Group Blog
 
 
ตุลาคม 2559
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
27 ตุลาคม 2559
 
All Blogs
 
3.2การปฏิบัติธรรมสายมโนมยิทธิโดยอ.คณานันท์ทวีโภคUPDATE 27102559



  3.2การปฏิบัติธรรมสายมโนมยิทธิโดยอ.คณานันท์ทวีโภคUPDATE 27102559

...

12-10-2008, 05:23 PM   Sawiiika 
24-07-2006, 09:52 PM kananun
หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ
" วิชายกพระเสี่ยงทาย "
วิชานี้หลายคนรู้จักและเคยใช้เป็นอย่างดีก็ขอให้คิดว่าได้ทบทวนใหม่นะครับ
ข้อดีของวิชานี้คือ 1. เป็น การพิสูจน์ ว่า
พุทธานุภาพของพระพุทธเจ้ามีจริง เป็นการสร้าง
ศรัทธาความเชื่อมั่น ในคุณพระรัตนไตยได้ตั้งแต่ต้น
2.ทำได้ง่ายแม้จะเป็นผู้มีสมาธิไม่สูง ไม่มีทิพจักษุญาณก็ สามารถทำได้ ขอมีความศรัทธาจริง
3. ทำได้ทุกที่ จะเป็นที่วัดหรือที่บ้านก็ได้
4. เป็นวิชาที่สืบทอดกันมานับแต่โบราณกาล และเคยใช้ในการเสี่ยง บุญ วาสนา
บุญญาธิการเพื่อความอยู่รอดของบ้านเมืองมาแล้ว
สถานที่ที่มีการยกพระเสี่ยงทายนั้น เท่าที่ผมจำได้มี ที่ศาลหลักเมืองกรุงเทพ พระธาตุเชิงชุม
วิธีการฝึกมีดังนี้ครับ ก่อนอื่นหา พระพุทธรูป มาองค์หนึ่งหน้าตักกว้างประมาณ 6 ถึง 12 นิ้ว ดอกไม้
หรือ พวงมาลัย ธูปเทียน และ ผ้าที่สะอาดผืนหนึ่ง ปูผ้าเบื้องหน้าเรา นิมนต์วางพระพุทธรูปท่านไว้เบื้องหน้า
เรา จากนั้นนำดอกไม้ ธูปเทียนบูชาพระ ว่านะโม สามจบ ตามด้วยคำขอขมาพระรัตนไตย
จากนั้นเข้า อารมณ์สูงสุดที่ฝึกมาคือจับลมสบาย ทำจิตให้อิ่มเอิบจับภาพพระให้ใสเป็นเพชรในใจ แล้ว อธิฐานว่า
"ข้าพเจ้าขออาราธนาพระพุทธบารมีของพระพุทธเจ้าท่าน ให้มาสถิตอยู่ ณ องค์พระพุทธปฏิมาเบื้องหน้าของข้าพเจ้านี้ และ ได้โปรดชี้ทางสว่าง ให้แก่ข้าพเจ้าประดุจได้อยู่เบื้องพระพักตร์ขององค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเถิด " จากนั้นใช้จิตสัมผัสให้เห็นองค์
พระเบื้องหน้าเรา ใสเป็นเพชร แล้ว ว่า คาถา
" พุทธธัง อาราธนานัง ธรรมมัง อาราธนานัง สังฆังอาราธนานัง "
แล้วใช้มือของเราประคองจับที่ตักขององค์พระท่าน แล้ว อธิฐานว่า
" หากแม้นพุทธานุภาพแห่งพระพุทธองค์ท่านเสด็จมาเมตตาข้าพเจ้าแล้ว
ขอให้องค์พระปฏิมานี้จง หนัก ปานภูผาจนข้าพเจ้ามิอาจยกขึ้นด้วยเทอญ "
จากนั้นจึงยกองค์พระขึ้น ลองดูว่ายกไหวหรือไม่ ?
ถ้าไม่ไหวให้กราบท่านแล้วอธิฐานใหม่ว่า
" ขอพระองค์ทรงเมตตาแสดงพุทธานุภานุภาพ ให้ข้าพเจ้าได้ยังศรัทธามั่นคง
ข้าพเจ้าขอให้องค์พระปฏิมานี้ เบา ประดุจเทพยดามาช่วยยกด้วยเทอญ "
จากนั้นยกองค์พระขึ้นใหม่ ดูว่าพระท่านเบาลอยต่างกันกับเมื่อสักครู่หรือไม่ ถ้าเบาหวิว
ก็ขอให้สิ้นความสงสัยได้ และให้ระลึกว่า อำนาจพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณมีอยู่ จริงแท้แน่นอน
จากนั้นผมขอให้ท่านตั้งคำอธิฐานเสี่ยงทาย 3 ข้อครับ
1. อธิฐานว่า " หากแม้ ธรรมมะและคุณธรรมของข้าพเจ้าจะรุ่งเรืองก้าวหน้า ขอให้องค์พระท่านหนัก
