดทุกข์ให้เกิด อวิชชา
ยึดติด และ การเวียนว่ายตายเกิดเราใช้ วิปัสสนาญาณ ตัดสินใจว่า ร่างกายนี้เป็นทุกข์เมื่อละจากร่างกายนี้
" เราต้องการพระนิพพานเพียงจุดเดียว "
จะสัมผัสได้ว่า อารมณ์ใจในการเจริญวิปัสนาญาณบนพระนิพพานนั้นจะมีอารมณ์ใจที่แนบแน่นเห็นจริงแท้
ลึกซึ้งกว่าการที่กายเนื้อ อ่านหนังสือหรือใช้กายเนื้อคิดเป็นอย่างมาก เพราะ ความรู้ที่สักแต่ว่ารู้ กับ
สังขารุเบกขาญาณ นั้น มีความเข้มข้นของอารมณ์แตกต่างกันมาก

'' ขอให้จำอารมณ์วิปัสสนาญาณนี้ไว้ เพราะต้องใช้
ในการพิจารณาตัดขันธ์ 5 ก่อนใช้ วิชามโนมยิทธิ นี้ทุกครั้ง"
ยิ่งอารมณ์เข้มข้นเห็นจริงอย่างลึกซึ้งในวิปัสนาญาณแล้ว
จิตก็จะยิ่งปราศจากกิเลสจิตปราศจากกิเลส ก็ยิ่งใสสะอาด จิตยิ่งใสสะอาดอาทิสมานกาย
ก็ยิ่งสะว่างไสวและทำให้ภาพที่เห็นมีความชัดเจนถูกต้องยิ่งขึ้น
ขออุปมา ความบริสุทธ์ของจิต ในวิชามโนมยิทธินี้ เสมือนกับคลื่นวิทยุ
ถ้าจิตของเรามีความดีคุณธรรม ของเทวดาก็จะทำให้เราเห็น และ ใช้อาทิสมานกายไปยังภพภูมิของเทวดาได้
ถ้าจิตของเรามีพรหมวิหาร 4 ความดีความบริสุทธ์ของ พรหม แล้วเราย่อมเห็น และ สัมผัส สภาวะของพรหม และ เทวดา รวมถึงภพภูมิ ต่ำๆลงมาได้
แต่ถ้าเรามีความ บริสุทธ์ของจิตในขณะนั้น
มั่นคงอยู่กับพระนิพพาน
จิตใจเราย่อม สัมผัสและ เข้าถึงในพระนิพพาน

และ ภพภูมิทั้งมวล
ท่านทั้งหลาย
ขอให้รักษาความดีความบริสุทธ์ของจิตใจ
ของเราไว้ให้ตั้ง มั่นอย่าหวั่นไหว หรือ ลังเลสงสัยใดๆเมื่อ ญาณทัศนะและ ความเป็นทิพย์ ปรากฏ
ท่านจะเชื่อมั่นในการปฏิบัติได้ด้วยตัวท่านเอง

สำหรับวันนี้พอแค่นี้ก่อน
กราบลาพระพุทธเจ้าท่าน
รวมทั้งทุกท่านที่มาเมตตา จากนั้น
แผ่เมตตาอัปปมาณฌานไปยังสามไตรภูมิหนึ่งนิพพาน หรือ ตามกำลังของท่านที่ทำได้แล้ว
