ค่าพรี่เมี่ยม หรือ ราคาของออปชั่น ( PRICE )

จากบทที่แล้ว ได้ทราบมาแล้วว่า ใบสัญญาออปชั่นมี่สองชนิด
คือ สัญญาคอลออปชั่น (ใบสัญญาทายว่าเซท50 จะขึ้น)
และสัญญาพุทออปชั่น (ใบสัญญาทายว่าเซท50 จะลง)

เมื่อได้ดูกราฟของเซท50จาก e-Finance
หาข้อมูลของตลาดสำคัญ เมกา จาก //finance.yahoo.com/q?s=%5EDJI ในตอนเช้าทุกวัน (ทั้งข่าวและกราฟ ข้อมูลกราฟ ในนั้นสามารถใช้อินดี้ เพื่อดูรายละเอียดได้ทุกอย่าง ทำไม่เป็น โทรมาถาม )
ข้อมูลตลาดเอเซียที่เิ่มเปิดทั้งหมดก่อนตลาดไทย จาก //finance.yahoo.com/intlindices?e=asia ( ทั้งข่าวและกราฟเช่นเดียวกับของเมกา กดที่คำว่า Chart ท้าย บันทัดของตลาดนั้น )

แล้วก็พร้อมสำหรับการเข้าตลาดไทย
(ต้องพร้อมด้วยคอมที่เมมโมรี่มากพอสำหรับการเปิดหลายๆๆหน้าต่าง อินเตอร์เนต บรอดแบนความเร็วสูงเปิด เรียลไทม์ ไม่ค้าง และมีกราฟ 2นาที ซึึ่งมีประโยชน์มากถ้าเล่นฟิวเจอร์ ด้วย สำหรับออพชั่นอย่างเดียว ไม่จำเป็น )

เมื่อเปิดกระดานออปชั่น ก่อนอื่น ท่านจะต้องทราบ วิธีคิดค่าพรี่เมี่ยม (เงินเดิมพัน ) หรือราคาของออปชั่น เพราะฝรั่งใช้ PRICE ( ต่อจากนี้ จะใช้คำว่าราคา มากกว่า พรีเ่มี่ยม )

ถ้าเจอคำว่า P.settle ตรงไหน ให้ทราบว่า
1 เป็นราคาที่ตลาดคำนวนให้ตั้งแต่วันแรกที่ เปิดงวดสัญญา แล้วยังไม่มีการซื้อขายออปชั่น
2 เป็นราคาที่ตลาดคำนวนให้ ถ้าวันก่อนหน้าไม่มีรายการซื้อขาย
3 เป็นราคาปิดของออปชั่นเมื่อวาน โดยคำนวน จากมูลค่าเฉลี่ย ไม่ใช่ราคารายการสุดท้าย

การคำนวนราคาของตลาด ใช้สูตร ของ Black-Scholes Model
ดังนี้ (จากตรงนี้ไป ไม่ต้องกังวลว่า อ่านไม่รู้เรื่อง ต้องการเพียงให้ท่านเอาไปคุยต่อได้ว่า ได้ศึกษามาแล้วอย่างละเอียด แต่เรื่องที่จะอ่านนี้ไม่จำเป็นต้องจำไปใช้หรือทำได้ เพราะมีวิธีง่ายๆๆ อยู่ต่อจาก ส่วนนี้ )



ตามสูตรเดิม



รายละเอียดบางอย่างจากสูตร ก็ไม่แน่นอนว่าจะใช้ตัวไหนเหมาะสมถ้าเราไปคิดเอง



ค่าผลตอบแทนของเซท50ยิ่งไม่รู้ไปหาจากที่ไหน



ค่าการแกว่งของเซท50 คำอธิบายเองยังบอกว่ายุ่งยาก



โดยสรุปเมื่อนำเอามาใช้ จึงควรที่ตลาดจะเข้ามาแอบดูอีกบ้างว่าเมื่อเปิดงวดสัญญาใหม่ มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง
1 ราคาทีตลาดคำนวนให้มัน แพงเกินไปหรือไม่ จะนำเสนอและอธิบายทีหลัง
2 คนทั่วไปสามารถคำนวนเองได้ไหมจากสูตรนี้ ถ้าไม่ได้ แล้วเขาจะคิดราคาออปชั่นได้อย่างไร