จนยกไม่ขึ้นด้วยเทอญ " จากนั้นอธิฐานซ้ำแต่ขอให้พระท่านเบา ข้าพเจ้านี้คือตัวคุณเองนะครับ
2. อธิฐานว่า " หากแม้ข้าพเจ้าได้อธิฐานก่อนลงมาจุติในชาตินี้มีหน้าที่ เพื่อช่วยเหลือส่วนรวม ขอให้
องค์พระ ท่านหนักจนยกไม่ขึ้นด้วยเทอญ " จากนั้นอธิฐานอีกครั้งแต่ ขอให้พระท่านเบา
3. ผมให้ท่านอธิฐานในสิ่งตัวท่านเองต้องการเสี่ยงทายครับ
ทำได้แล้ว ผมขอให้กราบพระท่านที่ตักแล้ว อธิฐานว่า
" ข้าพเจ้าสิ้นสงสัยในคุณพระรัตนไตยแล้ว
และขอยึดไตรสรณคมน์เป็นที่พึ่งอาศัยตลอดชีวิตจนถึงซึ่ง พระนิพพาน ขอให้พุทธบารมีของพระองค์
ท่านมาสถิต ให้พระพุทธปฏิมาองค์นี้เป็นพระพุทธรูป ศักดิ์สิทธ์คุ้มครองข้าพเจ้าและครอบครัวจากภัย
อันตรายทั้งปวง และ ให้เหล่าข้าพเจ้าได้น้อมบูชา แทนองค์พระศาสดาด้วยเท
"
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sawiiika : 25-04-2009 เมื่อ 01:10 PM
12-10-2008, 05:26 PM   Sawiiika 
25-07-2006, 11:23 PM kananun หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ
การอารธนาบารมีกำลังพุทธคุณ มาใช้ร่วมกับ พระเครื่อง และ เครื่องราง ของขลัง
เพื่อใช้คุ้มครองรักษาตัวท่านและครอบครัว
ครับ
ขอให้ข้อมูลตามที่พระท่านบอกครับ ให้ท่านไปใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองเองครับ
   ปัจจัยที่ทำให้ พระเครื่องศักดิ์สิทธิ์ ประกอบไปด้วย
จิตเจตนาของผู้สร้าง ถ้าจิตเจตนาของท่านผู้สร้างเป็นไปเพื่อช่วยเหลือหรืสงเคราะห์ผู้คน
แจกให้โดยไม่หวังผล พระท่านก็จะบังเกิดความศักดิ์สิทธิ์
ความบริสุทธิ์ และ คุณธรรมของผู้สร้าง ความศักดิ์
สิทธ์จากธาตุ และ เนื้อมวลสารขององค์พระเครื่องหรือวัตถุมงคลนั้นเอง
ขอยกตัวอย่างเช่น พระสมเด็จจิตรลดาที่องค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงสร้าง เพื่อพระราชทานให้ข้าราชบริพารโดยรวบรวมจากเส้นพระเกสา ของพระองค์ท่าน นำมนต์ จากทั่วประเทศ และ วัตถุขลังอย่างอื่น เช่น เหล็กนำพี้ ตะไคร้จากองค์ พระธาตุทั่วประเทศเป็นต้น พระของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านมีพระคำ ข้าว พระหางหมาก ที่ มีมวลสารจาก ธาตุอันบริสุทธื์ของพระอรหันต์
จาก พิธีพุทธาภิเษก การอธิฐานจิต และ การอาราธนาคุณพระอาราธนา ถ้าพิธีกรมที่ทำนั้น ทำเพียงรูปแบบของพิธีกรรมโดยไม่มีพลังสมาธิของเจ้าพิธี ก็จะศักดิ์สิทธิ์น้อยกว่าการที่ เจ้าพิธี และ พระที่ร่วมในพิธีอธิฐานจิตประจุพลังลงไปในองค์พระ แต่ก็ไม่เท่าที่เจ้าพิธีท่าน
อาราธนาบารมีของพระพุทธเจ้าให้มาสถิตอยู่ในเครื่องรางนั้นๆ
   คำอธิฐานจิตที่กำหนดไว้ในเครื่องรางนั้น ๆ อุปมาเหมือนการลงโปรแกรมคำสั่ง
เพื่อวัตถุประสงค์ที่ปรารถนา เช่น พระองค์นี้ท่านดีทางด้านเมตตา มหานิยม องค์นี้ด้านอยู่ยงคงกระพัน
เป็นต้น ซึ่งก็ต้องเลือกตามวัตถุประสงค์ที่เราต้องการ ที่น่าสังเกต คือ พระหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และ