ถอน จิตออกจากสมาธิโดย
อธิฐาน
ให้อาทิสมานกายของเราตั้งมั่นไว้ที่พระนิพพาน
ครับ
จากนั้นหายใจเข้าลึกๆช้าๆ
♥♥♥ ค่อยๆถอนจิตออกจากสมาธิครับ ♥♥♥
ท่านที่ปฏิบัติตรงนี้ได้จะรู้สึกได้ว่า
ตนเองมีอารมณ์ที่นิ่งขึ้น
เห็นธรรมดา ในร่างกายิ่งขึ้นบางคนจะมีอารมณ์
จืดในความอยากคือเมื่อก่อนอยาก ได้โน่นได้นี่ แต่ ตอนนี้
จิตจะรักความสงบสงัดขึ้นไม่ค่อยอยากได้ได้ครับ
ถือว่าก้าวหน้านะครับเพราะ ใจสบาย ใจสงบกิเลสน้อยลงไป ขอกราบโมทนาในการปฏิบัติของทุกคนครับ
19-10-2008, 09:51 AM   Sawiiika 
13-08-2006,08:17 PM kananun หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ
ก่อนลงผมจะสวดมนต์นั่งสมาธิกราบถามพระท่านก่อน แนะนำการปฏิบัติครับ ช่วงนี้ในภาคของ
วิปัสสนาญาณ ถามพระท่านว่าทำไมเน้น
" กายคตา " และ " อสุภกรรมฐาน "
จังเลย
ท่านบอกว่า จะได้ใช้เยอะ เลยอยากให้ชินให้ชำนาญในการพิจารณาให้เห็นสังขารเป็นธรรมดาครับ
ขอทบทวนในสิ่งที่ท่านได้ฝึกฝนกันมาครับ
ขอตั้งเป็นคำถาม
ให้ท่านตอบเองในจิตของตัวเอง
ถ้ายังทำไม่ได้ตอบไม่ได้
ให้ลองกลับไปทบทวนใหม่ครับ
1.อารมณ์ ใจสบาย มีความสำคัญอย่างไรและท่านทำได้เป็นปกติแล้วหรือยัง ?
2. สัมมาทิษฐิ ประกอบไปด้วยความเชื่อความรู้อะไรบ้าง ?
ถ้าใจเราเป็น มิจฉาทิษฐิ จะเกิดผลอะไรในการปฏิบัติ ?
3. เหตุใดการได้ ไตรสรณะคมณ์ จึงเป็นคุณธรรมในการตัดสังโยชน์ 10 ?
4. อารมณ์ใจหรือผลของ วิปัสสนาญาณ ที่เราต้องการในการปฏิบัติคืออารมณ์
เช่นใดที่ใช่ และ อารมณ์เช่นไร ที่ไม่ใช่ และ เกิดโทษเช่นไร ?
5. ความสำคัญของ การอธิฐาน คืออะไรทำไมจึงต้องมีการฉลาดในการอธิฐาน ?
6.จิตใจที่ดีงามบริสุทธิ์เป็นเช่นไรทำได้หรือยัง?
7. แยก ความคิด กับ ญาณทัศนะ ที่ผุดรู้ขึ้นเองในจิตได้หรือไม่บอกข้อแตกต่างออกไม๊ ?
