|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
ทุนอะไรที่จูงใจคนได้ชะงัด
เงินกับความรู้ : ดนัย เทียนพุฒ
กระแสของทุนนิยมได้ไหลบ่าท่วมท้นสังคมโลกแห่งศตวรรษที่ 21 แม้กระทั่งสังคมไทยก็หนีไม่พ้นกระแสของทุนนิยม โดยเมื่อเร็วๆ นี้ นักวิทยาศาสตร์ ได้วิจัย และค้นพบว่า ในสัตว์ทดลอง (หนูทดลอง) มียีนหรือดีเอ็นเออยู่ชนิดหนึ่งที่เป็นตัวกระตุ้นให้สัตว์ทดลองขยันทำงาน โดยไม่ต้องมีรางวัลให้ อาจจะเรียกว่า "ดี เอ็น เอ ขยัน" (Diligence DNA) นักวิทยาศาสตร์จึงคิดต่อว่า ถ้าอย่างนั้น เราทำให้ยีนนั้นทำงานเต็มที่ในคนหรือมนุษย์กินเงินเดือน เมื่อเป็นเช่นนั้นได้ ก็ไม่จำเป็นต้องเอารางวัลอะไร ไปล่อตามทฤษฎีจูงใจของมาสโลว์ สำหรับคนที่ทำงานในองค์กร และทั้งองค์กร คงจะเพิ่มประสิทธิภาพ ได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุด
โชคดีครับ! ที่การศึกษาใน "ดี เอ็น เอ ขยัน" นี้ยังอยู่ในห้องทดลอง มิฉะนั้น พวกเราท่านคงไม่ต้องตั้งตาคอยโบนัส หรือการปรับเงินเดือนประจำปี แต่จะได้รับวิตามินเร่งยีนขยันแทนเป็นแน่แท้
กลับมาที่ "เงิน" ในช่วงนี้ น่าจะเป็นฤดูกาลแห่งความสุขของข้าราชการไทยทั้งประเทศ เพราะรัฐบาลใจดี ปรับเงินเดือนบัญชีใหม่ให้ รวมถึงข้าราชการไทยที่เงินเดือนไม่ถึงหมื่นบาท หรือจะเรียกว่า ข้าราชการที่มีรายได้น้อยจะได้รับการปรับให้ถึงเส้นพ้นยากจนที่ 10,000 บาท ขณะเดียวกันในองค์กรรัฐวิสาหกิจ ก็เพิ่งได้ปรับ 3% ถึงสองขั้นตามมาติดๆ สำหรับคนชั้นแรงงานเพิ่งมีมติของคณะกรรมการกลางค่าจ้างขั้นต่ำ (ชื่อแบบนี้ล่ะครับ!) ให้ปรับเพิ่ม "2 บาท" คนชั้นแรงงานคงจะตื่นเต้นมากระหว่าง "หลักหน่วย-บาทกับหลักหมื่น-บาท"
แต่สิ่งที่ผู้เขียนชื่นชมรัฐบาลนี้ โดยเฉพาะแนวคิดของรัฐมนตรีคลังที่เสนอให้มีการปรับอัตราการเสียภาษีใหม่ ทั้งบุคคลและนิติบุคคล ในรอบปีภาษี 2548 ดังนี้
1. คนทำงานที่มีเงินเดือน 1.6 หมื่นบาท ไม่ต้องเสียภาษีและปรับลดในอัตราก้าวหน้าด้วย
2. SME ที่มีทุนจดทะเบียน 1-5 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิไม่เกิน 1 ล้านบาทจ่ายภาษีแค่ 10%
3. ปรับเกณฑ์การจ่าย VAT 7% โดยบริษัทที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 1.2 ล้านบาทเป็น 1.8 ล้านบาท
อันนี้ต้องโมทนาสาธุ! หาก ครม.มีมติอนุมัติ เพราะเป็นประโยชน์กับธุรกิจ SMEs และคนมีรายได้น้อยจริงๆ
ไม่ว่าท่านผู้อ่านจะร่ำเรียนมามากน้อยแค่ไหนก็ตาม ส่วนใหญ่ทุกท่านจะมีความรู้อยู่แล้ว ในสิ่งที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการจูงใจให้คนทำงาน ซึ่งมักจะกระทำอยู่ใน 2 รูปแบบด้วยกันคือ 1) สิ่งจูงใจที่เป็นตัวเงิน (Financial Incentive) กับ 2) สิ่งจูงใจที่ไม่เป็นตัวเงิน (Non-Financial Incentive)
แนวคิดทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติพบว่า
เงินหรืออะไรที่เป็นตัวเงิน เช่น ปรับเงินเดือน โบนัส เพิ่มค่าครองชีพ ลดภาษีเงินได้ เหล่านี้เป็นสิ่งจูงใจมนุษย์หรือคนทำงาน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เป็น "ลูกจ้างมืออาชีพ" (Profession Employee) ได้ดีที่สุด
"แต่" ต้องมีแต่ครับ เพราะจากการศึกษาและวิจัยในหลายๆ สำนักพบว่า เงินเป็นสิ่งจูงใจที่ดีในระยะสั้น หมายความว่า
- การใช้เงินจูงใจคนทำงาน จะมีผลเพิ่มให้คนรู้สึกพึงพอใจที่ได้รับเงินเดือนเพิ่มเป็นระยะสั้นๆ เช่น 1-3 เดือน เมื่อผ่านพ้นไปแล้วความไม่พอ หรือรู้สึกว่าไม่คุ้มที่ทำงานอยู่จะกลับหวนมาอีก
- การใช้รางวัลหรือสิ่งจูงใจที่เป็นเงิน เป็นความคิดที่ไม่ฉลาด หากผู้บริหารธุรกิจใช้โดยไม่มีการผูกกับผลงาน หรือผลสำเร็จขององค์กร เพราะเป็นการใช้เงินไปเพื่อระงับความไม่พอใจเพียงชั่วคราว แต่จะให้ได้ผลดีต้องผูกไว้กับผลงานและผลสำเร็จขององค์กร