เครื่องรางอื่นหลายอย่าง ท่านบอกไว้ล่วงหน้าหลายสิบปีเลยว่า พระของท่านใช้ป้องกันรังสีนิวเคลียร์ได้
ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก หนังสือ สมบัติพ่อให้ครับ
   ส่วนปัจจัยสุดท้ายที่ทำให้พระท่านแสดงความศักดิ์สิทธิ์ คือ ตัวของผู้ใช้ ครับ เพราะ
พระท่านคุ้มครองช่วยเหลือได้ถ้าไม่เกินผลของกรรม
ครับ เป็นเหตุผลที่ โบราณจารย์ท่านจะ ขอสัจจะเวลาให้
เครื่องรางของขลังแก่ผู้ใด เช่น ห้ามผิดลูกเมียเขา ห้ามด่าแม่คนอื่นไม่งั้นวิชาจะเสื่อม ต้องมีสัจจะเป็นคนจริง เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นศีลครับ เป็นอุบายที่ท่านจะให้ชาวบ้านได้
มีศีล
แม้ข้อเดียวก็ยังดี แต่
ให้ ตั้งมั่นได้ตลอดชีวิต จะได้เป็นบุญคุ้มครองผู้สวมใส่
เครื่องรางครับ และ อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือ
ความศรัทธาในพระรัตนไตยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่เราสวมใส่ครับ
ดังนั้นเราคงเห็นข่าวครับว่า เสี่ยบางคนทุ่มเงินเป็นสิบล้านเช่าพระสมเด็จมาแขวนสุดท้ายถูกถล่มด้วย M16
คารถ และอีกตัวอย่างหนึ่งคือ ผมเห็นในข่าวว่ามีบ้านหนึ่ง เกิดไฟไหม้บ้านวอดทั้งหลัง มีสิ่งเดียวที่ไม่ไหม้
คือ รูปในหลวงที่ตัดจากหนังสือพิมพ์มา ใส่กรอบครับที่ไม่ไหม้ ดังนั้นสิ่งที่เราจะทำให้พระท่านแสดง
ความศักดิ์สิทธ์คุ้มครองเราได้นั้นเราสามารถทำได้ดังนี้
ตั้งใจ รักษาศีล ให้ได้มากที่สุด ตามกำลังใจของตน
จากไม่คิดรักษาศีล ให้คิดรักษาศีล รักษาไม่ได้
สักข้อ ก็มา รักษาให้ได้สัก 1 ข้อ 2 ข้อ 3 ข้อ ก็ยังดี
รักษาตอนกลางวันทำงานไม่ได้ ก็รักษา ตอนกลางคืน
ก่อนนอน หรือ ชั่วระยะเวลาเช่นขณะสวดมนต์ทำสมาธิ หรือ รักษาตามวัน เช่นเราเกิดวันจันทร์ ก็รักษาศีล
วันจันทร์ ขึ้นชื่อว่าความดีแม้เพียงเล็กน้อยก็มีผลรักษาศีลเพิ่มขึ้นจน ครบศีลห้า รักษาศีลให้เป็นปกติ
เหมือนเราต้องอาบนำ แปลงฟันทุกวัน
รักษาศีลของเราให้บริสุทธิ์แล้ว ไม่ส่งเสริมให้ผู้อื่นผิดศีลและไม่ยินดีที่ผู้อื่นทำผิดศีลด้วยครับ
มีความเคารพศรัทธาในพระรัตนไตย เชื่อมั่นในพุทธานุภาพของท่านว่าคุ้มครองเราได้จริง
เพราะถึงท่านจะใส่พระที่คนอื่นบอกว่าเก๊ แต่ถ้าท่านมีความดี มีความศรัทธา และ มีจิตสื่อถึงพระ
ท่านได้ พระทุกองค์ท่านศักดิ์สิทธิ์เสมอครับ
วิชาอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าท่านให้ลงมา สถิตในพระ และ เครื่องรางที่เราแขวนหรือบูชา
ควรทำในวันพระ หรือ วันพฤหัส หรือวันเสาร์ขึ้น ห้าค่ำ แต่ถ้ามีเหตุจำเป็นหรือคับขัน อนุโลมใช้วันอื่น
ได้ เตรียมดอกไม้ ธูป เทียน จุดบูชาพระ
ว่า นะโม 3 จบ ต่อด้วย อิติปิโส จนจบ
จับลม ภาวนา พุทธโธ
จนใจสบาย นำพระที่ท่านจะใส่หรือ ให้ผู้ใด มาประนมจบไว้ที่หน้าผาก จะเป็นองค์เดียว หรือใส่ในพาน หลายองค์ก็ได้
 มาจบไว้ด้วยอาการเคารพทั้งกาย ทั้งใจ
ตั้งจิต " ระลึกถึงความดีที่เราทำมา นับแต่ อดีต จนถึง ปัจจุบันและจะทำต่อไปใน อนาคต " ตั้งใจต่อไปว่า