ขอ 7 ข้อก่อนครับ ไม่ค่อยทำการบ้านหรือยกมือถามตอบเลย
ต้องให้ทบทวนเพื่อให้เกิดความรู้ในใจของตนเองครับ
19-10-2008, 09:13 PM   Sawiiika 
มาทบทวนของเดิมที่ได้ฝึกฝนกันมาครับ         
________________________________________
23-08-2006, 11:46 PM kananun หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ
กลับมาทบทวนของเดิมที่ได้ฝึกฝนกันมาครับ
ลองค่อยๆทบทวนอารมณ์ในแต่ ละส่วน ไปทีละน้อย ทีละน้อย
ให้ ความรู้กำลัง และ อารมณ์อยู่ตัวทรงตัว ไว้ได้เป็นปรกติครับ
ลมสบาย และ อารมณ์ใจสบาย การตั้งกำลังใจในการทำความดีสัมมาทิษฐิ
การ อธิฐาน การวางกำลังใจความตั้งมั่นแห่งจิตใจ จิตใจที่ดีงามดวงจิตที่ใสสะอาด
เป็นแก้วประกายพรึก
จิตใจที่บริสุทธ์ ปราศจากกิเลสกำลังวิปัสสนาญาณในการ ตัดสังโยชน์ 10
เมตตาอัปปมาณฌานพรหมวิหารสี่พลังงานแห่งจิตใจที่ไร้ขอบเขต ความบริสุทธ์ที่เป็นหนึ่งเดียว
กับจิตวิญญาน
ความดีงามที่ซึมซับเป็นหนึ่งเดียวกับเนื้อจิต การเข้าถึงในความเป็น
ธรรมดาของทุกสรรพสิ่ง
ความเป็นอุเบกขาในสังขารร่างกาย
หลายท่านที่ทำได้แล้วทั้งหมดบางท่านทำได้ในบางส่วน บางข้อ ส่วนบางท่านก็ได้ประสบกับ
ความมหัศจรย์ ทางจิตที่ได้รู้เห็นเฉพาะตนบ้าง และคนรอบข้างบ้าง หลายท่านที่
ได้รู้หน้าที่ที่ตนเองได้
อธิฐานก่อนลงมาเกิดในชาตินี้
ขอให้ทุกท่านได้ ทำให้ธรรมมะและคุณธรรมเหล่านี้ให้เจริญงอกงามยิ่งๆขึ้นไป
เพื่อประโยชน์แห่งการหลุดพ้นของตัวท่านเอง เพื่อประโยชน์แห่งชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์
♥♥♥ สืบต่อไปครับ ขอกราบโมทนาในความดีความตั้งใจที่ดีของทุกท่านด้วยครับ ♥♥♥
17-11-2008, 12:34 PM   Sawiiika  สมาชิก
12-09-2006, 10:13 PM kananun หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ
สวัสดีครับ ทุกๆท่าน ตอนนี้ เราก็ได้เรียนรู้ วิชชาฯ กันมาจนแทบ จะครบถ้วนแล้ว
เริ่มตั้งแต่ สมาธิขั้นต้น ไล่ขึ้นมาจนถึง สมาบัติ 8 ซึ่งเป็นอารมณ์ฌานในสมถะที่มีกำลังสูงที่สุด มีอานิสงค์
ในการปฏิบัติได้ถึงการได้ ปฏิสัมภิทาญาณ
ส่วนวิปัสสนาญาณนั้น เราก็ได้เรียนรู้กัน ตั้งแต่เริ่มต้น
จนถึงการตัด สังโยชน์ 10 และ อารมณ์นิพพาน
สิ่งที่ท่านต้องเรียนรู้ต่อไปนั้น เป็นหน้าที่ที่ตัวท่านเองต้องลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง ตั้งใจ ด้วยตัวเอง
นำความรู้ที่ได้มาใช้ เพื่อคุณธรรม การช่วยเหลือ
ตัวท่านเอง เพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ ทั้งหลาย
ให้ ตื่นขึ้น
พ้นจากความทุกข์ + เข้าถึงธรรมในที่สุด
ครูบาอาจารย์ของท่านต่อไปนั้น ท่านจะมา
สอนท่านจากภายในจิตของท่านเอง
อภิญญา สมาบัติ
จะบังเกิดขึ้นกับท่านได้ก็ด้วยความดี คุณธรรม สัมมาทิษฐิ
ดังนั้นขอให้ท่านวางจิตอยู่ใน มหาสติปัฏฐาน 4 อันประกอบด้วย
การพิจารณากาย ว่า เป็นเหตุแห่งทุกข์ ไม่เที่ยงมีความตายในที่สุด
การพิจารณาเวทนา ว่า ความรู้สึก ในอิริยาบทต่างๆ ความรู้สึกที่มากระทบว่า ไม่เที่ยง
♥♥ การพิจารณาจิต ของเราเอง ว่า จิตสะอาดหรือ
ไม่สะอาด มีกิเลสหรือไม่ ?