จึงเป็นที่มาของสูตรที่เราต้องหาไว้ใช้เองอย่างง่ายๆๆ

เราจะเริ่มต้นจาก ราคาของออปชั่น ตามความจริง จะมีอยู่ 2 อย่างบวกกันอยู่
1 Intrinsic Value ราคาจริงของออปชั่น
2 Time Value ราคาที่ยังมีโอกาสเป็นจริงได้เพราะยังมีเวลาเหลืออยู่
ซึ่งค่านี้ ตอนต้นเดือนแรกของงวดสัญญา อายุยังมากกว่าจะหมดสัญญาค่านี้จะมีค่ามากที่สุด แล้วค่อยๆๆลดลงไปเรื่อยๆๆ จนวันสุดท้าย ค่านี้เมื่อวันหมดอายุจะมีค่า 0จริงๆๆ
เมื่อวันสุดท้ายของงวดก่อนวันสิ้นเดือน หนึ่งวันปิดตลาดแล้ว ตลาดจะจัดการเคลียร์ทุกสัญญาในพอร์ตที่หมดอายุออก โดย

สัญญาคอลฝ่ายซื้อ ให้คำนวนราคาดังนี้
1 เอาดัชนีเซท50ตั้งลบด้วย เลขขั้นสไตร์ไพร์ ของสัญญานั้น (Series ID )เช่น ก ดัชนีเซท50ปิดที่ 451 แล้วมีสัญญา S50U09C470
สัญญานี้จะมี่ค่า 451-470= -19 แปลว่าสัญญานี้ ขาดทุน ตลาดจะไม่จ่ายเงินคืนให้แม้แต่บาทเดียว แพ้เท่าพรี่เมี่ยมที่จ่ายไปตอนซื้อทั้งหมด
ข S50U09C400
สัญญานี้จะมี่ค่า 451-400= +51 แปลว่าสัญญานี้จะได้เงินคืนเข้าในบัญชี 51คูณ200แล้วลบค่าคิด บัญชีออก 20บาท

(ถ้าฝ่ายซื้อ เสมอตัว คือ 0 ไม่ได้รับเงิน คืนแม้แต่บาทเดียวยังไม่เคยเกิดขึ้น ทางด้านฝ่ายขายที่ได้เงินพรีเมี่ยมไปแล้วละ การคำนวนน่าจะได้คำตอบ0 เช่นกัน แล้วจะแปลผลว่า ไม่ต้องคืนค่าพรี่เมี่ยมเลยเหรอ นั่นคือฝ่ายขายได้กำไรแม้การตกลงจะเป็นเสมอ คอล450แล้วดัชนี ก็450 หรือออออ )

สัญญา พุท ฝ่ายซื้อ ให้คำนวนดังนี้
เอาเลขขั้นสไตร์ไพร์ ของสัญญานั้น -ด้วย ดัชนีเซท50 เช่น
ก ดัชนีเซท50ปิดที่463 มีสัญญา s50u09p470
สัญญานี้จะมีค่า 470-463= +7
แปลว่าสัญญานี้ตลาดจะเอาเงิน 7คูณ200-ออก20บาท ใส่ในบัญชีให้เรา
ข สัญญา s50u09p450
สัญญานี้จะมีค่า 450-463= -13
แปลว่าสัญญานี้เราไม่ได้เงินคืนแม้แต่บาทเดียว แพ้เท่าค่าพรี่เมี่ยมที่จ่ายไปตอนซื้อทั้งหมด