ขณะนี้ข้าพเจ้ามีศีล 5 บริสุทธิ์ มีจิตที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ และ
ข้าพเจ้าถึงพร้อมซึ่งความเคารพในพระรัตนไตย ข้าพเจ้ามีจิตใจที่บริสุทธิ์
จากนั้น
จับลมหายใจที่ละเอียดเบาสบายตามกำลังสมาธิสูงสุดที่ทำได้ แล้ว
จับภาพพระพุทธรูป ที่เคยได้ฝึกมาแล้ว ให้ใสเป็นแก้วประกายเพชรแล้วอธิฐานว่า
" ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมี พระพุทธเจ้า ทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า ทุกๆพระองค์
พระธรรม และอริยสงฆ์ทั้งหลาย คุณครูอุปัชฌาอาจารย์ทั้งหลาย นับแต่โบราณากาลเป็นต้นมา
ขอได้โปรดเมตตาประทานพุทธบารมี อันหาที่สุดมิได้ ลงมาสถิตอยู่ในองค์พระเครื่องของข้าพเจ้านี้
ให้มีพุทธคุณสูงสุดยิ่งขึ้นไป หนุนพลังที่คุณครูบาอาจาย์ที่ท่านได้อธิฐานไว้แล้วให้ล้ำเลิศ ประเสริฐสุดให้ปกปักรักษากายของข้าพเจ้าให้ปลอดภัย จากศาสตราวุธ เขี้ยว งา ธาตุ รังสี และ เชื้อโรคเชื้อร้ายทั้งปวง
ขอให้แผ่รัศมีเป็นเกราะแก้วคุ้มจิตคุ้มใจข้าพเจ้า
ให้ตั้งมั่นใน สัมมาทิฐิ และ ป้องกันกายจิตของข้าพเจ้าจาก บาปกรรมอกุศล และ คุณไสย ขออย่าได้มีภัยมาแพ้วพาน
ขอให้ข้าพเจ้าเจริญยิ่งๆขึ้นไปทั้งทางโลกทางธรรม
ขอให้ข้าพเจ้ามีสินทรัพย์ที่มั่งคั่งเพื่อเป็นพลังสร้างทานบารมี
สิทธิกายะ สิทธิกายะ สิทธิกายะ
"
ตลอดเวลา ที่อธิฐานให้ทำใจให้เบาสบาย และ จับภาพพระอยู่ตลอดเวลา เมื่ออธิฐานเสร็จแล้ว
น้อมจิตให้พระพุทธบารมีของพระพุทธเจ้าที่ปรากฏในจิตขณะนั้นเคลื่อนลงมาคลุมพระเรื่องที่เรา
อาราธนา
ไว้ในมือจนมีความรู้สึก ใน จิต ว่า
องค์พระในมือท่านขาวใสบริสุทธิ์ใสสว่างเป็นเพชร เมื่อจะนึก
ให้ท่านสว่างเปล่งรัศมี ท่านก็ยิ่งส่องสว่างได้ดังใจนึก ลอง
ขอให้รัศมี ของพระท่านที่อยู่ในมือนั้นเป็น
แสงสว่างใสมีประกาย คลุมร่างกายเราไว้ทั้งหมด
อธิฐานว่า ขอรัศมีแห่งพุทธานุภาพนี้จงช่วยคุ้ม
ครองข้าพเจ้า และ ครอบครัว จากอันตรายทั้งปวง ด้วยเถิด
จากนั้น วางพระท่านกลับไว้บนพานหรือ
บนหิ้งพระ เมื่อจะสวมคอ ( ในกรณีพระเครื่อง ) ให้เข้าสมาธิ
" จับภาพพระองค์ที่ท่านจะสวม ให้ใสสว่างเป็นแก้ว
อธิฐานให้ท่านคุ้มครอง " ก่อนจะสวมครับ
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sawiiika : 25-04-2009 เมื่อ 01:38 PM
12-10-2008, 05:29 PM   Sawiiika 
27-07-2006, 07:55 PM kananun หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ
ต่อไปพระท่านให้แนะนำเรื่อง
มรณานุสติ
อันเป็น วิปัสสนาฯ เพื่อทำให้เกิด ปัญญา ครับ
จับ ลมหายใจให้เบาสบาย ครับ จับภาพพระให้ใสสว่าง เป็นเพชร จากนั้น
นึกให้เห็นตัวเรากำลังนั่งอยู่หน้าพระท่าน ตั้งจิตอธิฐานว่า
เสมือนเราฟังธรรม ต่อหน้าพระพักตร์ ของ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้วใช้อารมณ์ใจสบาย ใคร่ครวญ พระธรรม ดังนี้
จงพิจารณาว่า ตราบเท่าที่เรามีชีวิตอยู่จนปัจจุบัน
เราได้ยินข่าว การตาย มากมายหลายครั้ง