ประคองจิตไว้กับพระพุทธเจ้าและอารมณ์นิพพานไว้เสมอ การพิจารณา ธรรม ว่าธรรมใดที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ทำให้เจริญขึ้น ธรรมใด คุณธรรมใด ศีลข้อใดที่ยังไม่เต็มก็จงทำให้เต็ม
วิปัสสนาญาณ ที่ยังไม่ปรากฏก็ขอให้ปรากฏขึ้นในจิตของเรา
♥♥♥
ที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ
อย่าทิ้งพระพุทธเจ้า + คำสอนของพระองค์ท่าน ไปจากใจของเรา
รวมทั้งให้ อธิฐาน
ให้ท่านคุ้มครองกาย วาจา ใจ ของเราให้ตั้งมั่นอยู่ใน สัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ
อยู่เสมอทุกๆวัน

ความก้าวหน้าในสมาธิจิตนั้นขึ้นอยู่กับ
พลังแห่งการเรียนรู้
และ พลังแห่งการพัฒนาตัวเอง
ของท่านแต่ละคนว่า
มีอิทธิบาท 4 มากน้อยเพียงไรรวมถึงวาสนาบารมี
ในอดีตชาติด้วย
ขอให้ทุกท่านก้าวหน้าและเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ
ผมขอกราบโมทนาบุญด้วยทุกท่านทุกประการครับ

18-11-2008, 12:13 AM 
11-10-2006, 06:27 PM kananun หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ
เมื่อท่านทั้งหลาย มีดวงจิตที่ตั้งไว้ดี แล้วอันได้แก่..
มี สัมมาทิษฐิ ในจิต ในความคิด
มีสัมมาสมาธิ การเจริญฌานสมาบัติเพื่อความหลุดพ้น และ ประโยชน์ ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
มี สัมมาปัญญา อัน ประกอบไปด้วยญาณอันเป็นเครื่องรู้ ในเหตุและผลอันชอบ
มี สัมมาปฏิบัติ
อยู่ในศีลในธรรม จากที่ต้องรักษาศีล จนถึงระดับที่ศีลรักษาเรา
มีความเข้าใจในความ
เสียสละความสุขส่วนตนเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม มีความเข้าใจใน พุทธภูมิวิสัย
โพธิสัตว์วิสัย
มีความเข้าใจและความจำเป็น ในการฟื้นฟูศีลธรรม คุณธรรมให้กลับมาสู่สังคม
มีพื้นฐานของ สมาธิ และ อภิญญาสมาบัติ ในระดับที่ดี

ผมขออนุญาต แนะนำ
การฝึกจิตเข้าสู่ดินแดนแห่งความรู้
ที่มิติของ พระพรหม

ที่แห่งนี้เป็น แหล่งรวมแห่งความรู้ และ อารยธรรมทั้งหลายที่ปรากฏมาในอดีต ปัจจุบัน และ อนาคต
ของทั้งจักรวาล หลาย ๆ ท่านที่สามารถเข้ามาถึง ศูนย์ข้อมูล ณ จุดนี้ ได้ จะมีผลทำให้ ท่าน ผู้นั้น
มี ภูมิปัญญา เป็น พหูสูตร มีความรอบรู้ในสรรพศาสตร์ทั้งปวง แต่ท่านทั้งหลายได้โปรดอย่าได้ลืมว่า
ศาสตร์ทุกสิ่ง รวมทั้งทุกสรรพสิ่ง ย่อมอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ของกฏไตรลักษณ์ คือ ความ
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็น อนัตตา