ถ้าเป็นฝ่ายขายคอลให้คิดแบบซื้อพุท
ถ้าเป็นฝ่ายขายพุท ให้คิดแบบซื้อคอล
จากสูตรการคิดราคาเมื่อวันหมดอายุเป็นเช่นนี้
การคำนวนราคาออปชั่น คอล หรือพุท ในช่วงเวลาไหนก็ตามเราก็ใช้สูตรนี้ เพื่อหาราคาจริงของสัญญาที่เราจะซื้อหรือขายนั้น ส่วนที่มีการซื้อขายจริง ถ้ามากกว่าราคาที่เราคำนวนได้
พิจารณาว่า
1 ยังมีเวลาเหลืออีกมากไหม (เหมาะกับราคาที่แพงหรือ Time Value มากเกินไปไหม )
2 โอกาสที่เซท จะเป็นจริงตามสัญญาที่เราซื้อมีมากไหม ถ้ามากมากเราก็อาจจะพิจารณาซื้อ แม้จะแพงกว่าราคา จริง
3 โอกาสของ ขั้นสไตร์ไพร์นั้น ใก้ล ATM หรือ ห่าง ATM มากไหม ถ้าสัญญาที่เราซื้อเป็นOTM เมื่อซื้อแล้วจะขยับไปเป็นATM หรือ ITM ง่ายๆๆหรือป่าว (ถ้าง่ายจะได้พิจารณา ซื้อ ราคานั้น แม้จะแพง )

ฉะนั้นเมื่อคำนวนราคาเป็นแล้ว ยังไม่ทำให้สามารถ สั่งซื้อหรือขายออปชั่นได้ ยังต้องรู้ อะไรที่มากกว่านี้อีก ติดตามอ่านต่อไป

ปล ประสพการณ์ตรง จาก ของจริง
1 ตลาดพยายามจะช่วยเราโดยทำแถบสีให้แตกต่างกัน ในกระดานออปชั่น
แบ่งเป็นโซน สไตร์ไพร์ ที่ตรงกับดัชนีเซท 50จะทำสีคาดไว้ที่ สไตร์ไพร์นั้น
และตรงนั้นเราจะเรียกว่า ATM At The Money
2 ด้านพุท หรือคอล ที่พื้นสีดำสนิท เรียกว่า OTM Out of The Money
หรือบริเวณสัญญาที่ไม่มีค่า (คิดราคาตามสูตรของเราจะได้ค่าติดลบ ) ราคาหรือพรี่เมี่ยมที่ยังตกลงซื้อขายกันจึงเป็นราคาตามสูตร Black-Schole Model ซึ่งจะมีตารางคำนวนให้เห็นต่อจากเรื่องนี้ว่าแพงขนาดไหน



และเป็นบริเวณที่ ทำให้ฝ่ายซื้อเสียเปรียบ ฝ่ายขายที่สุด จึงเป็นบริเวณที่ควรพิจารณาเล่น เมื่อคิดว่าจะมีโอกาสได้ประโยชน์ หรือราคาไม่แพงนัก เท่านั้นหรือไม่ใช่ระยะเวลาเดือนแรกของงวดสัญญา

3 ส่วนด้านพุทหรือคอลที่มีสีเคลือบออกเหลืองเขียวบางๆๆ บริเวณนั้น เรียกว่า ITM In The Money หรือบริเวณที่สัญญามีค่า



ตารางที่ทดสอบคำนวนว่าสไตร์ไพรืไหนแพงไปเท่าไร



จากความจริงดังกล่าว ผู้ที่ได้อ่านตำราที่ผมเขียนและมาศึกษาจากผม จะถูกห้ามเตือนในการเล่นออปชั่น OTM ในกรอบสีดำ หรือในเดือนแรก ทุกราย และนี้เองเป็นเหตให้เราพบมีรายการซื้อขายมากในเดือนแรกที่นี่ เพราะคนขายชอบมาขายให้ หรือเพราะเขาโยนสร้างราคาไว้ให้สูง กันเอง (อดเล่นในเดือนแรก ถือเป็นการได้พักผ่อน ยกเว้น ที่ตลาดมีทิศทางแน่นอน เราซื้อแล้ว OTMไม่ห่างATM นัก ทิศทางไปหา สัยญาของเราแน่นอน คุ้มแม้ราคาจะแพง )

Create Date : 30 สิงหาคม 2552		12 comments
Last Update : 30 สิงหาคม 2552 17:53:11 น.
Counter : 2441 Pageviews.
Share Tweet