บางรายเป็นทารกตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา บางรายเมื่อ
คลอดออกมาจึงตาย บางรายตายตอนเป็นทารก บางรายตายตอนเป็นวัยรุ่นบางรายตายตอนเป็นหนุ่มสาว
บางรายตายตอนเป็นวัยกลางคน บางรายตายตอนแก่
พิจารณาว่า ไม่ว่าในวัยใดก็ตายได้ตลอดเวลา
สรรพสัตว์เกิดขึ้นก็มีความตายในที่สุด เป็นธรรมดาของโลก
คนอื่นก็ต้องตาย คนใกล้ตัวเราก็ต้องตาย

ญาติพี่น้องเรา ก็ต้องตาย และ ถึงแม้
ตัวเราเองก็ต้อง ตาย ไปในที่สุดเราไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไหร่
อาจจะในนาทีนี้ คืนนี้ เช้าพรุ่งนี้ หรืออาจจะเดือนหน้า ปีหน้า 10 ปีข้างหน้า เราไม่อาจรู้ รู้แต่ว่าเราตาย
พระพุทธเจ้าท่านให้ระลึกถึง ความตายในชีวิตไว้เสมอ และเพื่อ ยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมนั้
หมายถึง ว่า จงอย่าประมาทว่าตัวเราจะยังไม่ตาย แต่ให้ทำความดีให้มากที่สุดอย่าประมาทว่าพรุ่งนี้
เราจึงจะทำความดี
หรือ เมื่อแก่แล้วเราจึง จะเข้าวัด
ถ้าเราจะต้องตายวันนี้เราจะทำอย่างไร ?
ลองถามใจตัวเองว่า เรามีความกลัวตายหรือไม่ ?
จากนั้นลองถามตัวเองว่าทำไม เราจึงกลัวตาย ?
ความจริงนั้น " ความกลัวเกิดจากความไม่รู้ " เราไม่รู้ว่า เราจะตายเมื่อไรตายอย่างไร เราจึงกลัวเราไม่รู้ว่า
 ความตายเป็นเรื่อง ธรรมชาติ ที่ทุกคนต้องพบ และ พลัดพรากจากทุกสิ่งในโลกนี้ เราจึงกลัวเราไม่รู้ว่า
เมื่อตายไปแล้ว เราจะไปไหน เราจึงกลัว ดังนี้เอง ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีแล้ว สองประเด็นแรกคือ เราจะตาย
เมื่อไหร่ ตายอย่างไร เป็นเรื่องธรรมดาที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรยอมรับว่าเป็น ธรรมดาของโลก ที่เป็น
" ความไม่เที่ยงทำให้พลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งปวง "
เราควรทำใจให้เป็นธรรมดา แต่สิ่งที่เราควรกลัวก็คือ ว่า เมื่อเราตายแล้วเราจะไปไหน ?
ถ้าไป สู่สุขคติ มีสวรรค์ พรหม ก็ยังดีแต่ถ้าหมดบุญก็ยังต้องเวียนว่า ลงมาเสวยความทุกข์อยู่ดี
ที่น่ากลัวคือ การไปเกิด ยังนรก และ อบายภูมิ ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ความทรมาน ยาวนาน
" ดังนั้นเราจึงไม่ควรกลัวตาย แต่ควรกลัว บาป และ เวรกรรมที่ทำให้ตกนรก และ อบายภูมิ ทำอย่างไร
จึงจะพ้นจากอบายภูมิ ได้
ก็อย่างที่ทราบว่าเมื่อ ตอนต้น ผมได้บอกกับท่านแล้วว่า พระพุทธเจ้า
และพระอริยสงฆ์ท่านสอน ให้คนไม่ตกนรก
สิ่งที่จะกั้นมิให้ท่านตกนรกได้ คือ ศีล 5
ส่วนเครื่องหล่อเลี้ยงศีล 5 คือ
เมตตาพรหมวิหาร 4
ส่วน เครื่องคุ้มครองรักษาดวงจิต คือ คุณพระรัตนไตร
ครับ
ขอให้เข้าใจเรื่องความตายและการจุติก่อน จิตที่กำลังจะดับในขณะจิตนั้นจะไปจุติตามภพภูมินั้นๆ ท่าน
อุปมาดังฝูงวัวในคอก วัวที่อยู่ปากประตูคอกจะเป็นตัวที่ออกจากคอกก่อน ฉันใด จิตขณะดับจิตถ้าระลึกถึง
บุญก็ไป จุติ เสวยผลบุญ ถ้าอกุศลมาดลใจให้ระลึกถึงบาปกรรมชั่วก็ย่อมมี อบายภูมิเป็นที่ไปเช่นกัน
การฝึกอบรมจิตนั้นมีประโยชน์อย่างยิ่งใน การเลือกภพภูมิที่เราต้องการไปจุติ ด้วยการฝึกให้จิตมี