- การให้รางวัลที่เป็นตัวเงิน ต้องให้ในระดับที่แตกต่างกัน เพราะมนุษย์มีระดับความต้องการที่ไม่เท่ากัน เช่น คนเงินเดือน 100,000 บาท ปรับเงินเดือน 3% กับคนเงินเดือน 10,000 บาท ปรับ 3% จะเห็นว่ามูลค่าของเงินในทั้ง 2 คนนั้นมีค่าต่างกันราวฟ้ากับดิน
สิ่งจูงใจที่ไม่เป็นตัวเงิน นอกจากสิ่งจูงใจคนหรือมนุษย์ที่เป็นเงินแล้ว สิ่งที่ไม่ใช่เงินหรือรางวัลอื่นๆ ที่ไม่อยู่ในรูปตัวเงิน ถือได้ว่าเป็นสิ่งจูงใจคนทำงานได้ดีเช่นกัน เช่น
- ประกาศเกียรติคุณที่เป็นบุคคลดีเด่นแห่งปี จะมีให้เห็นในธุรกิจโดยเฉพาะงานด้านการขายและการตลาด ที่พนักงานขายหรือเอเย่นต์สามารถทำยอดขายได้สำเร็จ หรือทะลุเป้าหมาย
- การให้สิทธิพิเศษต่างๆ เกี่ยวกับสินค้าและบริการที่ธุรกิจมีแก่พนักงาน
- และอีกสารพัดที่ธุรกิจพยายามจะนำมาใช้ในการจูงใจให้คนทำงาน
นักทฤษฎีด้านทุนมนุษย์หรือการบริหารคนในสมัยใหม่ โดยเฉพาะในองค์กรที่จัดทำในเรื่องการใช้ความสามารถเข้ามาเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการบริหารคน หากสามารถก้าวเข้าไปสู่อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งถือเป็นก้าวที่ใหญ่มากคือ การบริหารคนในรูปแบบ "ผู้คุมเกมกลยุทธ์" (Strategic Player) ซึ่งเป็นการใช้ทุนความรู้ผลักดันให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขันขององค์กรหรือธุรกิจ เพราะธุรกิจในศตวรรษที่ 21 จะวัดความสำเร็จกันที่ การร่ำรวยของความรู้
แนวคิดใหม่ของการจูงใจคนทำงานหรือมนุษย์เงินเดือน หรือลูกจ้างมืออาชีพ ไม่ว่าจะอยู่ในองค์กรรูปแบบใดก็ตาม จะใช้ "ความรู้หรือทุนความรู้" ดังเช่น
- พนักงานหรือผู้บริหารมีผลงานโดดเด่นเข้าตากรรมการจะได้รับให้เข้าอยู่ "โครงการรางวัลเพิ่มมูลค่าทุนทางปัญญา" โดยผู้ที่มีผลงานโดดเด่นมาก (จะได้ปรับเงินเดือนในระดับหนึ่งแล้ว) จะได้รางวัลพิเศษในการเดินทางไปดูงานในต่างประเทศ เช่น ในยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา ผู้ที่มีผลงานโดดเด่นระดับดี จะได้รางวัลพิเศษในการเดินทางไปดูงานในประเทศแถบเอเชีย
- หรือกรณีที่พนักงานหรือผู้บริหารมีผลงานที่สำเร็จในระหว่างปี จะมีงบประมาณให้ก้อนหนึ่งที่สามารถนำไปใช้จ่าย เพื่อเข้าโปรแกรมอบรมหรือสัมมนาในประเทศได้ตามความสนใจ
- พนักงานหรือผู้บริหารที่สร้างนวัตกรรมขึ้นมาได้ ด้วยทุนความรู้หรือทุนทางปัญญาจากภายในองค์กร หรือนำเข้ามาจากภายนอก แล้วปรับให้เข้ากับองค์กร จะได้รับการพิจารณาคัดเลือกให้อยู่ในทำเนียบ "Hall of Frame" ของบริษัทหรือองค์กรธุรกิจ
สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เป็นรางวัลจูงใจที่ไม่อยู่ในรูปแบบของตัวเงิน เช่น ความรู้หรือทุนความรู้จะเป็นสิ่งจูงใจคนได้ชะงัดในระยะยาว แต่ถ้าใช้เงินจูงใจก็แสดงว่า หวังผลบางอย่างในระยะสั้นนั่นเอง
อ.ดนัย เทียนพุฒ Aj.Danai Thieanphut DNT Consultants
Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2549 |
Last Update : 16 สิงหาคม 2549 14:53:49 น. |
|
1 comments
|
Counter : 689 Pageviews. |
|
|
|
โดย: .... (ขามเรียง ) วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:0:51:33 น. |
|
|
|
| |
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]
|
ที่ปรึกษาธุรกิจชั้นนำด้านจัดการกลยุทธ ( ผู้นำและริเริ่มการจัดทำ Balanced Scorecard & KPIs) การบริหาร HR ที่เน้นความสามารถ (Competency Based Approach) การพัฒนา HRD-KM และ การจัดการสมัยใหม่ *************************
|
|
|
|
|
|
|
|