ดังนั้น ความรู้ และ สรรพศาสตร์ ทั้งหลายนั้น ขอให้ท่านเข้าถึง
และ นำไปใช้แต่ในเรื่องที่เป็นประโยชน์ ต่อ
ความหลุดพ้นของตนเอง การแก้ทุกข์ การดับทุกข์
แก้ปัญหาในชาติปัจจุบัน ประโยชน์ของพระพุทธศาสนา ประโยชน์ของปวงชนชาวไทย
ประโยชน์ต่อโลก ประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ
ประโยชน์ต่อสรรพสัตว์
ส่วนการเข้าถึงข้อมูลทางสรรพศาสตร์เหล่านี้นั้น มีระดับชั้นของข้อมูล โดย ขึ้นอยู่กับระดับความสะอาด
บริสุทธิ์ของจิต เจตนาความตั้งใจในการนำความรู้ไปใช้ และ หน้าที่ที่ต้องรู้ในสิ่งที่สมควรรู้ เห็นในสิ่ง
ที่สมควรเห็น รวมถึงเพื่อให้ พระโพธิสัตว์ ทั้งหลายได้นำข้อมูลความรู้จากสรรพศาสตร์ เหล่านี้
ไปใช้ประโยชน์ต่อสรรพสัตว์ในการสร้าง ใน การบำเพ็ญบารมีให้ยิ่งๆขึ้นไป
ตัวอย่างของท่านผู้ที่เข้าถึงข้อมูลตรงจุดนี้ได้ นั้นมี
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
แน่นอนครับ นอกเหนือจาก
ปฏิสัมภิทาญาณ ที่ ปรากฏแล้วท่านยังมีความรอบรู้ในศาสตร์ และ เรื่องราวทั้งปวง โดยท่านมักจะ
กล่าวอ้างถึง ว่าความรู้ต่างๆที่ท่านทราบนั้น มี" ท่านสรรพศาสตร์ " เป็นคนมาบอกเรื่องราวต่างๆ
ให้ทราบทราบเสมอ ท่านจึงทรงภูมิความรู้สูงในทุกๆด้าน เป็นการยังศรัทธาของ สานุศิษย์ทั้งหลาย
ให้ยิ่งเพิ่มความเคารพนับถือในภูมิความรู้ของท่าน ซึ่งท่านรู้ ไปถึงเรื่อง มนุษย์ต่างดาว
เรื่องราวของ หลุมดำ ความเป็นไปในมิติและจักรวาลอื่นๆ
♥♥♥
ส่วนอีกท่านหนึ่งที่ท่านรู้วิธีใช้ฌานสมาธิเพื่อ เข้าถึงแหล่งความรู้เหล่านี้ในยุคปัจจุบันคือ
อ. ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ครับ จากความรู้ที่ท่านได้คิดค้น ขาของยานอุปกรณ์ลงจอด ยานไวกิ้ง
โดยอาจารย์ได้เล่าว่า ได้ตั้งคำถามถึงวิธีการขึ้นในจิต จากนั้นก็เข้าสมาธิ หลังจากนั้น ก็ จะปรากฏภาพ
จำลองของอุปกรณ์ชิ้นนั้น ขึ้นมาในจิต และเมื่อนำไปส่งประกวดที่ นาซ่า ผลก็คือสามารถใช้งานได้เลย
โดยไม่ต้องร่างแบบในคอมก่อน แล้วสร้างแบบจำลองต้นแบบ เพื่อทดลองใช้งาน ว่าใช้งานจริงได้
หรือไม่ ... จะเห็นได้ว่า การเข้าถึง แหล่งความรู้แห่งจักรวาล นี้ สามมารถนำไปใช้ในการประดิษฐ์
คิดค้น นวัตกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ ได้อย่างมากมาย โดยสามารถช่วยประหยัด
ต้นทุนในการค้นคว้าวิจัย และ พัฒนาลงได้เป็นจำนวนมาก ถ้านำความรู้เหล่านี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์
อย่างจริงจัง จะเป็นเรื่องง่ายอย่างยิ่ง ที่ ประเทศไทยจะเป็นผู้นำเทคโนโลยี่ ของโลก