ความบริสุทธ์ในระดับเดียวกับภพภูมินั้นๆถ้าจิตมีมนุษยธรรม มี ศีล 5 บริสุทธิ์ ย่อมทำให้เกิดเป็น
มนุษย์ผิวพรรณวรรณะสวยงามมีความมั่งคั่งร่ำรวย ถ้าจิต มีหิริโอตปะ ความกลัวบาปกรรม และ ละอายใจ
ต่อการทำเวรกรรมชั่วทั้งหลาย ย่อมมีผลให้ไปเกิดเป็น
 เทวดาถ้ามีจิต เมตตาพรหมวิหาร 4 เต็มหัวใจก็ย่อม
ไปเกิดเป็น พรหมถ้าฝึกจิตใน สมาบัติ 8 พอใจในฌานจนเป็นปกติก็ย่อมไปเกิดเป็นอรูปพรหม
ถ้าจิตเบื่อหน่ายในสังสารวัฏ และ การเวียนว่ายตายเกิดอีก
ก็ ย่อมเป็นปัจจัยให้ถึงซึ่ง
พระนิพพาน
ในเหตุการณ์ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นก่อนจิตจะดับ นั้นถ้าเรา
ฝึกใจให้ระลึกถึง บุญ ศีล
พรหมวิหาร 4
พุทธานุสติ
เสมอ เป็นปกติโดยไม่ประมาท และ อธิฐานถึงภพภูมิที่เราเลือกว่า เมื่อละจากโลกนี้แล้ว
เราจะไปยังที่ใดภพภูมิใด ถ้าในขณะใกล้ดับจิตเราระลึกถึงบุญกุศล และศีลที่เราได้ทำมาจิตสบายย่อมไป
สู่สวรรค์ ถ้าขณะใกล้ดับจิต เราทรงอยู่ใน ฌานสมาธิ หรือ ทรงใน เมตตาอัปปมาณฌาณ
เราย่อมเข้าถึง การจุติใน พรหมโลก ได้
อานิสงค์ของการเจริญมรณานุสติครับ
ทำให้จิตมีความกล้าหาญ ไม่กลัวตาย ไม่ตื่นตระหนกจนขาดสติเมื่อมีเหตุคับขัน
เป็นคุณธรรมที่ช่วยต่อยอดการปฏิบัติในวิปัสสนาญาณให้ยิ่งขึ้นไป จนถึงอารมณ์นิพพาน
ทำให้เป็น ผู้มีสติ ไม่ประมาท ในชีวิต ในการทำความดี ในการปฏิบัติ ไม่หลงตาย
ทำให้ ตัดสังโยชน์ 10 ได้ง่ายขึ้น
หวังว่าเราจะเตรียมจิตของเราให้พร้อมรับมือได้ในทุกสถานการณ์นะครับ ความไม่รู้ทำให้เกิดความกลัว
ความกลัว ทำให้ขาดสติ การขาดสติ ทำให้ตื่นตระหนก บดบังปัญญา การขาดปัญญา ทำให้ ตัดสินใจ
ผิดพลาด การตัดสินใจผิดพลาด อาจนำไปสู่ความตายครับ .
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sawiiika : 25-04-2009 เมื่อ 01:52 PM
12-10-2008, 06:03 PM   Sawiiika 
28-07-2006, 09:46 PM kananun หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ
การใช้คาถาให้ศักดิ์สิทธ์ และ การขออาราธนา
กำลังพระพุทธคุณ คุ้มครองตัวเรา และ ครอบครัว ครับ
เมื่อจะใช้คาถาอะไรต้องทราบก่อนว่าเป็น คาถาที่ใช้ทำอะไร
ส่วนครูผู้ผูกคาถานั้น บางบทเราอาจไม่ทราบเนื่องจากเป็นคาถาที่ใช้สืบทอดกันต่อๆมา แหล่งที่มาของคาถา ลองค้นคว้าเพิ่มเติมจากหนังสือสวดมนต์บางเล่มเช่น เจ็ดตำนาน ตำราพรหมศาสตร์ หนังสือสมบัติพ่อให้ ของสายพระอาจารย์ในดง ดูในหนังสือวิทยาศาสตร์ทางจิตของ อ.ชม ครับ แต่ถ้าไม่รู้จะหาคาถาที่ไหน
มีอยู่ 2 บท หากินได้ทุกอย่าง
ตามที่ขออธิฐานใช้ครับคืออย่างยาวใช้
บทอิติปิโส ครับ อย่างสั้นหรือใช้ในยามคับขัน ใช้ " พุทธโธ "
เริ่มฝึกกันเลยครับ
1.จับลมสบาย จับภาพพระพุทธเจ้าท่านให้ใสเป็นเพชร อธิฐานขอใช้คาถาโดย ตั้งจิต ระลึกถึงคุณ
พระรัตนไตย คุณครูบาอาจารย์ ผู้ประสิทธ์ประสาทวิชา คุณครูบาอาจารย์ ให้มาช่วยให้คาถานี้
ศักดิ์สิทธ์สัมฤทธิผลเช่น
ขอให้ข้าพเจ้าและครอบครัว แคล้วคลาดปลอดภัยจากภัยพิบัติ
ขอบารมีของพระพุทธองค์ และ ศักดิ์สิทธ์ทั้งปวงได้คุ้มครองให้รอดพ้นจากศาตราวุธ อาวุธรังสี อาวุธเคมี อาวุธเชื้อโรค และ ภัยพิบัติจากธรรมชาติทั้งปวง ด้วยพุทธานุภาพอันหาที่สุดประมาณไม่ได้ด้วยเทอญ

2. จับอารมณ์สบาย ว่าคาถา อิติปิโส ไปเรื่อยๆ ถึง จนจบ บท สังฆคุณ ระหว่างที่ว่าคาถา จับภาพ
พระพุทธเจ้าที่ท่านใสเป็นเพช
ร ค่อยๆแผ่รัศมี แผ่ฉัพพรรณรังสีลงมาคลุมร่างกายของเรา ครอบครัว
หรือบุคคลที่เราต้องการจะขอให้พระท่านคุ้มครอง จนรู้สึกว่าร่างกายของเราและบุคคลอื่น
ใสสว่างไปด้วย รัศมีของพระพุทธองค์ครับ
จุดสำคัญคือ ความศรัทธาในคุณพระท่าน ครับคิดว่าคงไม่ยากเกิน
กำลังของท่านตั้งใจฝึกมาตั้งแต่ต้นครับ อย่าลืมทบทวนวิชาเก่าๆที่เคย
แนะนำมา และ เตรียมใจไปฝึก มโนมยิทธิ ที่บ้านสายลมนะครับ
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sawiiika : 25-04-2009 เมื่อ 01:55 PM
13-10-2008, 02:58 PM   Sawiiika 
31-07-2006, 09:18 PM kananun หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ
การทรงอารมณ์ฌานในพุทธานุสติกรรมฐาน
เริ่มต้นเราเริ่มต้นจาก
ลมสบายในการปฏิบัติทุกครั้งเป็นพื้นฐานครับ จากนั้นเราใช้ใจเรานึกถึงภาพ
พระพุทธรูปที่เราพอใจ หรือพระพุทธรูปที่เรารักเราเคารพ จากนั้น นึกให้พระท่านใสสว่างขึ้นเปล่งรัศมี
ระยิบระยับเป็นเพชรแพรวพราว เราเห็นความสวยงามจิตเราก็ยิ่งปิติชุ่มฉ่ำใจฝึกย่อขยายองค์พระท่าน
ให้ เล็ก ใหญ่ เลื่อน ซ้าย ขวา บน ล่าง ได้ดั่งใจนึก โดยที่พระท่านก็ยังทรงรัศมีสว่างอยู่ตลอดเวลา
ในขั้นที่ 1อธิฐาน
ให้องค์พระท่านมาประดิษฐ์ฐาน อยู่เหนือศีรษะของเรา
ให้ท่านคุ้มครอง ให้รัศมีของพระพุทธองค์ท่านแผ่ปกคลุมคุ้มกายใจเราไว้ ไม่ให้มีสิ่งใดมาทำอันตรายเรา
ได้ กำหนดจิตทรงฌานในพุทธนิมิตรนี้ไว้ตลอดเวลาเท่าที่จะทำได้
ขั้นที่ 2 อธิฐาน ขอให้พระท่าน แยกองค์เพิ่มเป็น 2 องค์ องค์หนึ่งยังอยู่บนศีรษะเรา ส่วนอีกองค์เคลื่อน
ตัวลงมา อยู่ภายในศีรษะของเรา ตลอดเวลานั้นทั้งสององค์ท่าน ยังคงความสว่างไสวอยู่ตลอดเวลา
ขั้นที่ 3 อธิฐาน ขอให้พระท่านแยกองค์เพิ่มเป็น 3 องค์ องค์ 1 บนศีรษะ องค์ที่ 2 อยู่ในศีรษ
องค์ที่ 3 เคลื่อนลงมาอยู่ในอก ของเรา ทำได้ถึงขั้นที่ 3 หลวงพ่อท่านเรียกว่า จับภาพพระ 3 ฐาน
เป็นการทรงอารมณ์ใน พุทธานุสติกรรมฐาน บวก + กสิณ และ ได้อารมณ์ ฌาน 4 ใช้งาน และ มี
อารมณ์ตั้งมั่นแนบแน่นเป็นพิเศษเนื่องจาก ผูกจิตไว้กับพุทธนิมิตร ถึง 3 ชั้น ( 3 พระองค์ ) ส่วนที่บอก
ว่าได้ถึงฌาน 4 ใช้งานนั้น ให้ลองพิสูจน์ดูได้ด้วย การทรงอารมณ์สูงสุดตามที่ได้แนะนำมา จากนั้นใช้จิต
กลับมามองกาย โดยสังเกตลมหายใจของตัวเองดู จะพบว่าในขณะที่จิตปรากฏภาพพระเปล่งรัศมีอยู่นั้น
ร่างกาย เราหายใจน้อยมากๆ บางคนไม่หายใจเลย แต่ไม่ต้องตกใจหรือไปบังคับให้หายใจอีก เพราะ
เลยขั้นตอนนั้นมาแล้ว ให้ปล่อยลมหายใจเป็นไปตามสภาวะไม่ต้องสนใจอีก
กลับมาทรงภาพพระ 3 ฐาน ไว้ ด้วยอารมณ์ใจสบายๆ
ขั้นต่อมา ให้
 ลองขยับเปลี่ยนอิริยาบถ ดูว่ายังทรงภาพพระทั้งสามานได้หรือไม่ ลองทำให้ได้ใน
ทุกเวลาทุกอิริยาบถ ได้ทั้งวันได้ยิ่งดี และยังถือว่าทรง มหาสติปัฏฐาน 4ด้วยพร้อมกันครับ
จุดสำคัญ ที่ต้องเตือนคือ
การทรงภาพพระนี้ จิตจะยิ่งมีความชุ่มชื่นมีความสุข
ทำให้ยิ่งอยากปฏิบัติ แต่ถ้าทำแล้วเกิดอาการหนัก เครียด ปวดหัว ให้เลิก หยุดพัก
ในวันนั้น แล้ววันอื่นค่อยตั้งอารมณ์ใหม่ให้ใจสบายลมสบายเป็นหลัก
อานิสงค์ในการปฏิบัตินี้ จะใช้เป็นพื้นฐานใน การฝึก
มโนมยิทธิทิพย์จักษุญาณ และ อภิญญา ในอนาคต
ส่วนเทคนิคสำหรับ ท่านที่ยังรู้สึกว่ายังทรงภาพพระ
ไม่ได้นาน หรือ ลืมทำให้ใช้เทคนิคนี้คือ
"การกำหนดเวลา"
ครั้งที่ 1 ในตอนเช้าเมื่อตื่นขึ้นยังไม่ต้องลุกจากที่นอน ให้ทรงภาพพระ 3 ฐาน ให้ใจสบายก่อน แล้ว
อธิฐานให้ท่านคุ้มครองชีวิตร่างกาย หรือขอเรื่องการค้า การขาย การติดต่ออาชีพ การงานตามต้องการ
ถ้าใช้ประกอบคาถาเงินล้านจะได้ผลเป็นพิเศษ แล้วจึงค่อยลุกจากที่นอน จะสังเกตว่าวันนั้นจะเจอแต่สิ่ง
ที่ดี ชีวิตและการงานราบรื่นกว่าเดิม
ครั้งที่ 2 ตลอดเวลาที่สวดมนต์ ทำวัตร เช้า - เย็น
ครั้งที่ 3 ช่วงก่อนนอนครับ
   