แต่ก็ต้องอยู่ในขอบเขตของเทคโนโลยี่ที่สร้างสรรค์ด้วยนะครับ
นอกจากนี้ความรู้นี้ยังนำไปใช้ใน งานสร้างสรรค์ ศิลปะ ได้อีกด้วยตัวอย่างคือ บุษบกที่เป็นที่เก็บสรีระ
ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านนั้น เป็นการสร้าง ขึ้นเลยด้วยฝีมือช่าง ไม่มีการเขียนแบบ ร่างแบบก่อน เป็น
การ ดาวน์โหลด แปลนจากข้างบนเข้ามาในจิตโดยตรง แล้วช่างจึงลงมือแกะสลักทันที จะเห็นได้ว่า
ถ้ามี การประยุกต์ใช้ องค์ความรู้จากสรรพวิชาเหล่านี้ร่วมกับคุณธรรม จริยธรรม แล้ว ก็จะเป็นเวลาที่
มนุษย์โลกเรา จะมีความสมดุลในความเจริญทั้งทาง วัตถุและความเจริญทางด้านจิตใจ การใช้
วิทยาการเพื่อการพัฒนาอย่างสร้างสรค์ ย่อมมีประโยชน์กว่า การใช้เทคโนโลยี่เพื่อการทำลายล้างครับ
หลายๆคนพอจะเห็นภาพรวมของประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการใช้ฌานสมาบัติเพื่อเข้าถึง
แหล่งความรู้ของจักรวาล แล้วนะครับ เราจะได้เริ่มเข้าเนื้อหาการฝึกการปฏิบัติกันต่อไปครับ
♥♥♥
 Sawiiika  04-12-2008, 09:13 PM   Sawiiika  สมาชิก
11-10-2006, 07:17 PM kananun หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ
มาฝึกกันเลยครับเริ่มต้นก็ใช้ '' วิชาพื้นฐาน ''
จับลมสบาย จนใจเราสงบสบาย เป็นลมตลอดสายจนจิตนิ่งเหลือ ลมหายใจสั้นเท่า '' เมล็ดถั่ว ''
จากนั้นตั้งจิตว่า
ขณะที่เรากำลังปฏิบัติสมาธิอยู่นี้
ศีลของเราบริสุทธิ์
จิตของเราเป็นสัมมาทิษฐิ
เรามีความมั่นคงในพระรัตนไตร
ต่อไปพิจารณาความไม่เที่ยง ในสังขารร่างกาย อันมีความเสื่อม
ความตายในที่สุด ปล่อยวางจากขันธุ์ 5 นี้
จากนั้นจับภาพพระพุทธเจ้าท่านให้ใสเป็นแก้ว
ประกายพรึก
ยกจิต อาทิสมานกายขึ้นสู่พระนิพพาน
กราบพระพุทธเจ้าท่านและ ท่านผุ้มีพระคุณที่
ท่านมาโปรด ในสมาธิขณะนี้
จากนั้นตั้งจิตอธิฐานว่า
" ด้วยบารมีของพระพุทธองค์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ทั้งหลายทั่วอนันตจักรวาล

ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึง ความรู้ญาณทัศนะ แห่งพรหมศาสตร์ อันเป็นแหล่งความรู้ของจักรวาล
ในความรู้อันเป็น
สัมมาทิษฐิสัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา เพื่อ ประโยชน์แห่ง
ตัวข้าพเจ้า ส่วนรวม พระพุทธศาสนาและ มวลมนุษยชาติอีกทั้งสรรพสัตว์
สิ่งใดที่ข้าพเจ้าสมควรรู้ก็ขอให้ได้รู้ สิ่งใดที่ข้าพเจ้าสมควรเห็นก็ขอให้ได้เห็น