ส่วนภาคปฏิบัติจริงๆนั้น ครูบาอาจารย์ โบราณท่านหาอุบายไว้ ให้ศิษย์ท่านเข้าถึงความดีในการปฏิบัติ
พุทธานุสติกรรมฐาน ไว้ดังนี้ครับ
 
เช้าตื่นขึ้น เสกน้ำลาย สามอึกด้วยพุทธโธ
 
เสกนำมนต์ล้างหน้า หรือ อาบน้ำ ตอนเช้า ทำวัตรเช้า
 
อธิฐานบูชาข้าวพระที่ใส่บาตร
 
อธิฐานเสกข้าวที่ตัวเองกิน
 
จับลม สุริยกลา จันทรกลา ก่อนก้าวเท้าออกจากบ้าน
  ว่าคาถาคุ้มครองรถพาหนะก่อนเดินทางฯลฯ
จะเห็นว่า แทบในทุกอิริยาบถ และ กิจกรรมในชีวิตของชาวพุทธแต่ดั้งเดิมนั้น จะ
มีอุบายให้จิตยึดติดอยู่กับพระพุทธคุณเสมอมา
แต่คนเราในยุคใหม่มีสติปัญญาไม่ลึกซึ้งและไม่เข้าใจในอุบายของครูบาอาจารย์ได้ดีพอแถมยังตำหนิว่า เป็นความเชื่องมงายไร้สาระ ให้เกิดโทษกับตัวเองอีก ดังที่ผมได้ทราบมาว่า
 กรรมฐานโบราณของ วัดพลับ ที่ได้สืบทอดตั้งแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยา มา และ ได้มี
การสังคายนาพระกรรมฐาน ในต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นั้น ปัจจุบันแทบหาผู้เรียนไม่ได้
แต่ มีชาวฝรั่งเศส แอบย่องมาทำวิจัยเรียบร้อยไปแล้ว
ดังนั้นผมจึงจำเป็นต้องขยายสิ่งที่แฝงไว้ในวิชาในพระพุทธศาสนา
ให้กลับมาปรากฏชัดอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้คนรุ่นหลังได้เข้าใจและสนใจที่จะฝึกครับ
 
สรุป หลักการเรียนการจับภาพพระ 3 ฐาน คือ
ใช้อารมณ์สบาย
จับภาพพระให้ได้ทั้ง 3 ฐาน ให้ได้ทุกอิริยาบถ ให้ได้นานที่สุด ถ้ากำลัง ไม่พอให้
จับพระท่านองค์เดียวเหนือศีรษะ ถ้าทรงไม่ได้นาน
ให้ทรงบ่อยๆ หรือ กำหนดเวลา อย่างน้อยที่สุด
ช่วง ตลอดเวลาที่เราสวดมนต์ ก่อนลุกจากที่นอน และ ก่อนนอน
ถ้าทำได้ อารมณ์ความเป็นทิพย์ของจิต จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นครับ หวังว่าไม่ยากเกินไป และทำได้ทุกคนนะครับ
ส่วนใครที่ประยุกต์ วิชานี้ได้ลองมาเล่าให้เพื่อนๆฟังกันบ้างครับ
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sawiiika : 25-04-2009 เมื่อ 02:02 PM




Create Date : 27 ตุลาคม 2559
Last Update : 27 ตุลาคม 2559 23:41:55 น. 0 comments
Counter : 645 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

doraeme
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add doraeme's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.