" หากความรู้ใดจักเกิดโทษต่อข้าพก็ดี ต่อส่วนรวมก็ดี ต่อพระศาสนา ต่อมนุษยชาติ และ สรรพสัตว์ก็ดี ขอข้าพเจ้าจง อย่าได้รู้ อย่าได้เห็น อย่าได้ทราบเลย
"
จากนั้นวางใจให้สบาย ท่านที่ได้ วิชามโนมยิทธิ ท่านก็จะสามารถไปที่ พรหมสถาน
กราบขอความรู้จากท่าน ท้าวสหัมบดีพรหม
ในสรรพวิชาที่ท่านจะได้ใช้ สร้างบุญ สร้างบารมีบนโลกมนุษย์
ในชาตินี้
ส่วนท่านที่ไม่ได้มโน ขอให้ท่านทำใจให้สบาย โล่ง โปร่ง เบา และ
ตั้งคำถามขึ้นในจิตในเรื่องหรือปัญหาที่ท่านอยากรู้ อยากทราบ จะปรากฏเป็นเสียงตอบขึ้นมาในจิตบ้าง เห็นภาพปรากฏขึ้นมาในจิตบ้าง เมื่อรู้เมื่อเห็นเมื่อทราบแล้ว
ขอ จงอย่าได้เชื่อแต่แรก
ให้ตั้งคำถามในจิตต่อไป ถึงเหตุ ถึงผลเพื่อประกอบการตัดสินใจ แล้วจึงใช้ปัญญาไตร่ตรองดู ด้วยความรอบคอบ ว่ามีเหตุมีผลมีความเป็นไปได้สมควรเชื่อถือ ได้จริงหรือไม่ ถ้า เห็นสมควรจึงเชื่อและทดลองดูว่าจริงหรือไม่
เมื่อฝึกบ่อย เข้าทำบ่อย เข้าไม่ช้า
จิตจะเชื่อมต่อโดยอัตโนมัติ
เมื่อมีคำถามเกิดขึ้นในจิต
ญาณเครื่องรู้ ตัวรู้ จะมีคำตอบให้โดยไม่ต้องคิด ข้อมูลข่าวสารที่รู้นั้นมีปริมาณ รวมทั้งความรวดเร็ว
ในการส่งต่อเข้าสู่จิต
สูงกว่าการคิดมากมาย เมื่อท่านทำได้แล้วจะเข้าใจเอง ครับ
เมื่อได้เข้าถึงแหล่งสรรพวิชาเหล่านี้ได้แล้ว และได้ความรู้จนเป็นที่พอใจ ก็จง
ยกจิตอาทิสมานกายกลับไป
ยังพระนิพพาน
กราบลา สมเด็จพระจอมไตรพิชิตมาร ที่พระนิพพานพร้อมทั้งทุกๆท่านผู้มีพระคุณ แล้วทิ้ง
อาทิสมานกายของตนให้สถิตอยู่บน วิมานของตนเองบนพระนิพพาน
ครับ
ขอให้ทุกท่านใช้สรรพศาสตร์นี้ในทางสร้างสรรค์เพื่อการสร้างบารมี ของท่านเอง ครับ
ความรู้ของแต่ละท่านอาจรู้เห็นไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน ตามบารมีตามหน้าที่ครับ ผมเอง
ก็ยังรู้ไม่มากครับ ยังมีเรื่องราวอีกมากมายให้เรียนรู้ ครับ วิชานี้จะเป็นประโยชน์ นอกเหนือ
จากการที่ท่านจะ
ใช้กำลังใจถามพระเบื้องบน ซึ่งเน้น วิชาทางธรรม ส่วนวิชชานี้เหมาะกับ การถามสรรพวิชาที่เราจะนำไปใช้ทางโลก
ขอกราบโมทนาในผลแห่งการปฏิบัติ
และ การนำไปใช้เพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมของทุกๆท่านครับ

♥♥♥
     

 




Create Date : 27 ตุลาคม 2559
Last Update : 27 ตุลาคม 2559 23:48:19 น. 0 comments
Counter : 591 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

doraeme
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add doraeme's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.